ว่าด้วยเหตุที่เลื่อมใสยิ่งนักในพระผู้มีพระภาคเจ้า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กุฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี
สมัยนั้น การณปาลีพราหมณ์ใช้คนให้ทำการงานของเจ้าลิจฉวีอยู่
ได้เห็นปิงคิยานีพราหมณ์เดินมาแต่ไกล ครั้นแล้ว ได้ถามว่า "อ้อ ท่านปิงคิยานีมาจากไหนแต่ยังวัน (แต่วันนัก)"
ปิงคิยานีพราหมณ์ตอบว่า “ข้าพเจ้ามาจากสำนักพระสมณโคดม ฯ”
การณปาลีพราหมณ์ : ท่านปิงคิยานีย่อมเข้าใจพระปรีชา (ความฉลาดด้วยปัญญา) ของพระสมณโคดมว่า เห็นจะเป็นบัณฑิตนั้นอย่างไร ฯ
ปิงคิยานีพราหมณ์ : ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าคือใคร และเป็นอะไรจึงจักรู้พระปรีชาของพระสมณโคดม ผู้ใดพึงรู้พระปรีชาของพระสมณโคดม
แม้ผู้นั้นพึงเป็น เช่นกับพระสมณโคดมนั้นแน่นอน ฯ
การณปาลีพราหมณ์ : ได้ยินว่า ท่านปิงคิยานีสรรเสริญพระสมณโคดมยิ่งนัก ฯ
ปิงคิยานีพราหมณ์ : ข้าพเจ้าคือใคร และเป็นอะไรจึงจักสรรเสริญพระสมณโคดม และท่านพระสมณโคดมพระองค์นั้น
อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายสรรเสริญแล้วๆ ว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุด กว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฯ
การณปาลีพราหมณ์ : ก็ท่านปิงคิยานีเห็นอำนาจประโยชน์อะไร จึงเลื่อมใสยิ่งนัก ในพระสมณโคดมอย่างนี้ ฯ
ปิงคิยานีพราหมณ์ :
ท่านผู้เจริญ
(๑) เปรียบเหมือนบุรุษผู้อิ่มในรสอันเลิศแล้ว ย่อมไม่ปรารถนารสที่เลวเหล่าอื่น ฉันใด
บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้น โดยลักษณะใด ๆ
คือ โดยสุตตะ โดยเคยยะ โดยไวยากรณ์ หรือโดยอัพภูตธรรม ย่อมไม่ปรารถนา
วาทะของสมณะเป็นอันมากเหล่าอื่น โดยลักษณะนั้น ๆ ฉันนั้น
(๒) เปรียบเหมือนบุรุษผู้ถูกความหิว และความอ่อนเพลียครอบงำ พึงได้รวงผึ้ง เขาพึงลิ้มรสโดยลักษณะใด ๆ
ก็ย่อมได้รสดีอันไม่เจือ ฉันใด บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้น โดยลักษณะใดๆ
คือ โดยสุตตะ โดยเคยยะ โดยไวยากรณ์ หรือโดยอัพภูตธรรม ย่อมได้ความดีใจ
ย่อมได้ความเลื่อมใสแห่งใจ โดยลักษณะนั้น ๆ ฉันนั้น
(๓) เปรียบเหมือนบุรุษ พึงได้ไม้จันทน์แห่งจันทน์เหลือง หรือจันทน์แดง พึงสูดกลิ่นจากที่ใด ๆ
เช่นจากราก จากลำต้น หรือจากยอด ก็ย่อมได้กลิ่นหอมดี กลิ่นแท้ ฉันใด
บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้น โดยลักษณะใด ๆ
คือ โดยสุตตะ โดยเคยยะ โดยไวยากรณ์ หรือโดยอัพภูตธรรม ก็ย่อมได้ความปราโมทย์
ย่อมได้โสมนัส โดยลักษณะนั้น ฉันนั้น
(๔) เปรียบเหมือนบุรุษผู้อาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก นายแพทย์ผู้ฉลาด พึงบำบัดอาพาธของเขาโดยเร็ว ฉันใด
บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้น โดยลักษณะใด ๆ
คือ โดยสุตตะ โดยเคยยะ โดยไวยากรณ์ หรือโดยอัพภูตธรรม ความโศก
ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจ ของเขาย่อมหมดไปโดยลักษณะนั้น ๆ ฉันนั้น
(๕) เปรียบเหมือนสระน้ำ มีน้ำใสน่าเพลินใจ น้ำเย็น น้ำขาว มีท่าราบเรียบ น่ารื่นรมย์
บุรุษผู้ร้อนเพราะแดด ถูกแดดเผาเหน็ดเหนื่อย หิว ระหาย เดินมาถึง เขาลงไปในสระน้ำนั้น
อาบ ดื่ม พึงระงับความกระวนกระวาย ความเหน็ดเหนื่อย และความเร่าร้อนทั้งปวง ฉันใด
บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้น โดยลักษณะใด ๆ
คือ โดยสุตตะ โดยเคยยะ โดยไวยากรณ์ หรือโดยอัพภูตธรรม ความกระวนกระวาย ความเหน็ดเหนื่อย
และความเร่าร้อนทั้งปวงของเขา ก็ย่อมระงับไป โดยลักษณะนั้น ๆ ฉันนั้น ฯ
เมื่อปิงคิยานีพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว การณปาลีพราหมณ์ลุกจากที่นั่ง ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง
คุกเข่าข้างขวาลงบนแผ่นดินประนมอัญชลี ไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ เปล่งอุทานสามครั้งว่า
“ขอความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”
แล้วกล่าวต่อไปว่า ท่านปิงคิยานี ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งยิ่งนัก ท่านปิงคิยานี ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งยิ่งนัก
ท่านปิงคิยานีประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้
ฉะนั้น ข้าพเจ้านี้ ขอถึงท่านพระโคดมพระองค์นั้น กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอท่านปิงคิยานี จงจำข้าพเจ้า ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๒
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
หน้าที่ ๒๑๐ – ๒๑๒ ข้อที่ ๑๙๔
ตามรอยพุทธองค์ : ว่าด้วยเหตุที่เลื่อมใสยิ่งนักในพระผู้มีพระภาคเจ้า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กุฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี
สมัยนั้น การณปาลีพราหมณ์ใช้คนให้ทำการงานของเจ้าลิจฉวีอยู่
ได้เห็นปิงคิยานีพราหมณ์เดินมาแต่ไกล ครั้นแล้ว ได้ถามว่า "อ้อ ท่านปิงคิยานีมาจากไหนแต่ยังวัน (แต่วันนัก)"
ปิงคิยานีพราหมณ์ตอบว่า “ข้าพเจ้ามาจากสำนักพระสมณโคดม ฯ”
การณปาลีพราหมณ์ : ท่านปิงคิยานีย่อมเข้าใจพระปรีชา (ความฉลาดด้วยปัญญา) ของพระสมณโคดมว่า เห็นจะเป็นบัณฑิตนั้นอย่างไร ฯ
ปิงคิยานีพราหมณ์ : ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าคือใคร และเป็นอะไรจึงจักรู้พระปรีชาของพระสมณโคดม ผู้ใดพึงรู้พระปรีชาของพระสมณโคดม
แม้ผู้นั้นพึงเป็น เช่นกับพระสมณโคดมนั้นแน่นอน ฯ
การณปาลีพราหมณ์ : ได้ยินว่า ท่านปิงคิยานีสรรเสริญพระสมณโคดมยิ่งนัก ฯ
ปิงคิยานีพราหมณ์ : ข้าพเจ้าคือใคร และเป็นอะไรจึงจักสรรเสริญพระสมณโคดม และท่านพระสมณโคดมพระองค์นั้น
อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายสรรเสริญแล้วๆ ว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุด กว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฯ
การณปาลีพราหมณ์ : ก็ท่านปิงคิยานีเห็นอำนาจประโยชน์อะไร จึงเลื่อมใสยิ่งนัก ในพระสมณโคดมอย่างนี้ ฯ
ปิงคิยานีพราหมณ์ :
ท่านผู้เจริญ
(๑) เปรียบเหมือนบุรุษผู้อิ่มในรสอันเลิศแล้ว ย่อมไม่ปรารถนารสที่เลวเหล่าอื่น ฉันใด
บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้น โดยลักษณะใด ๆ
คือ โดยสุตตะ โดยเคยยะ โดยไวยากรณ์ หรือโดยอัพภูตธรรม ย่อมไม่ปรารถนา
วาทะของสมณะเป็นอันมากเหล่าอื่น โดยลักษณะนั้น ๆ ฉันนั้น
(๒) เปรียบเหมือนบุรุษผู้ถูกความหิว และความอ่อนเพลียครอบงำ พึงได้รวงผึ้ง เขาพึงลิ้มรสโดยลักษณะใด ๆ
ก็ย่อมได้รสดีอันไม่เจือ ฉันใด บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้น โดยลักษณะใดๆ
คือ โดยสุตตะ โดยเคยยะ โดยไวยากรณ์ หรือโดยอัพภูตธรรม ย่อมได้ความดีใจ
ย่อมได้ความเลื่อมใสแห่งใจ โดยลักษณะนั้น ๆ ฉันนั้น
(๓) เปรียบเหมือนบุรุษ พึงได้ไม้จันทน์แห่งจันทน์เหลือง หรือจันทน์แดง พึงสูดกลิ่นจากที่ใด ๆ
เช่นจากราก จากลำต้น หรือจากยอด ก็ย่อมได้กลิ่นหอมดี กลิ่นแท้ ฉันใด
บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้น โดยลักษณะใด ๆ
คือ โดยสุตตะ โดยเคยยะ โดยไวยากรณ์ หรือโดยอัพภูตธรรม ก็ย่อมได้ความปราโมทย์
ย่อมได้โสมนัส โดยลักษณะนั้น ฉันนั้น
(๔) เปรียบเหมือนบุรุษผู้อาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก นายแพทย์ผู้ฉลาด พึงบำบัดอาพาธของเขาโดยเร็ว ฉันใด
บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้น โดยลักษณะใด ๆ
คือ โดยสุตตะ โดยเคยยะ โดยไวยากรณ์ หรือโดยอัพภูตธรรม ความโศก
ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจ ของเขาย่อมหมดไปโดยลักษณะนั้น ๆ ฉันนั้น
(๕) เปรียบเหมือนสระน้ำ มีน้ำใสน่าเพลินใจ น้ำเย็น น้ำขาว มีท่าราบเรียบ น่ารื่นรมย์
บุรุษผู้ร้อนเพราะแดด ถูกแดดเผาเหน็ดเหนื่อย หิว ระหาย เดินมาถึง เขาลงไปในสระน้ำนั้น
อาบ ดื่ม พึงระงับความกระวนกระวาย ความเหน็ดเหนื่อย และความเร่าร้อนทั้งปวง ฉันใด
บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้น โดยลักษณะใด ๆ
คือ โดยสุตตะ โดยเคยยะ โดยไวยากรณ์ หรือโดยอัพภูตธรรม ความกระวนกระวาย ความเหน็ดเหนื่อย
และความเร่าร้อนทั้งปวงของเขา ก็ย่อมระงับไป โดยลักษณะนั้น ๆ ฉันนั้น ฯ
เมื่อปิงคิยานีพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว การณปาลีพราหมณ์ลุกจากที่นั่ง ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง
คุกเข่าข้างขวาลงบนแผ่นดินประนมอัญชลี ไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ เปล่งอุทานสามครั้งว่า
“ขอความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”
แล้วกล่าวต่อไปว่า ท่านปิงคิยานี ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งยิ่งนัก ท่านปิงคิยานี ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งยิ่งนัก
ท่านปิงคิยานีประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้
ฉะนั้น ข้าพเจ้านี้ ขอถึงท่านพระโคดมพระองค์นั้น กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอท่านปิงคิยานี จงจำข้าพเจ้า ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
หน้าที่ ๒๑๐ – ๒๑๒ ข้อที่ ๑๙๔