จากกระทู้ลิงค์ข้างล่าง และมีบางประเด็นที่ลืมโพสต์ถึง และกระทู้ยาวมากแล้ว
http://ppantip.com/topic/33132550
ก็ขอแยกมาตั้งกระทู้เพิ่มเติมต่างหาก
มานั่งนึกเพิ่มเติม
มีอะไรอีก ที่ทำให้ผมสามารถนั่งดูราคาหุ้นในพอร์ต ได้เกือบทุกวันทำการ
จนมีราคาเพิ่มมากกว่าหนึ่งเท่า ไปจนถึงสิบเท่า ?
ขอเพิ่มเติมดังนี้ครับ
๑ ผมไม่เคยตั้งเป้าหมายราคาหุ้นที่ถือในพอร์ต
ใครไม่เชื่อ ลองไล่อ่านกระทู้ที่เคยตั้ง เคยออกความเห็นดูได้เลย
พอไม่เคยตั้งเป้าราคาหุ้นในพอร์ตเอาไว้
ก็เท่ากับเราสามารถอยู่กับปัจจุบันของราคาหุ้นได้
โดยไม่รู้สึกว่า มีแรงกดดันต้องให้ขาย ทั้งๆที่เราเชื่อว่ายังมีแต้มต่อเหลือให้ถือได้
คงบอกได้ว่า ผมจะอยู่กับปัจจุบันของราคาหุ้น
และในอนาคต ก็จะอยู่กับปัจจุบันของราคาหุ้นในตอนนั้น ซึ่งก็จะกลายเป็นปัจจุบันแล้วเช่นกัน
๒ ไม่มีเป้าหมายด้านราคาหุ้น แต่มีเป้าหมายด้านยีลด์ปันผลที่ได้จากหุ้น
ว่าต้องสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากที่ดีที่สุดของของธนาคาร ในระยะเวลาเท่าๆกัน นั่นคือ หนึ่งปีเป็นหลัก
ซึ่งมันเป็นเป้าหมาย ที่น่าจะทำได้ง่ายๆ
เพราะเราคาดหวังผลตอบแทนจากเจ้ามือตัวจริง มากกว่าเจ้ามือแด็กส์ด่วน
ถ้าราคาหุ้นขยับขึ้น พร้อมกับบริษัทจ่ายปันผลเพิ่ม
เท่ากับเราได้ยีลด์ปันเผลเท่าเดิม
เช่นซื้อ sithai ตอน ๕ บาท (พาร์สิบบาท) ได้เงินปัน ๓๕ สตางค์ ต่อหุ้น เท่ากับยีลด์ ๗ เปอร์เซนต์
มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารมากกว่า ๒ เท่า ก็ถือไปเรื่อยๆ
ถือจนราคาหุ้นขยับขึ้นมากๆ ยีลด์ลดฮวบ แม้จะจ่ายปันผลเพิ่มเกือบสามเท่า
ก็ต้องลดแรงกดดันตัวเอง ด้วยการขายหุ้น เอาทุนคืนออกมาให้หมด (บวกกำไรส่วนเกินทุนจำนวนหนึ่ง)
จากห้าแสนหุ้น(พาร์สิบบาท) ตอนนี้เลยเหลือจากขายคลายเครียดเรโช ไปที่ ๒๓ บาทที่พาร์สิบบาท เมื่อสองปีกอ่น
จำนวน ๓ ล้านหุ้น(พาร์หนึ่งบาท)
ที่เหลือก็ถือต่อ โดยไม่รู้สึกว่ามีแรงกดดัน ไม่ว่าจากเงินมายาของราคาหุ้น จากยีลด์ปันผล หรือผลประกอบการ
ถ้าผลประกอบการยังมีโอกาสโตได้อีก ก็ถือ
ถ้าราคาหุ้นโตเกินผลประกอบการมากๆ ก็ขาย
ไอเฟคก็ได้ขายเอาทุนตัวเองออกมาจนหมดแล้ว
เลยไม่มีแรงกดดัน ให้ต้องขายหุ้นที่เหลือ
ได้แต่รอวันขายให้ได้ราคาที่เราพอใจเท่านั้น
ไอเฟคในตอนนี้
ผมไม่ได้ตามดูเจ้ามือตัวจริงแล้ว นั่งดูการกระทำของเจ้ามือแด็กส์ด่วนกระทำกับราคาหุ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าไม่มีการต่อยอด ดัดแปลงประยุกต์ให้วิธีการของเรา
ยังเกาะติดแค่รูปแบบเดิมๆ เรื่องแต้มต่อ ก็ต้องขายทิ้งไปนานแล้ว
ที่ผมจะทำสม่ำเสมอคือ นั่งดูราคาหุ้น บริหารสุขภาพจิตตัวเองไปเรื่อยๆ
แล้วถือรอขายเท่าที่เรามีความพอใจ
ไม่ใช่รอขายให้มันได้ราคาที่เราต้องการ โดยไม่มีเหตุผลอะไรรองรับ
เราพอใจเท่าที่ได้ กับเราต้องการอยากจะได้
สำหรับผม มันไม่เหมือนกันครับ
เกาะติดกับพอใจเท่าที่ได้ เลยนั่งดูเงินมายา วิ่งขึ้น วิ่งลง ได้แบบไม่ต้องดูไป นั่งกัดเล็บไป
๓ ลักษณะทางอุปนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ไม่ว่าอุปนิสัยนั้นจะเป็นผลดีหรือผลเสียในการซือขายหุ้น
ถ้าใครทำฝืนอุปนิสัยตัวเอง จะเครียดมากกว่าทำตามอุปนิสัยของตัวเอง
คนที่เป็นนักลงทุนแบบไฟทเตอร์ หรือมวยบุก จะเน้นที่เป้าหมายให้พุ่งชน
แล้วพยายามทำทุกอย่าง ให้ถึงเป้าหมายให้ได้
ในเวลาและปริมาณเงินที่ตัวเองกำหนด
ส่วนคนที่เป็นนักลงทุนแบบบ๊อกเซอร์ หรือมวยตั้งรับ จะไม่เน้นที่เป้าหมาย หรือไม่มีเป้าหมายให้พุ่งชน
เน้นที่การเดินทางไปเรื่อยๆ แวะกินกาแฟ แวะชมดอกไม้ไปตามรายทาง
ทำได้แค่แย็บๆแล้วถอยวน ชกเก็บคะแนนไปเรื่อย ๆ รอผลลัพธ์การรวมคะแนนตอนครบยก
หรือโอกาสทองดันเข้ามา ก็โป้งเดียวจอดได้เหมือนกัน ฮาฮา
คงไม่ต้องบอกว่า อุปนิสัยของผม เป็นมวยบุกหรือมวยตั้งรับ
คร่าวๆ เพิ่มเติม ก็มีประมาณนี้ครับ
ใครมีอุปนิสัยแบบมวยตั้งรับ ลองพิจารณาดู
ส่วนพวกมวยบุก ก็ต้องหาแนวทางแบบมวยบุกกันเอาเองครับ
มีอุปนิสัยแบบมวยบุก แล้วดันไปเป็นมวยตั้งรับ
ไม่เครียดหนัก ก็เจ๊ง เพราะทำตามไม่ได้
มีอุปนิสัยแบบมวยตั้งรับ แล้วดันไปเป็นมวยบุก
เพราะอยากจะเอาชนะแบบโป้งเดียวจอด
ก็จะเครียดหนัก เพราะไอ้โป้งเดียวจอด มันไม่ยักจะมาซักที
แถมเจอเจ้ามือแด็กส์ด่วน สวนหมัดต้มตุ๋นมาทีเดียว สลบคาเวทีหุ้น
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ขอเพิ่มเติมเรื่องการนั่งดูราคาหุ้นได้ทุกวัน
http://ppantip.com/topic/33132550
ก็ขอแยกมาตั้งกระทู้เพิ่มเติมต่างหาก
มานั่งนึกเพิ่มเติม
มีอะไรอีก ที่ทำให้ผมสามารถนั่งดูราคาหุ้นในพอร์ต ได้เกือบทุกวันทำการ
จนมีราคาเพิ่มมากกว่าหนึ่งเท่า ไปจนถึงสิบเท่า ?
ขอเพิ่มเติมดังนี้ครับ
ใครไม่เชื่อ ลองไล่อ่านกระทู้ที่เคยตั้ง เคยออกความเห็นดูได้เลย
พอไม่เคยตั้งเป้าราคาหุ้นในพอร์ตเอาไว้
ก็เท่ากับเราสามารถอยู่กับปัจจุบันของราคาหุ้นได้
โดยไม่รู้สึกว่า มีแรงกดดันต้องให้ขาย ทั้งๆที่เราเชื่อว่ายังมีแต้มต่อเหลือให้ถือได้
คงบอกได้ว่า ผมจะอยู่กับปัจจุบันของราคาหุ้น
และในอนาคต ก็จะอยู่กับปัจจุบันของราคาหุ้นในตอนนั้น ซึ่งก็จะกลายเป็นปัจจุบันแล้วเช่นกัน
ว่าต้องสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากที่ดีที่สุดของของธนาคาร ในระยะเวลาเท่าๆกัน นั่นคือ หนึ่งปีเป็นหลัก
ซึ่งมันเป็นเป้าหมาย ที่น่าจะทำได้ง่ายๆ
เพราะเราคาดหวังผลตอบแทนจากเจ้ามือตัวจริง มากกว่าเจ้ามือแด็กส์ด่วน
ถ้าราคาหุ้นขยับขึ้น พร้อมกับบริษัทจ่ายปันผลเพิ่ม
เท่ากับเราได้ยีลด์ปันเผลเท่าเดิม
เช่นซื้อ sithai ตอน ๕ บาท (พาร์สิบบาท) ได้เงินปัน ๓๕ สตางค์ ต่อหุ้น เท่ากับยีลด์ ๗ เปอร์เซนต์
มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารมากกว่า ๒ เท่า ก็ถือไปเรื่อยๆ
ถือจนราคาหุ้นขยับขึ้นมากๆ ยีลด์ลดฮวบ แม้จะจ่ายปันผลเพิ่มเกือบสามเท่า
ก็ต้องลดแรงกดดันตัวเอง ด้วยการขายหุ้น เอาทุนคืนออกมาให้หมด (บวกกำไรส่วนเกินทุนจำนวนหนึ่ง)
จากห้าแสนหุ้น(พาร์สิบบาท) ตอนนี้เลยเหลือจากขายคลายเครียดเรโช ไปที่ ๒๓ บาทที่พาร์สิบบาท เมื่อสองปีกอ่น
จำนวน ๓ ล้านหุ้น(พาร์หนึ่งบาท)
ที่เหลือก็ถือต่อ โดยไม่รู้สึกว่ามีแรงกดดัน ไม่ว่าจากเงินมายาของราคาหุ้น จากยีลด์ปันผล หรือผลประกอบการ
ถ้าผลประกอบการยังมีโอกาสโตได้อีก ก็ถือ
ถ้าราคาหุ้นโตเกินผลประกอบการมากๆ ก็ขาย
ไอเฟคก็ได้ขายเอาทุนตัวเองออกมาจนหมดแล้ว
เลยไม่มีแรงกดดัน ให้ต้องขายหุ้นที่เหลือ
ได้แต่รอวันขายให้ได้ราคาที่เราพอใจเท่านั้น
ไอเฟคในตอนนี้
ผมไม่ได้ตามดูเจ้ามือตัวจริงแล้ว นั่งดูการกระทำของเจ้ามือแด็กส์ด่วนกระทำกับราคาหุ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าไม่มีการต่อยอด ดัดแปลงประยุกต์ให้วิธีการของเรา
ยังเกาะติดแค่รูปแบบเดิมๆ เรื่องแต้มต่อ ก็ต้องขายทิ้งไปนานแล้ว
ที่ผมจะทำสม่ำเสมอคือ นั่งดูราคาหุ้น บริหารสุขภาพจิตตัวเองไปเรื่อยๆ
แล้วถือรอขายเท่าที่เรามีความพอใจ
ไม่ใช่รอขายให้มันได้ราคาที่เราต้องการ โดยไม่มีเหตุผลอะไรรองรับ
เราพอใจเท่าที่ได้ กับเราต้องการอยากจะได้
สำหรับผม มันไม่เหมือนกันครับ
เกาะติดกับพอใจเท่าที่ได้ เลยนั่งดูเงินมายา วิ่งขึ้น วิ่งลง ได้แบบไม่ต้องดูไป นั่งกัดเล็บไป
๓ ลักษณะทางอุปนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ไม่ว่าอุปนิสัยนั้นจะเป็นผลดีหรือผลเสียในการซือขายหุ้น
ถ้าใครทำฝืนอุปนิสัยตัวเอง จะเครียดมากกว่าทำตามอุปนิสัยของตัวเอง
คนที่เป็นนักลงทุนแบบไฟทเตอร์ หรือมวยบุก จะเน้นที่เป้าหมายให้พุ่งชน
แล้วพยายามทำทุกอย่าง ให้ถึงเป้าหมายให้ได้
ในเวลาและปริมาณเงินที่ตัวเองกำหนด
ส่วนคนที่เป็นนักลงทุนแบบบ๊อกเซอร์ หรือมวยตั้งรับ จะไม่เน้นที่เป้าหมาย หรือไม่มีเป้าหมายให้พุ่งชน
เน้นที่การเดินทางไปเรื่อยๆ แวะกินกาแฟ แวะชมดอกไม้ไปตามรายทาง
ทำได้แค่แย็บๆแล้วถอยวน ชกเก็บคะแนนไปเรื่อย ๆ รอผลลัพธ์การรวมคะแนนตอนครบยก
หรือโอกาสทองดันเข้ามา ก็โป้งเดียวจอดได้เหมือนกัน ฮาฮา
คงไม่ต้องบอกว่า อุปนิสัยของผม เป็นมวยบุกหรือมวยตั้งรับ
คร่าวๆ เพิ่มเติม ก็มีประมาณนี้ครับ
ใครมีอุปนิสัยแบบมวยตั้งรับ ลองพิจารณาดู
ส่วนพวกมวยบุก ก็ต้องหาแนวทางแบบมวยบุกกันเอาเองครับ
มีอุปนิสัยแบบมวยบุก แล้วดันไปเป็นมวยตั้งรับ
ไม่เครียดหนัก ก็เจ๊ง เพราะทำตามไม่ได้
มีอุปนิสัยแบบมวยตั้งรับ แล้วดันไปเป็นมวยบุก
เพราะอยากจะเอาชนะแบบโป้งเดียวจอด
ก็จะเครียดหนัก เพราะไอ้โป้งเดียวจอด มันไม่ยักจะมาซักที
แถมเจอเจ้ามือแด็กส์ด่วน สวนหมัดต้มตุ๋นมาทีเดียว สลบคาเวทีหุ้น