สายัญสวัสดิ์ค่ะท่านผู้อ่านที่รัก
ก่อนพลบค่ำคืนนี้ ผู้เขียนขอเสนอตอนต่อของ ‘เนื้อคู่ จู่ๆ ก็มา’ ซึ่งวันนี้ขอเสนอเป็นตอนที่ ๕ ค่ะ
ความเดิมตอนที่แล้ว...
http://ppantip.com/topic/33107591
-๕-
ความทรงจำ(ต่อ)จากวันวาน
สายลมหนาวต้นเดือนธันวาคมนอกจากจะไม่ทำให้‘เด็กหญิงดอกรัก มานะดี’สะทกสะท้านได้แล้ว มันยังทำให้เธอมีพละกำลังมากกว่าเดิมเสียอีกเพราะยังไม่ทันจะเหนื่อยเธอก็วิ่งถึงเส้นชัยคว้าห่อข้าวทั้งสองห่อจากหลักชัยมาได้สำเร็จ คนแพ้ที่มาถึงหลักชัยช้ากว่าเพียงเสี้ยวนาทีเลยทำได้แค่มองห่อข้าวตาปริบๆ และหอบแฮ่กๆ
“ดอกรักชนะอีกแล้ว” เจ้าของชัยชยะชูห่อข้าวทั้งสองห่อขึ้นแกว่งไปมาอวดโอ้ด้วยอาการดีอกดีใจ ห่อหนึ่งของย่าเรียม ดอกรักรู้แล้วว่าในนั้นเป็นอาหารอะไรเพราะเห็นย่าเรียมตื่นมาหมกเห็ดตั้งแต่เช้า แต่ที่อยากรู้ก็คือห่อข้าวอีกห่อที่เป็นฝีมือของย่าแป้น มันจะต้องเป็นอะไรที่น่ากินมากแน่ๆ
“คนชนะได้กินข้าวทั้งสองห่อเลย พี่หมาดื้อ อด” ยกมือที่แบขึ้นสะบัดพร้อมแลบลิ้นล้อเลียน
แลบลิ้นปลิ้นตาใส่คนแพ้จนหนำใจแล้วเด็กหญิงก็แกว่งไกวห่อข้าววิ่งปุเลงๆ ไปตามคันนาโล่งกว้างที่เพิ่งจะเก็บเกี่ยวเสร็จ ส่งเสียงล้อเลียนแบบนั้นไปตลอดทาง แต่ไม่ทันที่ความดีใจจะอยู่กับเธอได้นาน เชือกกล้วยที่ผูกห่อใบตองไว้ขาดฉึก! ห่อข้าวฝีมือย่าแป้นหลุดมือลอยหวือผ่านหน้าเด็กชายไปอย่างรวดเร็ว ยิ้มกว้างขวางของหนูน้อยเหยเกทันที
“แย่แล้ว!” เด็กหญิงหน้าเสีย กลับหลังหันยืนตัวแข็งทื่อก่อนเอ่ยเสียงสารภาพหน้าจ๋อย “ห่อข้าวย่าพี่หมาดื้อบินไปนู่น” พร้อมชี้นิ้วบอกระยะ เด็กชายยกมือขึ้นป้องตา ทอดมองไปไกลจนสุดชายทุ่ง นานหลายครู่ ก่อนจะส่ายหน้าบอก
“ช่างมันเถอะ คงจะหาไม่เจอแล้วล่ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยทำหน้าม่อย กล่าวเสียงอ่อยด้วยอาการสำนึกผิด“ดอกรักขอโทษนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” ฝ่ามือสีดำมอมแมมของเด็กชายตบลงบนบ่าของเด็กหญิงเบาๆ ก่อนจะเลื่อนลงมาจับที่ข้อมือเล็กๆ ของเธอ จับจูงกันเดินไปสู่ลานดินโล่งกว้างที่ถูกทับถมด้วยฟางแห้งสีเหลืองทองดูนุ่มสบายน่านอน
“เลยไม่ทันรู้ว่าวันนี้ย่าพี่หมาดื้อทำอะไรให้กิน” เด็กหญิงบ่นอย่างกล่าวโทษในความผิดของตัวเอง ขณะนั่งลงบนผืนพรมหนานุ่มที่ได้จากฟางข้าวตามธรรมชาติ
“หมูหวาน” เด็กชายเฉลยอาหารในห่อข้าวที่สูญหาย “ไว้พรุ่งนี้พี่จะขอย่าทำให้ใหม่ก็แล้วกันนะ” เด็กชายบอก และเด็กหญิงก็ยิ้มแฉ่ง
“งั้นวันนี้เราสองคนกินฝีมือย่าของดอกรักก่อน พรุ่งนี้ค่อยกินฝีมือย่าของพี่หมาดื้อ”
“ไม่ได้ๆ ก็พี่วิ่งแข่งแพ้ดอกรักนี่นา คนแพ้อดกิน” ผู้ผดุงความยุติธรรมประจำตำบลกล่าว หน้าตามอมแมมของเขาเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์
“พี่หมาดื้อก็แกล้งแพ้ทุกทีแหละ เอางี้ ผลัดกันกินคนละคำ ใครถึงคำสุดท้าย พรุ่งนี้ต้องเอาข้าวมาสองห่อ”
เด็กชายยิ้มแป้น พยักหน้ารับข้อเสนออย่างไม่ต้องคิดนาน เพราะตอนนี้ท้องไส้ร้องโครกครากขึ้นมาแล้วด้วยความหิว“ตกลงก็ได้ แต่พรุ่งนี้เราแข่งวิ่งกันใหม่ และพี่จะไม่ออมแรงให้ดอกรักแล้วนะ”
“ดอกรักก็จะไม่ยอมแพ้พี่หมาดื้อง่ายๆ เหมือนกัน” เจ้าของแววตามุ่งมั่นกล่าวหนักแน่นพร้อมปั้นข้าวคำโตยัดใส่ปาก ก่อนจะผลัดให้เป็นตาของเด็กชาย เด็กหญิงมองฝ่ายนั้นปั้นข้าวคำโตไม่แพ้เธอ
“อร่อยไหมจ๊ะพี่หมาดื้อ”
คนถูกถามพยักหน้า พูดไม่ได้เพราะข้าวเต็มแน่นอยู่ในปาก
“ฝีมือย่าเรียมอร่อยกว่าใครๆ ในโลก” เด็กหญิงกล่าว มองดูเด็กชายเคี้ยวข้าวหง่ำๆ อย่างภาคภูมิใจเป็นที่สุด
อากาศเย็นสบายกลางฤดูหนาว บนลานฟางหนานุ่มน่านอน เด็กทั้งสองคนอิ่มแปล้กับมื้อเที่ยงแสนอร่อยของย่าเรียมก็เลยนอนกางพุงรับแดดอุ่นๆ ของพระอาทิตย์ยามบ่ายอย่างสบายใจ แล้วเด็กชายก็ผุดขึ้นนั่งเพราะเพิ่งนึกได้ว่าในกระเป๋ากางเกงมีของเล่นที่พ่อทำให้ ขืนไม่ชวนดอกรักเล่นด้วยคงเสียดายแย่ เขารีบเอามันออกมาอวดทันที เด็กหญิงลุกขึ้นนั่งมองของเล่นหน้าตาพิลึกในมือเด็กชายด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“อะไรหรือจ๊ะ” เอียงคอถามคิ้วย่นๆ มองดูดีๆ พบว่ามันเป็นตอของต้นข้าวจำนวนสองอัน
“ปี่ซังข้าว” เด็กชายบอก “พ่อประดิษฐ์ขึ้นจากตอซังข้าว” แล้วส่งมาให้เธออันหนึ่ง เด็กหญิงลังเลใจอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยอมรับไปอย่างไม่แน่ใจนัก
“เป่าดูสิ” เด็กชายคะยั้นคะยอ ก่อนจะสาธิตอย่างชำนิชำนาญด้วยการเป่าลมเพียงเบาๆ เจ้าปี่จิ๋วก็ส่งเสียง ปิ๊ด.. ปี้.. ปี๊ดเด็กหญิงเบิกตาโตใสแจ๋ว สนใจขึ้นมาเชียว เลยลองเป่าดูบ้าง...
ปิ๊ด... ปี้... ปี๊ด
“สนุกจริงๆ ด้วย” เธอบอกอย่างร่าเริง แล้วต่อจากนั้นเครื่องดนตรีจิ๋วของเด็กทั้งสองก็ถูกเป่าประสานกัน ดังกังวานเคล้าสายลมแสนสบายไปทั่วท้องทุ่ง
“พี่หมาดื้อสอนดอกรักทำปี่แบบนี้บ้างสิจ๊ะ” เด็กหญิงหันไปกล่าว ดวงตาสดใสวิงวอน
“ได้สิ แต่ขอให้พี่กลับไปดูวิธีทำก่อนนะ พ่อทำให้ดูแล้วแต่ว่าพี่ลืม”
“พี่หมาดื้อความจำไม่ดี ดอกรักนะย่าสอนท่องสูตรคูณ แป๊บเดียวจำได้เลย”เด็กหญิงวัยห้าขวบชูนิ้วขึ้น “สอง หนึ่ง สอง... สอง สอง สี่... สอง สาม หก… พี่หมาดื้อท่องแบบนี้ได้หรือเปล่า”
Pop up you! เนื้อคู่ จู่ๆ ก็มา
ก่อนพลบค่ำคืนนี้ ผู้เขียนขอเสนอตอนต่อของ ‘เนื้อคู่ จู่ๆ ก็มา’ ซึ่งวันนี้ขอเสนอเป็นตอนที่ ๕ ค่ะ
ความเดิมตอนที่แล้ว...
http://ppantip.com/topic/33107591
-๕-
ความทรงจำ(ต่อ)จากวันวาน
สายลมหนาวต้นเดือนธันวาคมนอกจากจะไม่ทำให้‘เด็กหญิงดอกรัก มานะดี’สะทกสะท้านได้แล้ว มันยังทำให้เธอมีพละกำลังมากกว่าเดิมเสียอีกเพราะยังไม่ทันจะเหนื่อยเธอก็วิ่งถึงเส้นชัยคว้าห่อข้าวทั้งสองห่อจากหลักชัยมาได้สำเร็จ คนแพ้ที่มาถึงหลักชัยช้ากว่าเพียงเสี้ยวนาทีเลยทำได้แค่มองห่อข้าวตาปริบๆ และหอบแฮ่กๆ
“ดอกรักชนะอีกแล้ว” เจ้าของชัยชยะชูห่อข้าวทั้งสองห่อขึ้นแกว่งไปมาอวดโอ้ด้วยอาการดีอกดีใจ ห่อหนึ่งของย่าเรียม ดอกรักรู้แล้วว่าในนั้นเป็นอาหารอะไรเพราะเห็นย่าเรียมตื่นมาหมกเห็ดตั้งแต่เช้า แต่ที่อยากรู้ก็คือห่อข้าวอีกห่อที่เป็นฝีมือของย่าแป้น มันจะต้องเป็นอะไรที่น่ากินมากแน่ๆ
“คนชนะได้กินข้าวทั้งสองห่อเลย พี่หมาดื้อ อด” ยกมือที่แบขึ้นสะบัดพร้อมแลบลิ้นล้อเลียน
แลบลิ้นปลิ้นตาใส่คนแพ้จนหนำใจแล้วเด็กหญิงก็แกว่งไกวห่อข้าววิ่งปุเลงๆ ไปตามคันนาโล่งกว้างที่เพิ่งจะเก็บเกี่ยวเสร็จ ส่งเสียงล้อเลียนแบบนั้นไปตลอดทาง แต่ไม่ทันที่ความดีใจจะอยู่กับเธอได้นาน เชือกกล้วยที่ผูกห่อใบตองไว้ขาดฉึก! ห่อข้าวฝีมือย่าแป้นหลุดมือลอยหวือผ่านหน้าเด็กชายไปอย่างรวดเร็ว ยิ้มกว้างขวางของหนูน้อยเหยเกทันที
“แย่แล้ว!” เด็กหญิงหน้าเสีย กลับหลังหันยืนตัวแข็งทื่อก่อนเอ่ยเสียงสารภาพหน้าจ๋อย “ห่อข้าวย่าพี่หมาดื้อบินไปนู่น” พร้อมชี้นิ้วบอกระยะ เด็กชายยกมือขึ้นป้องตา ทอดมองไปไกลจนสุดชายทุ่ง นานหลายครู่ ก่อนจะส่ายหน้าบอก
“ช่างมันเถอะ คงจะหาไม่เจอแล้วล่ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยทำหน้าม่อย กล่าวเสียงอ่อยด้วยอาการสำนึกผิด“ดอกรักขอโทษนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” ฝ่ามือสีดำมอมแมมของเด็กชายตบลงบนบ่าของเด็กหญิงเบาๆ ก่อนจะเลื่อนลงมาจับที่ข้อมือเล็กๆ ของเธอ จับจูงกันเดินไปสู่ลานดินโล่งกว้างที่ถูกทับถมด้วยฟางแห้งสีเหลืองทองดูนุ่มสบายน่านอน
“เลยไม่ทันรู้ว่าวันนี้ย่าพี่หมาดื้อทำอะไรให้กิน” เด็กหญิงบ่นอย่างกล่าวโทษในความผิดของตัวเอง ขณะนั่งลงบนผืนพรมหนานุ่มที่ได้จากฟางข้าวตามธรรมชาติ
“หมูหวาน” เด็กชายเฉลยอาหารในห่อข้าวที่สูญหาย “ไว้พรุ่งนี้พี่จะขอย่าทำให้ใหม่ก็แล้วกันนะ” เด็กชายบอก และเด็กหญิงก็ยิ้มแฉ่ง
“งั้นวันนี้เราสองคนกินฝีมือย่าของดอกรักก่อน พรุ่งนี้ค่อยกินฝีมือย่าของพี่หมาดื้อ”
“ไม่ได้ๆ ก็พี่วิ่งแข่งแพ้ดอกรักนี่นา คนแพ้อดกิน” ผู้ผดุงความยุติธรรมประจำตำบลกล่าว หน้าตามอมแมมของเขาเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์
“พี่หมาดื้อก็แกล้งแพ้ทุกทีแหละ เอางี้ ผลัดกันกินคนละคำ ใครถึงคำสุดท้าย พรุ่งนี้ต้องเอาข้าวมาสองห่อ”
เด็กชายยิ้มแป้น พยักหน้ารับข้อเสนออย่างไม่ต้องคิดนาน เพราะตอนนี้ท้องไส้ร้องโครกครากขึ้นมาแล้วด้วยความหิว“ตกลงก็ได้ แต่พรุ่งนี้เราแข่งวิ่งกันใหม่ และพี่จะไม่ออมแรงให้ดอกรักแล้วนะ”
“ดอกรักก็จะไม่ยอมแพ้พี่หมาดื้อง่ายๆ เหมือนกัน” เจ้าของแววตามุ่งมั่นกล่าวหนักแน่นพร้อมปั้นข้าวคำโตยัดใส่ปาก ก่อนจะผลัดให้เป็นตาของเด็กชาย เด็กหญิงมองฝ่ายนั้นปั้นข้าวคำโตไม่แพ้เธอ
“อร่อยไหมจ๊ะพี่หมาดื้อ”
คนถูกถามพยักหน้า พูดไม่ได้เพราะข้าวเต็มแน่นอยู่ในปาก
“ฝีมือย่าเรียมอร่อยกว่าใครๆ ในโลก” เด็กหญิงกล่าว มองดูเด็กชายเคี้ยวข้าวหง่ำๆ อย่างภาคภูมิใจเป็นที่สุด
อากาศเย็นสบายกลางฤดูหนาว บนลานฟางหนานุ่มน่านอน เด็กทั้งสองคนอิ่มแปล้กับมื้อเที่ยงแสนอร่อยของย่าเรียมก็เลยนอนกางพุงรับแดดอุ่นๆ ของพระอาทิตย์ยามบ่ายอย่างสบายใจ แล้วเด็กชายก็ผุดขึ้นนั่งเพราะเพิ่งนึกได้ว่าในกระเป๋ากางเกงมีของเล่นที่พ่อทำให้ ขืนไม่ชวนดอกรักเล่นด้วยคงเสียดายแย่ เขารีบเอามันออกมาอวดทันที เด็กหญิงลุกขึ้นนั่งมองของเล่นหน้าตาพิลึกในมือเด็กชายด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“อะไรหรือจ๊ะ” เอียงคอถามคิ้วย่นๆ มองดูดีๆ พบว่ามันเป็นตอของต้นข้าวจำนวนสองอัน
“ปี่ซังข้าว” เด็กชายบอก “พ่อประดิษฐ์ขึ้นจากตอซังข้าว” แล้วส่งมาให้เธออันหนึ่ง เด็กหญิงลังเลใจอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยอมรับไปอย่างไม่แน่ใจนัก
“เป่าดูสิ” เด็กชายคะยั้นคะยอ ก่อนจะสาธิตอย่างชำนิชำนาญด้วยการเป่าลมเพียงเบาๆ เจ้าปี่จิ๋วก็ส่งเสียง ปิ๊ด.. ปี้.. ปี๊ดเด็กหญิงเบิกตาโตใสแจ๋ว สนใจขึ้นมาเชียว เลยลองเป่าดูบ้าง...
ปิ๊ด... ปี้... ปี๊ด
“สนุกจริงๆ ด้วย” เธอบอกอย่างร่าเริง แล้วต่อจากนั้นเครื่องดนตรีจิ๋วของเด็กทั้งสองก็ถูกเป่าประสานกัน ดังกังวานเคล้าสายลมแสนสบายไปทั่วท้องทุ่ง
“พี่หมาดื้อสอนดอกรักทำปี่แบบนี้บ้างสิจ๊ะ” เด็กหญิงหันไปกล่าว ดวงตาสดใสวิงวอน
“ได้สิ แต่ขอให้พี่กลับไปดูวิธีทำก่อนนะ พ่อทำให้ดูแล้วแต่ว่าพี่ลืม”
“พี่หมาดื้อความจำไม่ดี ดอกรักนะย่าสอนท่องสูตรคูณ แป๊บเดียวจำได้เลย”เด็กหญิงวัยห้าขวบชูนิ้วขึ้น “สอง หนึ่ง สอง... สอง สอง สี่... สอง สาม หก… พี่หมาดื้อท่องแบบนี้ได้หรือเปล่า”