ผมต้องบอกว่านี่คือหนังซื่อสัตย์มากที่สุดเรื่องนึง ตั้งแต่ชื่อเรื่องเพลงของข้าว ตัวอย่างที่ตัดออกที่ใช้ดนตรีประกอบกับภาพชนบทนั้นก็พูดได้ว่าคือตัวหนังฉบับย่อ เพราะหนังนั้นไม่มีทั้งเส้นเรื่อง บทสนทนาใดๆเลยมีเพียงเสียงและภาพถอดยาวไปตลอด 75 นาที
ผมไม่เคยดูสารคดีรูปแบบนี้มาก่อน จะมีใกล้เคียงสุดก็เป็น Neighboring Sounds หนังบราซิลที่เน้นเสียงที่เกิดขึ้นในชุมชน เพียงแต่หนังเรื่องนั้นยังพอมีเส้นเรื่องให้ตาม แต่อุรุพงศ์ รักษาสัตย์ ผู้กำกับเลือกจะนำเสนอในรูปแบบที่กล้าหาญยิ่งกว่า เขาทำตัวเหมือนเป็นปั่นสามล้อถีบพานักท่องเที่ยวจากเมืองหลวง ทั่วตระเวณดูตามงานวัดตามที่ต่างๆ ซึ่งก็เขาก็ทำตัวเป็นพลขับที่ไม่ค่อยจะตามใจผู้โดยสารมากนะ เพราะหลายครั้งเขาเลือกจะให้ได้เห็นหรือได้ยินสิ่งที่เป็นธรรมดามากกว่าอะไรที่น่าตื่นเต้น
ระหว่างดูผมเกิดอาการง่วงหวิดไป หวิดอยู่หลายครั้งมาก เพราะหนังไม่ได้มีอะไรให้ติดตาม หนังแสดงวิธีชีวิตชาวบ้านซึ่งสำหรับก็บันเทิงดี แต่พอหนังเริ่มเข้าสู่การเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว หนังแสดงขบวนแห่ การร้องรำทำเพลงที่ผมเห็นเป็นประจำ ตัวผมเริ่มสนใจหนังน้อยลง แต่ไม่นานหนังก็ปล่อยไม้เด็ดคือพี่ตูนแต่งหญิง และคุณป้าฮูลาฮูป พร้อมกันนั้นหนังแสดงสิ่งที่ชนบททุกวันนี้เป็นจริงๆ ไม่ใช่เพียงชนบทในจินตนาการของคนกรุงเทพ
ผมดูหนังจบออกมาด้วยความมึนงงนิดหน่อยถึงสารที่ผู้กำกับต้องการจะบอก แต่คิดไปคิดมาเขาอาจไม่ได้อยากบอกอะไรเราเลย ไม่ได้มีโจทย์อะไรมากมายให้ตีความ หนังเรื่องนี้อาจเป็นเพียงการบันทึกช่วงเวลาหนึ่งที่แสนงดงาม เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี หรือ 100 ปี เราอาจต้องมาเปิดดูรากเง้าของเราจากหนังเรื่องนี้ก็ได้นะ
ปล. ผมบล็อกและเพจ ที่เขียนทั้งเรื่องหนัง เรื่องเพลง แต่จะเขียนทางสายอินดี้มากกว่า ถ้าสนใจยังก็ตามลิ้งด้านล่างเลย
https://basicbaldguy.wordpress.com/
https://www.facebook.com/nhungseesong
[CR] [Review] The Songs of Rice – นั่งสามล้อชมงานวัด
ผมต้องบอกว่านี่คือหนังซื่อสัตย์มากที่สุดเรื่องนึง ตั้งแต่ชื่อเรื่องเพลงของข้าว ตัวอย่างที่ตัดออกที่ใช้ดนตรีประกอบกับภาพชนบทนั้นก็พูดได้ว่าคือตัวหนังฉบับย่อ เพราะหนังนั้นไม่มีทั้งเส้นเรื่อง บทสนทนาใดๆเลยมีเพียงเสียงและภาพถอดยาวไปตลอด 75 นาที
ผมไม่เคยดูสารคดีรูปแบบนี้มาก่อน จะมีใกล้เคียงสุดก็เป็น Neighboring Sounds หนังบราซิลที่เน้นเสียงที่เกิดขึ้นในชุมชน เพียงแต่หนังเรื่องนั้นยังพอมีเส้นเรื่องให้ตาม แต่อุรุพงศ์ รักษาสัตย์ ผู้กำกับเลือกจะนำเสนอในรูปแบบที่กล้าหาญยิ่งกว่า เขาทำตัวเหมือนเป็นปั่นสามล้อถีบพานักท่องเที่ยวจากเมืองหลวง ทั่วตระเวณดูตามงานวัดตามที่ต่างๆ ซึ่งก็เขาก็ทำตัวเป็นพลขับที่ไม่ค่อยจะตามใจผู้โดยสารมากนะ เพราะหลายครั้งเขาเลือกจะให้ได้เห็นหรือได้ยินสิ่งที่เป็นธรรมดามากกว่าอะไรที่น่าตื่นเต้น
ระหว่างดูผมเกิดอาการง่วงหวิดไป หวิดอยู่หลายครั้งมาก เพราะหนังไม่ได้มีอะไรให้ติดตาม หนังแสดงวิธีชีวิตชาวบ้านซึ่งสำหรับก็บันเทิงดี แต่พอหนังเริ่มเข้าสู่การเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว หนังแสดงขบวนแห่ การร้องรำทำเพลงที่ผมเห็นเป็นประจำ ตัวผมเริ่มสนใจหนังน้อยลง แต่ไม่นานหนังก็ปล่อยไม้เด็ดคือพี่ตูนแต่งหญิง และคุณป้าฮูลาฮูป พร้อมกันนั้นหนังแสดงสิ่งที่ชนบททุกวันนี้เป็นจริงๆ ไม่ใช่เพียงชนบทในจินตนาการของคนกรุงเทพ
ผมดูหนังจบออกมาด้วยความมึนงงนิดหน่อยถึงสารที่ผู้กำกับต้องการจะบอก แต่คิดไปคิดมาเขาอาจไม่ได้อยากบอกอะไรเราเลย ไม่ได้มีโจทย์อะไรมากมายให้ตีความ หนังเรื่องนี้อาจเป็นเพียงการบันทึกช่วงเวลาหนึ่งที่แสนงดงาม เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี หรือ 100 ปี เราอาจต้องมาเปิดดูรากเง้าของเราจากหนังเรื่องนี้ก็ได้นะ
ปล. ผมบล็อกและเพจ ที่เขียนทั้งเรื่องหนัง เรื่องเพลง แต่จะเขียนทางสายอินดี้มากกว่า ถ้าสนใจยังก็ตามลิ้งด้านล่างเลย
https://basicbaldguy.wordpress.com/
https://www.facebook.com/nhungseesong