ตอนที่ 1
“ความรักนั้นเหมือนตัวตลก เสกให้คนหัวเราะจนร้องไห้ได้ และก็สามารถทำให้คนกลัวจนขนลุกซู่ได้เช่นกัน” มุนีอ่านเรียงความบรรทัดแรกของเธอหน้าชั้นเรียน พลางส่งยิ้มหวานแก่เพื่อนๆในห้องเรียนของเธอด้วยใบหน้าอ่อนโยน ก่อนที่จะก้มลงอ่านเรียงความของเธอต่อไป
“ความรักเปรียบเสมือนทองคำที่แพง และสูงค่า แต่ก็สามารถละลายหายไปได้เมื่อเกิดเพลิงไหม้ ความรักไม่ใช่สิ่งที่นับได้ แต่มันสามารถทำให้หัวใจเปี่ยมล้นได้ ความรักเปรียบเสมือนกิโยติน เพราะความรักนั้นประหัตประหารตัดเศียรคน สร้างได้ทั้งความพึงพอใจ และความเศร้าโศกได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นความรักของฉันจึงเป็นดั่งกิโยติน หากคุณรักฉัน ฉันก็จะรักคุณ แต่หากคุณทำร้ายฉัน ฉันก็จะประหัตประหารคุณให้ตายภายใต้กิโยติน นี่คือ มุมมองของข้าพเจ้าที่มีต่อความรักของพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด แห่งตระกูลทิวดอร์” เสียงปรบมือกึกก้องทั่วห้องจากเพื่อนนักเรียน มุนียิ้มหวาน และค่อยๆเดินเข้าไปนั่งที่ของเธออย่างเขินอาย
“โอ๊ย...แก อินมากกกก ฉันนึกว่าแกเป็นแอนด์ โบลีนเลยนะเนี่ย” พิจิกาเพื่อนสนิทของมุนีแซวอย่างออกรสชาติ ในขณะที่มุนีได้แต่ตีแขนปรามเพื่อนเบาๆในขณะที่แก้มนั้นแดงจนดูเหมือนเธอเขินอาย
“เอาหล่ะ มีใครจะนำเสนอเรียงความสั้นๆถึงหนังสือ หรือตัวละครที่ตนเองอ่านอีกไหม ถ้าไม่มีวันนี้เราก็จะมาเรียนกันต่อจากเมื่อวานนะคะ”นักเรียนทุกคนในห้อง ม.5/2 เปิดหนังสือเรียนเรียนตามบทเรียนไปเรื่อยๆจนหมดชั่วโมงเรียน
ณ.โรงอาหาร เวลาพักเที่ยง มุนี และพิจิกานั่งทานข้าวอยู่กับเพื่อนๆอีกสองคน อย่างสนุกสนาน
“นี่มุนี! ฉันถามจริงๆเหอะ แกชอบอะไรในตัวอีพระเจ้าเฮนรี่นี่นักวะ ฉันดูซีรีส์เรื่องทิวดอร์มานะ ฉันว่าอีตาแก่นี่ ออกแนวน่ากลัวด้วยซ้ำ” ปรารถนาเพื่อนในกลุ่มถามมุนีอย่างตรงไปตรงมา มุนีเองก็ไม่สามารถตอบได้ ถ้าเธอตอบว่าเธอชอบผู้ชายแบบนี้ เธอก็กลัวว่าเพื่อนๆของเธอจะมองว่าเธอแปลก มุนีไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเขียนถึงสิ่งต่างๆ เธอไม่ชอบคำถามที่เจาะจงถึงความรู้สึก ซึ่งเพื่อนสนิทอย่างพิจิกาเข้าใจเธอดีมาก และหลายครั้งที่พิจิกาจะช่วยเธอตัดบทคำพูดที่เจาะจงเหล่านี้แทนที่จะกดดันเธอให้ตอบ หรือพูดในสิ่งที่เธอไม่อยากจะพูด ครั้งนี้ก็เช่นกัน พิจิกา ช่วยเธอจากคำถามที่เธอไม่อยากตอบจากปรารถนา และช่วยให้เธอได้ทานข้าวต่อได้อย่างสะดวกใจ พิจิกา คือเพื่อนที่มุนีรักมากที่สุด หลายครั้งที่มุนีไม่ต้องพูดอะไรเลย แต่พิจิกาก็จะเข้าใจเสมอ มุนีที่พูดไม่เก่งนั้น ดูเหมือนจะมีอัศวินอย่างพิจิกาคอยปกป้องอยู่เสมอ
“เฮ้ย! อิ่มแล้วอ่ะ พวกเราไปหาไรทำกันต่อเหอะ” ปรารถนาเอ่ยขึ้น
“โอ๊ย แกจะไปไหนวะ ขอกินติมกะทิก่อนดิ” กทิกาเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดเล็กๆ
“แหม นังกะทิ ชื่อก็ชื่อกะทิ ยังจะกินตัวเองอีกเหรอ” พิจิกาแซว
“ไรอ่ะพิจิก นี่แกชื่อพิจิกา หรือนกจิกตากันแน่วะ ตล๊อด ตลอดอ่ะ มุนี ปะกินติมทิกัน” กทิกายื่นมือมาดึงแขนชวนมุนี มุนียิ้มหวานจับมือกะทิไปซื้อไอติมด้วยกัน
“นี่ นังพิจิก ฉันว่านะ แกอย่าไปทำมันเลยหว่ะ ขอร้องเหอะ มุนีมันไม่ได้ตั้งใจหรอกแก เชื่อดิ” พิจิกาทำหน้านิ่งๆ ก่อนเหลือบตาขึ้นยิ้มหวานๆให้ปรารถนา
“นี่! นังปาดหนา แกคิดว่าฉันอยากจะใจร้ายกับมันไหม เห็นเงียบๆเหมือนฤาษี ใครจะคิดว่ามันจะ...”
“พิจิกา อะ! เราซือ้ไอติมมาให้ด้วยนะ” มุนียื่นถ้วยไอติมกะทิให้พิจิกา ด้วยรอยยิ้มที่สดใส
“โอ๊ย! มุนีขอบใจนะ นึกถึงเราเสมอเลยอ่ะ ประทับใจอ่ะ” พิจิกาพูดพลางทำหน้าอ้อนใส่มุนี
ทั้งสี่สาวนั่งทานไอศกรีมจนหมด โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า เพื่อนที่ดูรักกัน 4 คนนั้น มีความลับอะไรซ่อนอยู่
************************************************************************************************
เช้าวันรุ่งขึ้น กทิกา วิ่งหน้าตื่นมายังห้องเรียน อีกเพียงยี่สิบนาทีก็จะถึงเวลาเข้าห้องเรียน เมือ่เห็นสามสาวก็วิ่งดิ่งเข้าไปหา
“เฮ้ยยยยย! ฉันลืมทำการบ้านมา มุนี ปาดหนา พิจิก ขอลอกหน่อยดิ” กทิกาหอบไปพูดไป พลางรีบหยิบหนังสือและสมุดออกมา กระดาษแผ่นหนึ่งหลุดออกจากหนังสืออย่างไม่ได้ตั้งใจ พิจิกาเห็นจึงเลื่อเก้าอี้ออกและหยิบขึ้นมาดู
“แหม กะทิ ความรักของแกเหรอวะ หนอยๆๆๆ เยิ้มเลยนะ” กทิกาตกใจรีบดึงกระดาษออกมาจากมือพิจิกาทันที
“เฮยย แกอ่านดิ อ่านเลย วันนี้อ่ะ” พิจิกาส่งเสริม
“ไรอ่ะ ขออ่านบ้างดิ” ปรารถนาร้องของด้วยน้ำเสียงสูงและตื่นเต้น พิจิกา และกทิกาของหน้ากันก่อนที่จะหันมาพูดพร้อมกันใส่ปรารถนา ว่า “ไม่!!” และหัวเราะอย่างสนุกสนานกันสองคนต่อหน้ามุนีและปรารถนา
คาบเรียนที่สองของวัน กทิกา ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนพร้อมเรียงความสั้นๆในมือเธอ ทั้งเพื่อนในชั้น และครูต่างตั้งใจฟังสิ่งที่เธอจะพูดออกมา
“ความรักของฉันเปรียบดั่งภู่แมลง เมื่อถึงช่วงเวลาดอกไม้บาน ก็จะเสาะหาทั้งน้ำหวาน และสปอร์เพื่อผสมพันธ์ ความรักนั้นก็เช่นกัน ความรักต้องการการเสาะหาตีราคาถึงคุณค่า ความรักไม่ใช่สิ่งที่จะถูกแช่แข็ง แต่ปลิดปลิวไปตามสายลมแห่งฤดูกาล ความรักจึงเป็นมากกว่าแค่ความรัก นี่คือมุมมองความรักของฉัน เมื่อได้มองดูเหล่าภุมรีออกบินร่อนหาที่หยุดพักเพื่อให้เกสรได้ปลิดปลิว”
เมื่อกทิกาอ่านจบเสียงปรบมือดังขึ้น แต่กทิกากลับยิ้มเจื่อนๆ ก่อนที่จะเดินเข้ามานั่งที่
“นังกะทิ แกเขียนไรของแกวะ ยิ่งฟังยิ่งงง” ปรารถนาถามกทิกาอย่างสงสัย
“เรียนแกเรียน เรียนไปเหอะ เรียนให้มากๆ เดี๋ยวก็เข้าใจเองแหละ”
“โอ แรงอ่ะ ถามแค่นี้”
“ฟังแกฟัง ฟังเพื่อนคนอื่นอ่านเหอะ นังปาดหนา” กทิกาตัดบทเบาๆ พลางนึกตำหนิตนเองในใจ เธอยังไม่น่าออกไปอ่านสิ่งที่เธอเขียนเลย เพียงแค่เพราะพิจิกาบอกว่าดี เธอก็ออกไปแล้ว ทุกทีสิน่า กทิกาตำหนิตัวเอง ก่อนที่จะละความคิดเข้ามาสู่ชั้นเรียนของตนเอง
“เอาหล่ะค่ะ นักเรียน วันนี้ครูขอคนสุดท้าย ใครดีคะ??”
“หนูค่ะ” พิจิกายกมือขึ้น อย่างกล้าหาญ ทุกสายตาหันไปมอง พิจิพาสาวมั่นใจ ค่อยๆลุกจากโต๊ะเรียน เธอเลือนเก้าอี้ไปด้านหลังและค่อยๆเดินไปหน้าห้องอย่างสง่างาม รอยยิ้มของพิจิกาแตกต่างจกมุนี รอยยิ้มของพิจิกาเป็นรอยยิ้มของความกล้าหาญ พิจิกาได้ชื่อว่าเป็นคนที่กล้าหาญที่สุดในชั้นเรียน เธอรักเพื่อนๆ และมักคอยช่วยเหลือเพื่อนๆเสมอ ดังนั้นเธอจึงเป็นเหมือนผู้นำของห้องไปโดยปริยาย พิจิกาคลี่กระดาษที่พับครึ่งออกมา ก่อนที่จะปิดมัน และเก็บลงใส่ในกระเป๋ากระโปรง
“เมื่อข้าพเจ้าได้อ่าน ข้าพเจ้าทำความเข้าใจ ข้าพเจ้าพยายามที่จะเข้าใจ ถึงสิ่งต่างๆที่เป็นเหตุ และเป็นผลของพฤติกรรม ข้าพเจ้าสงสัยในคามรักที่เกิดขึ้นของตัวละคร ข้าพเจ้าสงสัยในความริษยาของตัวละคร ข้าพเจ้าเคลือบแคลงในความคั่งแค้นของตัวละคร อะไรนะคือ แรงผลักดันของสิ่งเหล่านั้น ข้าพเจ้าสงสัย จนเมื่อนิยายที่ข้าพเจ้าอ่านจะจบเล่ม ข้าพเจ้าถึงเข้าใจ คำว่า สัญชาตญาณ สัญชาตญาณที่มีต่อกรปกป้องจิตใจของตัวเรา และปกปักษ์ต่ออริราษฏ์ของเรา เราทุกคนมีสัญชาตญาณ และมีความหวังว่าจะมีสิ่งที่ดีๆเข้ามา และแน่นอนเราต่อต้านสิ่งที่จะเข้ามาพรากสิ่งที่ไม่ดีนั้นออกไป เพราะเรามีสัญชาตญาณ ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอยกคำกล่าวอันมีค่านี้มา เพราะเราคิดเราจึงมีอยู่ เรอเน่ เดคาร์ด นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ผู้มีร่างกายไม่สมประกอบแตกต่างจากความคิดอันสมบูรณ์แบบได้กล่าวไว้ และข้าพเจ้ามีมุมมองว่า ความคิดเช่นนี้ทำให้เรามีตัวตนมากพอที่จะเข้าใจถึงสิ่งๆต่าง อันเป็นพฤติกรรมของตัวละครในนิยาย และสิ่งที่เรียกว่า ความรัก”
เสียงปรบมือดังกึกก้องแก่ พิจิกา พิจิกาเป็นคนที่มีความคิดซับซ้อนเสมอ เธอมักชอบคิด และอ่านในสิ่งที่ยากๆเสมอ นั่นเพระเธอเชื่อว่ามันจะนำพาเธอไปสู่สิ่งที่ดีได้ โลกของพิจิกานั้นซับซ้อนเกินที่คนที่เหินห่างจะเข้าใจ สิ่งที่มองเห็นภายนอกนั้นช่างแตกต่างจากสิ่งที่อยู่ข้างในของเธอเหลือเกิน มุนีมองเปลือกของพิจิกาอย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้เสียงปรบมืออันดังลั่นห้องนั้น คำชมที่ครูกำลังให้แก่พิจิกานั้น สิ่งที่มุนีเพื่อนสนิทของพิจิกามองเห็น คือ ร่างอันเปลือยเปล่าของพิจิกาที่ฉาบไปด้วยสีเทา อันขมุกขมัว
************************************************************************************************
ความรักของฉันเป็นดั่งกิโยติน (ตอนที่1)
“ความรักนั้นเหมือนตัวตลก เสกให้คนหัวเราะจนร้องไห้ได้ และก็สามารถทำให้คนกลัวจนขนลุกซู่ได้เช่นกัน” มุนีอ่านเรียงความบรรทัดแรกของเธอหน้าชั้นเรียน พลางส่งยิ้มหวานแก่เพื่อนๆในห้องเรียนของเธอด้วยใบหน้าอ่อนโยน ก่อนที่จะก้มลงอ่านเรียงความของเธอต่อไป
“ความรักเปรียบเสมือนทองคำที่แพง และสูงค่า แต่ก็สามารถละลายหายไปได้เมื่อเกิดเพลิงไหม้ ความรักไม่ใช่สิ่งที่นับได้ แต่มันสามารถทำให้หัวใจเปี่ยมล้นได้ ความรักเปรียบเสมือนกิโยติน เพราะความรักนั้นประหัตประหารตัดเศียรคน สร้างได้ทั้งความพึงพอใจ และความเศร้าโศกได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นความรักของฉันจึงเป็นดั่งกิโยติน หากคุณรักฉัน ฉันก็จะรักคุณ แต่หากคุณทำร้ายฉัน ฉันก็จะประหัตประหารคุณให้ตายภายใต้กิโยติน นี่คือ มุมมองของข้าพเจ้าที่มีต่อความรักของพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด แห่งตระกูลทิวดอร์” เสียงปรบมือกึกก้องทั่วห้องจากเพื่อนนักเรียน มุนียิ้มหวาน และค่อยๆเดินเข้าไปนั่งที่ของเธออย่างเขินอาย
“โอ๊ย...แก อินมากกกก ฉันนึกว่าแกเป็นแอนด์ โบลีนเลยนะเนี่ย” พิจิกาเพื่อนสนิทของมุนีแซวอย่างออกรสชาติ ในขณะที่มุนีได้แต่ตีแขนปรามเพื่อนเบาๆในขณะที่แก้มนั้นแดงจนดูเหมือนเธอเขินอาย
“เอาหล่ะ มีใครจะนำเสนอเรียงความสั้นๆถึงหนังสือ หรือตัวละครที่ตนเองอ่านอีกไหม ถ้าไม่มีวันนี้เราก็จะมาเรียนกันต่อจากเมื่อวานนะคะ”นักเรียนทุกคนในห้อง ม.5/2 เปิดหนังสือเรียนเรียนตามบทเรียนไปเรื่อยๆจนหมดชั่วโมงเรียน
ณ.โรงอาหาร เวลาพักเที่ยง มุนี และพิจิกานั่งทานข้าวอยู่กับเพื่อนๆอีกสองคน อย่างสนุกสนาน
“นี่มุนี! ฉันถามจริงๆเหอะ แกชอบอะไรในตัวอีพระเจ้าเฮนรี่นี่นักวะ ฉันดูซีรีส์เรื่องทิวดอร์มานะ ฉันว่าอีตาแก่นี่ ออกแนวน่ากลัวด้วยซ้ำ” ปรารถนาเพื่อนในกลุ่มถามมุนีอย่างตรงไปตรงมา มุนีเองก็ไม่สามารถตอบได้ ถ้าเธอตอบว่าเธอชอบผู้ชายแบบนี้ เธอก็กลัวว่าเพื่อนๆของเธอจะมองว่าเธอแปลก มุนีไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเขียนถึงสิ่งต่างๆ เธอไม่ชอบคำถามที่เจาะจงถึงความรู้สึก ซึ่งเพื่อนสนิทอย่างพิจิกาเข้าใจเธอดีมาก และหลายครั้งที่พิจิกาจะช่วยเธอตัดบทคำพูดที่เจาะจงเหล่านี้แทนที่จะกดดันเธอให้ตอบ หรือพูดในสิ่งที่เธอไม่อยากจะพูด ครั้งนี้ก็เช่นกัน พิจิกา ช่วยเธอจากคำถามที่เธอไม่อยากตอบจากปรารถนา และช่วยให้เธอได้ทานข้าวต่อได้อย่างสะดวกใจ พิจิกา คือเพื่อนที่มุนีรักมากที่สุด หลายครั้งที่มุนีไม่ต้องพูดอะไรเลย แต่พิจิกาก็จะเข้าใจเสมอ มุนีที่พูดไม่เก่งนั้น ดูเหมือนจะมีอัศวินอย่างพิจิกาคอยปกป้องอยู่เสมอ
“เฮ้ย! อิ่มแล้วอ่ะ พวกเราไปหาไรทำกันต่อเหอะ” ปรารถนาเอ่ยขึ้น
“โอ๊ย แกจะไปไหนวะ ขอกินติมกะทิก่อนดิ” กทิกาเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดเล็กๆ
“แหม นังกะทิ ชื่อก็ชื่อกะทิ ยังจะกินตัวเองอีกเหรอ” พิจิกาแซว
“ไรอ่ะพิจิก นี่แกชื่อพิจิกา หรือนกจิกตากันแน่วะ ตล๊อด ตลอดอ่ะ มุนี ปะกินติมทิกัน” กทิกายื่นมือมาดึงแขนชวนมุนี มุนียิ้มหวานจับมือกะทิไปซื้อไอติมด้วยกัน
“นี่ นังพิจิก ฉันว่านะ แกอย่าไปทำมันเลยหว่ะ ขอร้องเหอะ มุนีมันไม่ได้ตั้งใจหรอกแก เชื่อดิ” พิจิกาทำหน้านิ่งๆ ก่อนเหลือบตาขึ้นยิ้มหวานๆให้ปรารถนา
“นี่! นังปาดหนา แกคิดว่าฉันอยากจะใจร้ายกับมันไหม เห็นเงียบๆเหมือนฤาษี ใครจะคิดว่ามันจะ...”
“พิจิกา อะ! เราซือ้ไอติมมาให้ด้วยนะ” มุนียื่นถ้วยไอติมกะทิให้พิจิกา ด้วยรอยยิ้มที่สดใส
“โอ๊ย! มุนีขอบใจนะ นึกถึงเราเสมอเลยอ่ะ ประทับใจอ่ะ” พิจิกาพูดพลางทำหน้าอ้อนใส่มุนี
ทั้งสี่สาวนั่งทานไอศกรีมจนหมด โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า เพื่อนที่ดูรักกัน 4 คนนั้น มีความลับอะไรซ่อนอยู่
************************************************************************************************
เช้าวันรุ่งขึ้น กทิกา วิ่งหน้าตื่นมายังห้องเรียน อีกเพียงยี่สิบนาทีก็จะถึงเวลาเข้าห้องเรียน เมือ่เห็นสามสาวก็วิ่งดิ่งเข้าไปหา
“เฮ้ยยยยย! ฉันลืมทำการบ้านมา มุนี ปาดหนา พิจิก ขอลอกหน่อยดิ” กทิกาหอบไปพูดไป พลางรีบหยิบหนังสือและสมุดออกมา กระดาษแผ่นหนึ่งหลุดออกจากหนังสืออย่างไม่ได้ตั้งใจ พิจิกาเห็นจึงเลื่อเก้าอี้ออกและหยิบขึ้นมาดู
“แหม กะทิ ความรักของแกเหรอวะ หนอยๆๆๆ เยิ้มเลยนะ” กทิกาตกใจรีบดึงกระดาษออกมาจากมือพิจิกาทันที
“เฮยย แกอ่านดิ อ่านเลย วันนี้อ่ะ” พิจิกาส่งเสริม
“ไรอ่ะ ขออ่านบ้างดิ” ปรารถนาร้องของด้วยน้ำเสียงสูงและตื่นเต้น พิจิกา และกทิกาของหน้ากันก่อนที่จะหันมาพูดพร้อมกันใส่ปรารถนา ว่า “ไม่!!” และหัวเราะอย่างสนุกสนานกันสองคนต่อหน้ามุนีและปรารถนา
คาบเรียนที่สองของวัน กทิกา ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนพร้อมเรียงความสั้นๆในมือเธอ ทั้งเพื่อนในชั้น และครูต่างตั้งใจฟังสิ่งที่เธอจะพูดออกมา
“ความรักของฉันเปรียบดั่งภู่แมลง เมื่อถึงช่วงเวลาดอกไม้บาน ก็จะเสาะหาทั้งน้ำหวาน และสปอร์เพื่อผสมพันธ์ ความรักนั้นก็เช่นกัน ความรักต้องการการเสาะหาตีราคาถึงคุณค่า ความรักไม่ใช่สิ่งที่จะถูกแช่แข็ง แต่ปลิดปลิวไปตามสายลมแห่งฤดูกาล ความรักจึงเป็นมากกว่าแค่ความรัก นี่คือมุมมองความรักของฉัน เมื่อได้มองดูเหล่าภุมรีออกบินร่อนหาที่หยุดพักเพื่อให้เกสรได้ปลิดปลิว”
เมื่อกทิกาอ่านจบเสียงปรบมือดังขึ้น แต่กทิกากลับยิ้มเจื่อนๆ ก่อนที่จะเดินเข้ามานั่งที่
“นังกะทิ แกเขียนไรของแกวะ ยิ่งฟังยิ่งงง” ปรารถนาถามกทิกาอย่างสงสัย
“เรียนแกเรียน เรียนไปเหอะ เรียนให้มากๆ เดี๋ยวก็เข้าใจเองแหละ”
“โอ แรงอ่ะ ถามแค่นี้”
“ฟังแกฟัง ฟังเพื่อนคนอื่นอ่านเหอะ นังปาดหนา” กทิกาตัดบทเบาๆ พลางนึกตำหนิตนเองในใจ เธอยังไม่น่าออกไปอ่านสิ่งที่เธอเขียนเลย เพียงแค่เพราะพิจิกาบอกว่าดี เธอก็ออกไปแล้ว ทุกทีสิน่า กทิกาตำหนิตัวเอง ก่อนที่จะละความคิดเข้ามาสู่ชั้นเรียนของตนเอง
“เอาหล่ะค่ะ นักเรียน วันนี้ครูขอคนสุดท้าย ใครดีคะ??”
“หนูค่ะ” พิจิกายกมือขึ้น อย่างกล้าหาญ ทุกสายตาหันไปมอง พิจิพาสาวมั่นใจ ค่อยๆลุกจากโต๊ะเรียน เธอเลือนเก้าอี้ไปด้านหลังและค่อยๆเดินไปหน้าห้องอย่างสง่างาม รอยยิ้มของพิจิกาแตกต่างจกมุนี รอยยิ้มของพิจิกาเป็นรอยยิ้มของความกล้าหาญ พิจิกาได้ชื่อว่าเป็นคนที่กล้าหาญที่สุดในชั้นเรียน เธอรักเพื่อนๆ และมักคอยช่วยเหลือเพื่อนๆเสมอ ดังนั้นเธอจึงเป็นเหมือนผู้นำของห้องไปโดยปริยาย พิจิกาคลี่กระดาษที่พับครึ่งออกมา ก่อนที่จะปิดมัน และเก็บลงใส่ในกระเป๋ากระโปรง
“เมื่อข้าพเจ้าได้อ่าน ข้าพเจ้าทำความเข้าใจ ข้าพเจ้าพยายามที่จะเข้าใจ ถึงสิ่งต่างๆที่เป็นเหตุ และเป็นผลของพฤติกรรม ข้าพเจ้าสงสัยในคามรักที่เกิดขึ้นของตัวละคร ข้าพเจ้าสงสัยในความริษยาของตัวละคร ข้าพเจ้าเคลือบแคลงในความคั่งแค้นของตัวละคร อะไรนะคือ แรงผลักดันของสิ่งเหล่านั้น ข้าพเจ้าสงสัย จนเมื่อนิยายที่ข้าพเจ้าอ่านจะจบเล่ม ข้าพเจ้าถึงเข้าใจ คำว่า สัญชาตญาณ สัญชาตญาณที่มีต่อกรปกป้องจิตใจของตัวเรา และปกปักษ์ต่ออริราษฏ์ของเรา เราทุกคนมีสัญชาตญาณ และมีความหวังว่าจะมีสิ่งที่ดีๆเข้ามา และแน่นอนเราต่อต้านสิ่งที่จะเข้ามาพรากสิ่งที่ไม่ดีนั้นออกไป เพราะเรามีสัญชาตญาณ ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอยกคำกล่าวอันมีค่านี้มา เพราะเราคิดเราจึงมีอยู่ เรอเน่ เดคาร์ด นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ผู้มีร่างกายไม่สมประกอบแตกต่างจากความคิดอันสมบูรณ์แบบได้กล่าวไว้ และข้าพเจ้ามีมุมมองว่า ความคิดเช่นนี้ทำให้เรามีตัวตนมากพอที่จะเข้าใจถึงสิ่งๆต่าง อันเป็นพฤติกรรมของตัวละครในนิยาย และสิ่งที่เรียกว่า ความรัก”
เสียงปรบมือดังกึกก้องแก่ พิจิกา พิจิกาเป็นคนที่มีความคิดซับซ้อนเสมอ เธอมักชอบคิด และอ่านในสิ่งที่ยากๆเสมอ นั่นเพระเธอเชื่อว่ามันจะนำพาเธอไปสู่สิ่งที่ดีได้ โลกของพิจิกานั้นซับซ้อนเกินที่คนที่เหินห่างจะเข้าใจ สิ่งที่มองเห็นภายนอกนั้นช่างแตกต่างจากสิ่งที่อยู่ข้างในของเธอเหลือเกิน มุนีมองเปลือกของพิจิกาอย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้เสียงปรบมืออันดังลั่นห้องนั้น คำชมที่ครูกำลังให้แก่พิจิกานั้น สิ่งที่มุนีเพื่อนสนิทของพิจิกามองเห็น คือ ร่างอันเปลือยเปล่าของพิจิกาที่ฉาบไปด้วยสีเทา อันขมุกขมัว
************************************************************************************************