ตอนที่เข้ามาที่คลับภาวนาใหม่ๆ ก็ไม่เข้าใจว่าการภาวนาหมายถึงอะไร คงจะเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจบัญญัติสักเท่าไหร่กระมัง แต่ก็เข้ามาค่ะ เข้ามาอ่านบ้าง เข้ามาตั้งกระทู้บ้าง แล้วก็ไม่ได้สนใจที่จะรู้จริงๆ ว่าภาวนาคืออะไร เป็นความเข้าใจของตัวเองว่า การภาวนาก็คือการปฏิบัติธรรมโดยมีสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจอันได้แก่ คำบริกรรมต่างๆ เพื่อให้จิตสงบเหมาะแก่การงาน เป็นฌานไปจนถึงเจริญปัญญา เป็นการพัฒนาจิตให้มีความก้าวหน้าในทางธรรม
ด้วยเป็นคนที่มีจริตไม่ถามจากใคร ค้นคว้าเอาเอง จากการอ่าน การฟัง การคิด ซึ่งข้อหลังก็ไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ เรียกว่าไม่คิด ไม่ใช้สังขารขันธ์ค่ะ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่ใช้ซะเลย ก็เลยได้ข้อสรุปว่า
การเจริญภาวนาในที่นี้หมายถึงการปฏิบัติเพื่อเข้าใจในหลักของธรรมะ เข้าใจความเป็นไปของชีวิต เพื่อให้จิตใจผ่องใสเบิกบาน โดยแบ่งออกเป็นสามระดับ ซึ่งล้วนแต่มีจุดดีไปคนละแบบ ดังนี้ค่ะ
การสวดมนต์ เป็นการทำให้จิตมีสมาธิอยู่กับบทสวดมนต์ และพระพุทธรูปที่อยู่เบื้องหน้า นอกจากนี้ยังได้อนิสงค์จากพุทธคุณของพระคาถาต่างๆ ที่เราอ่าน หรือเปล่งวาจาออกไป และพระคาถาต่างๆ ล้วนเป็นถ้อยคำมงคล ทำให้เกิดศิริมงคลแต่ตัวผู้เปล่งวาจา และผู้ที่ได้ยิน คนโบราณ เชื่อกันว่าหมู่เทวดาชอบฟังธรรมะ และเสียงสวดมนต์ และจะอวยพรอันเป็นมงคลแก่ผู้เปล่งวาจานั้นๆ ...
การทำสมาธิ เป็นการฝึกปฏิบัติตนให้มั่นคงอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้บุคคลที่ทำสมาธินั้น พ้นจากกิเลส เป็นช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งยังเป็นการฝึกจิตใจ ให้นิ่งไม่อ่อนไหวง่าย และมั่นคงมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญปัญหาที่เกิดขึ้นการการดำเนินชีวิตปรกติ ในขั้นตอนการทำสมาธิ จะแนะนำวิธีการหายใจแบบสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ร่างกาย แข็งแรง และผ่อนคลายความเครียด...
การเจริญวิปัสสนา คือการต่อยอดจากการฝึกสมาธิขึ้นมาอีกขั้น แตกต่างจากการทำสมาธิที่จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เปลี่ยนมาเป็นการพิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้ง มองเห็นความเป็นไป และทางออก โดยไม่ฟุ้งซ่าน สับสน เช่นการพิจารณาสังขาร มองเห็นความเป็นไปตามสัจธรรม ทำให้ไม่เกิดความยึดติด เป็นต้น
การทำสมาธิ ฌาน ต่างกับการภาวนาหรือเหมือนกันอย่างไร?
ด้วยเป็นคนที่มีจริตไม่ถามจากใคร ค้นคว้าเอาเอง จากการอ่าน การฟัง การคิด ซึ่งข้อหลังก็ไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ เรียกว่าไม่คิด ไม่ใช้สังขารขันธ์ค่ะ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่ใช้ซะเลย ก็เลยได้ข้อสรุปว่า
การเจริญภาวนาในที่นี้หมายถึงการปฏิบัติเพื่อเข้าใจในหลักของธรรมะ เข้าใจความเป็นไปของชีวิต เพื่อให้จิตใจผ่องใสเบิกบาน โดยแบ่งออกเป็นสามระดับ ซึ่งล้วนแต่มีจุดดีไปคนละแบบ ดังนี้ค่ะ
การสวดมนต์ เป็นการทำให้จิตมีสมาธิอยู่กับบทสวดมนต์ และพระพุทธรูปที่อยู่เบื้องหน้า นอกจากนี้ยังได้อนิสงค์จากพุทธคุณของพระคาถาต่างๆ ที่เราอ่าน หรือเปล่งวาจาออกไป และพระคาถาต่างๆ ล้วนเป็นถ้อยคำมงคล ทำให้เกิดศิริมงคลแต่ตัวผู้เปล่งวาจา และผู้ที่ได้ยิน คนโบราณ เชื่อกันว่าหมู่เทวดาชอบฟังธรรมะ และเสียงสวดมนต์ และจะอวยพรอันเป็นมงคลแก่ผู้เปล่งวาจานั้นๆ ...
การทำสมาธิ เป็นการฝึกปฏิบัติตนให้มั่นคงอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้บุคคลที่ทำสมาธินั้น พ้นจากกิเลส เป็นช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งยังเป็นการฝึกจิตใจ ให้นิ่งไม่อ่อนไหวง่าย และมั่นคงมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญปัญหาที่เกิดขึ้นการการดำเนินชีวิตปรกติ ในขั้นตอนการทำสมาธิ จะแนะนำวิธีการหายใจแบบสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ร่างกาย แข็งแรง และผ่อนคลายความเครียด...
การเจริญวิปัสสนา คือการต่อยอดจากการฝึกสมาธิขึ้นมาอีกขั้น แตกต่างจากการทำสมาธิที่จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เปลี่ยนมาเป็นการพิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้ง มองเห็นความเป็นไป และทางออก โดยไม่ฟุ้งซ่าน สับสน เช่นการพิจารณาสังขาร มองเห็นความเป็นไปตามสัจธรรม ทำให้ไม่เกิดความยึดติด เป็นต้น