สวัสดียามเย็นค่ะ
เลิกงานแล้ว หลายคนคงเหนื่อยล้ามาทั้งวัน
ก่อนนอนคืนนี้ อ่านนิยายอารมณ์ดีกันก่อนแล้วกันน๊ะ ♪ ♫ ♪
ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/33162955
ตอนที่ ๗-ลูกไก่ใน‘กรรม’มือ (>>>ต่อครึ่งหลังนะคะ)
ภพรักพาลูกทัวร์สาวมาถึงเรือนก็ขมีขมันเอาสัมภาระขึ้นไปเก็บ หันมาเห็นเธอนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่ชานบันได แววตาผิดหวังของหญิงสาวยิ่งให้ผู้กองหนุ่มนึกขำไปกันใหญ่
“รีบอาบน้ำอาบท่าซะสิคุณ เดี๋ยวเป็นหวัดไปจะลำบาก หยูกยาที่นี่ก็ไม่ค่อยมีซะด้วย”
ชี้ไปยังกระต๊อบสังกะสีหลังกระจิ๋วหริวซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ หยิบผ้าขนหนูผืนเก่าหน้าตามอมแมมที่พาดค้างวันค้างคืนตรงราวบันไดส่งให้
“โน่นห้องน้ำ แล้วนี่ก็ผ้าเช็ดตัว คุณอาบน้ำเสร็จก็นั่งรอแถวนี้ไปก่อนนะ ผมจะไปบอกย่าแล้วก็พ่อกับแม่ และจะได้ไปกินมื้อเที่ยงกัน”
หลังจากนั่งสงบนิ่งทำใจยอมรับสภาพที่พักได้บ้างแล้ว เธอก็จัดแจงรื้อกระเป๋าที่ยังชุ่มไปด้วยน้ำคลอง บรรดาอาหารแห้งยังอยู่ในสภาพดี แต่เสื้อผ้าที่เอามาเพียงไม่กี่ชุดเปียกสนิท เธอคลี่มันออกและจัดแจงพาดผึ่งลมตามราวบันได คาดว่าโดนลมแป๊บเดียวคงแห้งพอใส่ได้
ห้องน้ำที่ภพรักชี้นิ้วบอกนั้นเล็กจนเกินกว่าจะเรียกว่าห้อง มันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมสร้างลวกๆ ด้วยสังกะสีเก่าสนิมเกรอะ เธอเดินไปจับที่ประตูก็กลัวเหลือเกินว่าถ้าโดนบาดจะต้องเป็นบาดทะยักตาย
เมื่อก้าวเข้าไปในนั้นก็พบกับตุ่มใบเล็กที่เก่ามีตะใคร่เขียวครึมขึ้นอยู่หนาแน่น ปริมาณน้ำในตุ่มก็มีอยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง หญิงสาวทอดถอนใจ แต่พอนึกย้อนไปถึงความยากลำบากตอนตะลุยแดนทากกับยัยหนอนด้วงในการตามสส.ไปท้าป่าฝนเมื่อคราวก่อนก็ให้นึกว่าคราวนี้ยังดีกว่าเยอะ เธอจึงสูดลมหายใจลึกอย่างมีความหวัง กวาดสายตาไปมองพื้นที่คับแคบโดยรอบ หลังคาที่มีรูโหว่ขนาดเท่าหลุมอุกาบาตเผยให้เห็นทิวไม้เขียวขจีตัดกับท้องฟ้าสีครามสด นกและแมลงที่พากันส่งเสียงร้องก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้หน่อย ..
“ฮื่อ.. ก็ไม่เลวนักหรอก” พยักหน้าส่งกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ หยิบขันใบเก่าก้มตักน้ำจากตุ่มอย่างเป็นสุข
ขันแรกรดลงบนศีรษะให้น้ำเย็นฉ่ำชื่นใจไหล่จากบนหัวลงจรดปลายเท้าเพื่อชำระล้างเลนโคลนจากน้ำคลอง ขันที่สองราดแรงๆ ที่ใบหน้าเพื่อจะได้สดชื่น ..แต่เอ๊ะ! คล้ายมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่บนหนังหน้า รักเดียวเอามือตะปบมัน และก็กล้าๆ กลัวๆ ตอนที่แบมือออก
“ว๊ายยยย” เสียงที่แผดร้องดังกึกก้องยิ่งกว่านกแสกแหกปากทะเลาะกับกาเหว่าดง รัศมีความดังไกลไปสามสี่กิโลเมตร ดังยิ่งกว่าคนจะออกลูกทำให้นายตำรวจภพรักที่กำลังจะเดินไปหาย่าที่เรือนใหญ่ต้องชะงักกลับหลังหันและปราดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“คุณ! เกิดอะไรขึ้น” มองเห็นแม่สาวเสียงดีเปิดประตูเผ่นแน่บไปยืนอยู่ตรงหัวบันได มีผ้าขนหนูผืนขมุกขมอมห่อเนื้อตัวเปียกโชกที่กำลังสั่นเทา
“นะ...นะ โน่น” หญิงสาวหลับตาปี๋ ชี้นิ้วไปในห้องน้ำบอกด้วยเสียงสั่นสะท้าน “สะ สะ ไส้...ไส้เดือน”
“ปัดโธ่.. นึกว่าเจองูเงี้ยวเขี้ยวขอเข้าให้ซะแล้ว” ชายหนุ่มถอนหายใจพรืด ตั้งท่าจะดึงตัวเธอมากอดเพื่อปลอบขวัญตามแผนที่คิดไว้ แต่ปรากฏว่าย่าแป้นกับพ่อและแม่เดินดุ่ยๆ หน้าถทึงเข้ามาพอดี
“เจ้าภพ! เอ็งนี่มันน่านัก” เสียงย่าดังมาก่อนจะทันถึงตัว แล้วมือหนักๆ ของย่าก็บิดมาที่ใบหูเขา ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็ไม่รอด โดนเต็มๆ นายตำรวจหนังเหนียวถึงกับสะดุ้งร้องเสียงหลง
“โอ้ย ย่า ผมเจ็บ”
“ก็ใครใช้ให้เอ็งแกล้งเมียแบบนั้นล่ะ ถนนลาดยางดีๆ เค้าสร้างไว้ให้ขับรถเข้ามา แกก็อุตริพาเมียเดินข้ามคลองจนตกน้ำตกท่า”
รักเดียวเบิกตาโต หันมองหน้าหลานชายย่าแป้นตาเขียวปั๊ด
“ไปแกล้งน้องแบบนั้นทำไมล่ะลูก ตาภพ” มารดาเขาว่า
“นั่นสิเจ้าภพ สติเอ็งยังดีอยู่หรือเปล่าวะ” นายประนพเสริมเสียงดุๆ อีกแรง “ห้องน้ำดีๆ อยู่ที่เรือนใหญ่ไม่พาไป แกล้งพามากระต๊อบร้างท้ายป่าแบบนี้ ดูสิเมียเอ็งตกใจจนปากซีดตัวสั่นหมดแล้ว”
ผู้กองหนุ่มที่โดนย่าบิดจนหูเขียวเป็นปื้นหันไปทำตากะปริบๆ กับเมียกำมะลอ กล่าวเสียงอ่อนเสียงหวานโชว์ย่าและพ่อกับแม่ว่า “เค้าก็แกล้งตะเองแบบนี้ทุกทีนี่นา” พร้อมชูนิ้วก้อยไปที่หน้าหงิกๆ ของหญิงสาว “ไม่โกรธเค้านะ นะจ๊ะ...ที่รัก นะๆ”
รักเดียวข่มความโกรธไว้ลึกสุดก้นบึ้งของหัวใจ เอาเถอะ ไว้ค่อยคิดบัญชีทีหลัง ส่งยิ้มหวานให้เขาและหันไปบอกกับทุกๆ คน “ค่ะ พี่เค้าชอบแกล้งหนูแบบนี้เป็นปกติค่ะ”
“เออๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” ย่าแป้นผงกหน้าส่งเสียงหัวเราะผ่านร่องฟันปลอม ทุกคนหันไปมองเพื่อหาเหตุผลกับคำว่าว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันของย่า “แกล้งกันแบบนี้ก็ดี ข้าจะได้อุ้มเหลนกะเค้าไวๆ”
รักเดียวที่เพิ่งจะเดินไปเก็บผ้าที่ตากเรียงรายอยู่บนราวบันได้สะดุดกึกเกือบหงายตกลงมา
“แต่เอ็งนะเอ็ง เจ้าภพ ข้าไม่ยกโทษให้เรื่องที่เอ็งเพิ่งมาบอกปุบปับว่าพาเมียมาด้วย เห็นมั้ย เลยจัดงานต้อนรับไม่ทันกันพอดี” ย่าหันไปชี้นิ้วคาดโทษหลานชายตัวดี ก่อนจะเดินมาหาหลานสะใภ้ โอบเอวของเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ทีแรกนะ ย่าตั้งใจว่าถ้าหนูมา ย่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้ใหญ่โตทีเดียวจ้ะ ย่าจะเชิญชาวบ้านทั้งตำบลมากันให้เต็มบ้าน นี่นะ เป็นเพราะเจ้าภพทีเดียวเลย” ส่งสายตาตำหนิไปยังหลานชายเสร็จก็จับจูงหลานสะใภ้พากันไปยังเรือนใหญ่ พ่อและแม่ก็เดินขนาบไปอย่างกะคนเห่อของขวัญชิ้นใหญ่ ปล่อยผู้กองหนุ่มให้ยืนหัวเน่าอยู่ที่บันไดคนเดียว
บนเรือนไม้สักทรงไทยขนาดใหญ่โต บริเวณห้องโถงรับแขกที่ปกติจะมีเพียงเสื่อปอปูอยู่อย่างเรียบง่าย หากในวันนี้ถูกยกระดับด้วยชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้โอ่อ่า จัดรูปแบบเป็นโต๊ะมื้ออาหารแสนหรูสมกับที่จะเป็นมื้อต้อนรับหลานสะใภ้คนเดียวของตระกูล
อาหารเที่ยงหน้าตาน่ารับประทานถูกทยอยลำเลียงออกมาวาง ย่าแป้นเปิดพิธีด้วยการหยิบโถข้าวเสริ์ฟใส่มาในจานของหลานสะใภ้เป็นคนแรก “ทานเยอะๆนะจ๊ะไม่ต้องเกรงใจ” ย่าว่า
“ขอบคุณมากค่ะ” รักเดียวกระพุ่มมือขึ้นพร้อมไปกับคำขอบคุณ ใบหน้าที่เซ็งจากการโดนแกล้งบานแฉ่งด้วยรอยยิ้มแห่งความซาบซึ้ง โดยเฉพาะตอนที่ย่าตักข้าวให้เธอตั้งสามทัพพีราวกับรู้ว่ากำลังหิวโซ
ย่าแป้นตักข้าวเสริ์ฟหลานสะใภ้เสร็จ พ่อก็คว้าโถข้าวไปตักใส่จานตัวเองกับจานของแม่ ก่อนที่ย่าจะกล่าวอย่างอารมณ์ดี ผลักไม้ผลักมือทุกคนให้กินข้าว
“ทานเลยจ้ะทานเลย ทานเยอะๆ ไม่ต้องกลัวหมด ข้าวปลาอาหารที่นี่อุดมสมบูรณ์”
ทั้งย่า พ่อและแม่ รวมทั้งเมียกำมะลอของเขาตักข้าวใส่ปากกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ภพรักที่เพิ่งจะหายจากอาการ‘หัวเน่า’จดๆ จ้องๆ จานข้าวว่างเปล่าของตัวเองก่อนจะมองไปที่โถข้าวพบเพียงโถข้าวที่ว่างเปล่า
“นั่งดูโถเปล่าอยู่นั่นแหละเจ้าภพ!” ย่าส่งเสียงเอ็ด “ไปเอาข้าวมาเพิ่ม ไป๊! อยู่หลังครัวโน่น”
“ผมเนี่ยนะ?” นิ้วเก้งก้างชี้เข้าหาตัวเอง คิ้วเข้มๆ ภายใต้ใบหน้าคมสันขมวดมุ่น
“ก็เออสิ!” ย่าสวนกลับทันที “พวกเด็กๆ เหนื่อยกันมาทั้งวัน ย่าก็ไล่กลับบ้านไปกันหมดแล้ว หรือเอ็งจะให้ย่าเป็นคนเดินไปตักเองล่ะ”
“ก็ได้ๆ” คนหัวเน่าเลยคอตก อุ้มโถข้าวเดินจ๋อยๆ ไปหลังครัวตามระเบียบ
...
♫ ♪ ♫ ขอจบตอนที่ ๗ ไว้เพียงเท่านี้จ๊ะ ♫ ♪ ♫
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกๆคนค่ะ
ขอบคุณกำลังใจจากคุณGTWในตอนที่แล้วด้วยนะคะ
Pop up you! เนื้อคู่ จู่ๆ ก็มา
เลิกงานแล้ว หลายคนคงเหนื่อยล้ามาทั้งวัน
ก่อนนอนคืนนี้ อ่านนิยายอารมณ์ดีกันก่อนแล้วกันน๊ะ ♪ ♫ ♪
ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/33162955
ตอนที่ ๗-ลูกไก่ใน‘กรรม’มือ (>>>ต่อครึ่งหลังนะคะ)
ภพรักพาลูกทัวร์สาวมาถึงเรือนก็ขมีขมันเอาสัมภาระขึ้นไปเก็บ หันมาเห็นเธอนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่ชานบันได แววตาผิดหวังของหญิงสาวยิ่งให้ผู้กองหนุ่มนึกขำไปกันใหญ่
“รีบอาบน้ำอาบท่าซะสิคุณ เดี๋ยวเป็นหวัดไปจะลำบาก หยูกยาที่นี่ก็ไม่ค่อยมีซะด้วย”
ชี้ไปยังกระต๊อบสังกะสีหลังกระจิ๋วหริวซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ หยิบผ้าขนหนูผืนเก่าหน้าตามอมแมมที่พาดค้างวันค้างคืนตรงราวบันไดส่งให้
“โน่นห้องน้ำ แล้วนี่ก็ผ้าเช็ดตัว คุณอาบน้ำเสร็จก็นั่งรอแถวนี้ไปก่อนนะ ผมจะไปบอกย่าแล้วก็พ่อกับแม่ และจะได้ไปกินมื้อเที่ยงกัน”
หลังจากนั่งสงบนิ่งทำใจยอมรับสภาพที่พักได้บ้างแล้ว เธอก็จัดแจงรื้อกระเป๋าที่ยังชุ่มไปด้วยน้ำคลอง บรรดาอาหารแห้งยังอยู่ในสภาพดี แต่เสื้อผ้าที่เอามาเพียงไม่กี่ชุดเปียกสนิท เธอคลี่มันออกและจัดแจงพาดผึ่งลมตามราวบันได คาดว่าโดนลมแป๊บเดียวคงแห้งพอใส่ได้
ห้องน้ำที่ภพรักชี้นิ้วบอกนั้นเล็กจนเกินกว่าจะเรียกว่าห้อง มันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมสร้างลวกๆ ด้วยสังกะสีเก่าสนิมเกรอะ เธอเดินไปจับที่ประตูก็กลัวเหลือเกินว่าถ้าโดนบาดจะต้องเป็นบาดทะยักตาย
เมื่อก้าวเข้าไปในนั้นก็พบกับตุ่มใบเล็กที่เก่ามีตะใคร่เขียวครึมขึ้นอยู่หนาแน่น ปริมาณน้ำในตุ่มก็มีอยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง หญิงสาวทอดถอนใจ แต่พอนึกย้อนไปถึงความยากลำบากตอนตะลุยแดนทากกับยัยหนอนด้วงในการตามสส.ไปท้าป่าฝนเมื่อคราวก่อนก็ให้นึกว่าคราวนี้ยังดีกว่าเยอะ เธอจึงสูดลมหายใจลึกอย่างมีความหวัง กวาดสายตาไปมองพื้นที่คับแคบโดยรอบ หลังคาที่มีรูโหว่ขนาดเท่าหลุมอุกาบาตเผยให้เห็นทิวไม้เขียวขจีตัดกับท้องฟ้าสีครามสด นกและแมลงที่พากันส่งเสียงร้องก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้หน่อย ..
“ฮื่อ.. ก็ไม่เลวนักหรอก” พยักหน้าส่งกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ หยิบขันใบเก่าก้มตักน้ำจากตุ่มอย่างเป็นสุข
ขันแรกรดลงบนศีรษะให้น้ำเย็นฉ่ำชื่นใจไหล่จากบนหัวลงจรดปลายเท้าเพื่อชำระล้างเลนโคลนจากน้ำคลอง ขันที่สองราดแรงๆ ที่ใบหน้าเพื่อจะได้สดชื่น ..แต่เอ๊ะ! คล้ายมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่บนหนังหน้า รักเดียวเอามือตะปบมัน และก็กล้าๆ กลัวๆ ตอนที่แบมือออก
“ว๊ายยยย” เสียงที่แผดร้องดังกึกก้องยิ่งกว่านกแสกแหกปากทะเลาะกับกาเหว่าดง รัศมีความดังไกลไปสามสี่กิโลเมตร ดังยิ่งกว่าคนจะออกลูกทำให้นายตำรวจภพรักที่กำลังจะเดินไปหาย่าที่เรือนใหญ่ต้องชะงักกลับหลังหันและปราดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“คุณ! เกิดอะไรขึ้น” มองเห็นแม่สาวเสียงดีเปิดประตูเผ่นแน่บไปยืนอยู่ตรงหัวบันได มีผ้าขนหนูผืนขมุกขมอมห่อเนื้อตัวเปียกโชกที่กำลังสั่นเทา
“นะ...นะ โน่น” หญิงสาวหลับตาปี๋ ชี้นิ้วไปในห้องน้ำบอกด้วยเสียงสั่นสะท้าน “สะ สะ ไส้...ไส้เดือน”
“ปัดโธ่.. นึกว่าเจองูเงี้ยวเขี้ยวขอเข้าให้ซะแล้ว” ชายหนุ่มถอนหายใจพรืด ตั้งท่าจะดึงตัวเธอมากอดเพื่อปลอบขวัญตามแผนที่คิดไว้ แต่ปรากฏว่าย่าแป้นกับพ่อและแม่เดินดุ่ยๆ หน้าถทึงเข้ามาพอดี
“เจ้าภพ! เอ็งนี่มันน่านัก” เสียงย่าดังมาก่อนจะทันถึงตัว แล้วมือหนักๆ ของย่าก็บิดมาที่ใบหูเขา ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็ไม่รอด โดนเต็มๆ นายตำรวจหนังเหนียวถึงกับสะดุ้งร้องเสียงหลง
“โอ้ย ย่า ผมเจ็บ”
“ก็ใครใช้ให้เอ็งแกล้งเมียแบบนั้นล่ะ ถนนลาดยางดีๆ เค้าสร้างไว้ให้ขับรถเข้ามา แกก็อุตริพาเมียเดินข้ามคลองจนตกน้ำตกท่า”
รักเดียวเบิกตาโต หันมองหน้าหลานชายย่าแป้นตาเขียวปั๊ด
“ไปแกล้งน้องแบบนั้นทำไมล่ะลูก ตาภพ” มารดาเขาว่า
“นั่นสิเจ้าภพ สติเอ็งยังดีอยู่หรือเปล่าวะ” นายประนพเสริมเสียงดุๆ อีกแรง “ห้องน้ำดีๆ อยู่ที่เรือนใหญ่ไม่พาไป แกล้งพามากระต๊อบร้างท้ายป่าแบบนี้ ดูสิเมียเอ็งตกใจจนปากซีดตัวสั่นหมดแล้ว”
ผู้กองหนุ่มที่โดนย่าบิดจนหูเขียวเป็นปื้นหันไปทำตากะปริบๆ กับเมียกำมะลอ กล่าวเสียงอ่อนเสียงหวานโชว์ย่าและพ่อกับแม่ว่า “เค้าก็แกล้งตะเองแบบนี้ทุกทีนี่นา” พร้อมชูนิ้วก้อยไปที่หน้าหงิกๆ ของหญิงสาว “ไม่โกรธเค้านะ นะจ๊ะ...ที่รัก นะๆ”
รักเดียวข่มความโกรธไว้ลึกสุดก้นบึ้งของหัวใจ เอาเถอะ ไว้ค่อยคิดบัญชีทีหลัง ส่งยิ้มหวานให้เขาและหันไปบอกกับทุกๆ คน “ค่ะ พี่เค้าชอบแกล้งหนูแบบนี้เป็นปกติค่ะ”
“เออๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” ย่าแป้นผงกหน้าส่งเสียงหัวเราะผ่านร่องฟันปลอม ทุกคนหันไปมองเพื่อหาเหตุผลกับคำว่าว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันของย่า “แกล้งกันแบบนี้ก็ดี ข้าจะได้อุ้มเหลนกะเค้าไวๆ”
รักเดียวที่เพิ่งจะเดินไปเก็บผ้าที่ตากเรียงรายอยู่บนราวบันได้สะดุดกึกเกือบหงายตกลงมา
“แต่เอ็งนะเอ็ง เจ้าภพ ข้าไม่ยกโทษให้เรื่องที่เอ็งเพิ่งมาบอกปุบปับว่าพาเมียมาด้วย เห็นมั้ย เลยจัดงานต้อนรับไม่ทันกันพอดี” ย่าหันไปชี้นิ้วคาดโทษหลานชายตัวดี ก่อนจะเดินมาหาหลานสะใภ้ โอบเอวของเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ทีแรกนะ ย่าตั้งใจว่าถ้าหนูมา ย่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้ใหญ่โตทีเดียวจ้ะ ย่าจะเชิญชาวบ้านทั้งตำบลมากันให้เต็มบ้าน นี่นะ เป็นเพราะเจ้าภพทีเดียวเลย” ส่งสายตาตำหนิไปยังหลานชายเสร็จก็จับจูงหลานสะใภ้พากันไปยังเรือนใหญ่ พ่อและแม่ก็เดินขนาบไปอย่างกะคนเห่อของขวัญชิ้นใหญ่ ปล่อยผู้กองหนุ่มให้ยืนหัวเน่าอยู่ที่บันไดคนเดียว
บนเรือนไม้สักทรงไทยขนาดใหญ่โต บริเวณห้องโถงรับแขกที่ปกติจะมีเพียงเสื่อปอปูอยู่อย่างเรียบง่าย หากในวันนี้ถูกยกระดับด้วยชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้โอ่อ่า จัดรูปแบบเป็นโต๊ะมื้ออาหารแสนหรูสมกับที่จะเป็นมื้อต้อนรับหลานสะใภ้คนเดียวของตระกูล
อาหารเที่ยงหน้าตาน่ารับประทานถูกทยอยลำเลียงออกมาวาง ย่าแป้นเปิดพิธีด้วยการหยิบโถข้าวเสริ์ฟใส่มาในจานของหลานสะใภ้เป็นคนแรก “ทานเยอะๆนะจ๊ะไม่ต้องเกรงใจ” ย่าว่า
“ขอบคุณมากค่ะ” รักเดียวกระพุ่มมือขึ้นพร้อมไปกับคำขอบคุณ ใบหน้าที่เซ็งจากการโดนแกล้งบานแฉ่งด้วยรอยยิ้มแห่งความซาบซึ้ง โดยเฉพาะตอนที่ย่าตักข้าวให้เธอตั้งสามทัพพีราวกับรู้ว่ากำลังหิวโซ
ย่าแป้นตักข้าวเสริ์ฟหลานสะใภ้เสร็จ พ่อก็คว้าโถข้าวไปตักใส่จานตัวเองกับจานของแม่ ก่อนที่ย่าจะกล่าวอย่างอารมณ์ดี ผลักไม้ผลักมือทุกคนให้กินข้าว
“ทานเลยจ้ะทานเลย ทานเยอะๆ ไม่ต้องกลัวหมด ข้าวปลาอาหารที่นี่อุดมสมบูรณ์”
ทั้งย่า พ่อและแม่ รวมทั้งเมียกำมะลอของเขาตักข้าวใส่ปากกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ภพรักที่เพิ่งจะหายจากอาการ‘หัวเน่า’จดๆ จ้องๆ จานข้าวว่างเปล่าของตัวเองก่อนจะมองไปที่โถข้าวพบเพียงโถข้าวที่ว่างเปล่า
“นั่งดูโถเปล่าอยู่นั่นแหละเจ้าภพ!” ย่าส่งเสียงเอ็ด “ไปเอาข้าวมาเพิ่ม ไป๊! อยู่หลังครัวโน่น”
“ผมเนี่ยนะ?” นิ้วเก้งก้างชี้เข้าหาตัวเอง คิ้วเข้มๆ ภายใต้ใบหน้าคมสันขมวดมุ่น
“ก็เออสิ!” ย่าสวนกลับทันที “พวกเด็กๆ เหนื่อยกันมาทั้งวัน ย่าก็ไล่กลับบ้านไปกันหมดแล้ว หรือเอ็งจะให้ย่าเป็นคนเดินไปตักเองล่ะ”
“ก็ได้ๆ” คนหัวเน่าเลยคอตก อุ้มโถข้าวเดินจ๋อยๆ ไปหลังครัวตามระเบียบ
...
♫ ♪ ♫ ขอจบตอนที่ ๗ ไว้เพียงเท่านี้จ๊ะ ♫ ♪ ♫
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกๆคนค่ะ
ขอบคุณกำลังใจจากคุณGTWในตอนที่แล้วด้วยนะคะ