ธารทิพย์ บทที่ 23

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 22 http://ppantip.com/topic/33097357

            สร้อยแก้ว สาวน้อยอายุยี่สิบวันนอนหลับแก้มแดงอยู่ในเปลที่ปู่ผาผูกไว้ให้ด้วยผ้าผืนสีน้ำเงินหลังจากกินนมแม่อิ่มไปแล้ว เธอเป็นขวัญใจของเรือน เป็นศูนย์รวมความผูกพันของพ่อแม่ปู่ผาและลุงโละในเวลานี้ ทั้งปู่ผาพ่อไกรศักดิ์และลุงโละจะแวะเวียนมาหยุดยืนยิ้มมองเธออยู่เสมอด้วยความรักใคร่เอ็นดู แม่ลอยาไกวเปลเห่กล่อมด้วยเสียงเพลงพื้นบ้านให้หลับปุ๋ยอยู่

                ปู่ผากับลุงโละนั่งอยู่ชานเรือนกำลังขะมักเขม้นช่วยกันสานเปลไม้ไผ่ พวกเขาเตรียมจะไว้ให้หลานสาวใช้นอนเมื่อทารกน้อยอายุครบหนึ่งเดือนในอีกสิบวันข้างหน้า
    
            ท่านพ่อไกรศักดิ์นั่งอยู่มุมห้องใส่อุปกรณ์สื่อสารเฝ้าถอดรหัสคำสั่งอยู่ไม่ห่าง ครู่ใหญ่เขาจึงถอดออกขมวดคิ้วสีหน้าครุ่นคิดมองมาที่ลอยากับปู่ผา

                “มีอันใดรึท่านผู้พัน” ปู่ผาถาม

                “ไม่ค่อยดีพี่ผา” ไกรศักดิ์ตอบสีหน้ากังวล

                “มีการเคลื่อนกำลังจากตะวันออก เขาต้องการให้เราเข้าพื้นที่ประเมินกำลังข้าศึก” ไกรศักดิ์บอก

                “ห่างเท่าใดท่านผู้พัน” พรานผาถาม

                “เดินสักหกวันประมาณนั้น” ไกรศักดิ์ตอบ
    
            นายทหารหนุ่มมองไปที่เปลลูกแล้วมองลอยาซึ่งหันมารอฟังเขาพูดคุยกับพ่อพรานอยู่

                “ท่านพี่อย่าห่วงลอยากับลูกเลยจ้ะ ลอยาห่วงตัวท่านพี่กับท่านพ่อผามากกว่า” เธอพูด

                “ทางเรือนนี้อ้ายโละอยู่ด้วยคงมิมีภัยอันใดดอกจ้ะ” เธอพูดให้เขาคลายกังวลลง

                “พี่ท่านจะลงเรือนเมื่อใดจ๊ะ” ลอยาถาม

                “คงจะต้องไปเลย ข้าศึกมันอยู่ใกล้แค่เดินหกวัน” เขาตอบเมีย

                “ถ้าเยี่ยงนั้นลอยาจะช่วยพี่ท่านแต่งเครื่องรบนะจ๊ะ” ลอยาฝืนพูด

                ในใจเธอเองนั้นร้อนรุ่มกังวล เธอลุกขึ้นช่วยหยิบของให้เขา ไกรศักดิ์เปลี่ยนชุดพรางโหลดเป้หลังและยุทโธปกรณ์เสร็จแล้วจึงหันมาเห็นลอยายืนมองน้ำตาคลออยู่

                เขาเข้าไปกอดเธอไว้แล้วจูบพรมไปทั่วใบหน้าและริมฝีปากเพื่อปลอบใจเธอ

                “พี่จะรีบไปรีบกลับมาหาลอยากับลูกนะ” ไกรศักดิ์กระซิบบอกแล้วลูบหัวเธอเบาๆ

                “ท่านพี่ระวังตัวให้จงดีนะจ๊ะ” ลอยาพูดเบาๆเงยหน้าให้เขาจูบอีกครั้ง

                ไกรศักดิ์นั่งคุกเข่าลงข้างเปลลูก ก้มหน้าลงไปดมกลิ่นหอมของลูกในเปลไม่กล้าหอมแก้มกลัวลูกจะตื่น

                “เจ้าสร้อยแก้วดวงใจของพ่อ ขอเจ้าป่าเจ้าเขาคุ้มครองลูกกับแม่ด้วยนะ พ่อจะรีบกลับมา” เขาพูดเบาๆ
    
            พ่อพรานผาพร้อมแล้วในชุดเดินป่า ทั้งสองลงบันไดเรือนไป พรานผาหันมาบอกสั่งโละ

                “โละ เจ้าเฝ้าน้องเจ้ากับหลานให้จงดีนะ” พรานผาพูด

                “จ้ะพ่อครู” โละรับคำ
    
            ลอยามายืนร้องไห้มองตามเขาไปที่หน้าบันได โละพี่ชายเข้ามาจับตัวเธอไว้

                “เจ้าอย่าร้องไห้เลย ไม่กี่เพลาผู้พันท่านก็กลับ” โละพยายามปลอบน้องสาวของเขา
    
            สองสหายร่วมศึกออกเดินไปทางตะวันออก ไกรศักดิ์หันมามองเมียรักอีกครั้งแล้วหันกลับ นายทหารหนุ่มต้องตัดใจย่ำเท้าไปข้างหน้าด้วยหัวใจของทหารหาญผู้มีหน้าที่ที่จะต้องธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิและความมั่นคงของชาติ

                ห้าวันหลังออกเดินทางจากบ้านเข้าพื้นที่สู้รบ พันโทไกรศักดิ์ในชุดพรางป่าติดเครื่องรบเต็มตัวกับพรานผาก็มานอนราบอยู่หลังพุ่มไม้บนหน้าผาสูง ทั้งสองมอมหน้าด้วยเขม่าดินหม้อจนหน้าดำสนิทใช้กล้องส่องทางไกลพรางกระจกเลนส์ไม่ให้สะท้อนแสงอาทิตย์กวาดมองกองกำลังที่เคลื่อนตัวอยู่ในป่าเบื้องล่าง

                “สี่กองพัน” ผู้พันไกรศักดิ์พลิกตัวนอนหงายพูดเบาๆแล้วล้วงเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กออกมาจากเป้หลัง นอนส่งข่าวเป็นรหัสให้หน่วยข่าวกรองถึงข้อมูลจำนวนกำลังพล พิกัดและทิศทางการเคลื่อนที่อยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่

                “เราคงต้องนอนอยู่นี่ละมั้งพี่ผา” เขาพูดเบาๆมือเก็บอุปกรณ์สื่อสารลงเป้หลัง

                “ยังดีนะที่มันไม่เคลื่อนไปทางบ้านเรา” เขาพูดต่อ

                “เมื่อครู่ฉันเห็นแสงสะท้อนกระจกกล้องมัน” พรานผาบอกเบาๆ

                “พวกมันก็คงตรวจหาเราอยู่เหมือนกัน” ไกรศักดิ์พูด

                “คงต้องแรมกันเยี่ยงนี้อย่างท่านว่า” พรานผาพูด

                “พี่ผาอย่ากรนแล้วกัน มันได้ยินมันยิงตับแตก” ไกรศักดิ์พูดขำๆให้ลดความตึงเครียด

                “ท่านก็อย่าเพ้อหาลูกเมียด้วยน่ะ” พรานผานอนพูดหันมายิ้มให้สหาย
    
            กองกำลังสี่กองพันเคลื่อนพลช้าๆเป็นขบวนคลุมพื้นที่กว้าง ในทางยุทธวิธีซอกหน้าผาที่ทั้งสองกบดานอยู่นี้ก็เป็นจุดที่ข้าศึกเฝ้าจับตามองหาพวกแนวที่ห้าไม่วางตาเช่นกัน สองสหายที่คุ้นชินมานานแล้วกับการนอนนิ่งๆข้ามวันข้ามคืนในงานแบบของพวกเขาจึงไม่เป็นปัญหา ยิ่งเวลานี้ด้วยแล้วนายทหารหนุ่มไม่อนาทรร้อนใจกับข้าศึกที่เคลื่อนตัวอยู่ข้างล่าง   เขาไขว้สองแขนรองหัวไว้ นอนหงายยิ้มมองท้องฟ้าคิดถึงเมียรักกับลูกสาวดวงใจจนผล็อยหลับไป

                ไกรศักดิ์รู้สึกตัวเมื่อพรานผาที่นอนหงายอยู่ข้างๆสะกิดปลุกเขาเบาๆ มืดมากแล้วอากาศหนาวกับน้ำค้างที่พร่างพรมลงมาทำให้เย็นเยียบ เขาขยับตัวนอนคว่ำเพ่งมองไปรอบๆเบื้องล่าง พรานผาพลิกตัวนอนคว่ำจ้องมองไปด้วย แสงจากพระจันทร์สว่างพอให้มองเห็นป่าเบื้องล่างลางๆ

                กว่าสองชั่วโมงแล้วที่ทั้งสองนอนคว่ำหน้าอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บเพื่อจับความเคลื่อนไหวด้านล่าง เงียบกริบไม่มีการส่งเสียงใดๆออกมาจากสองสหาย ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆที่เบื้องล่าง นายทหารหนุ่มแตะไหล่พรานผาเบาๆแล้วกำมือชี้นิ้วหัวแม่มือไปด้านหลังเป็นทัศนสัญญาณให้ถอนตัว
    
            ทั้งคู่ขยับถอยตัวออกช้าๆระวังไม่ให้พุ่มไม้เคลื่อนไหวมากนัก แล้วหาซอกหลืบบังตาของหน้าผาค่อยๆปีนป่ายลงมาจนเหยียบพื้นดิน

                ไรเฟิลประจำกายถูกปลดออกจากไหล่มาเตรียมพร้อม ทุกส่วนของปืนที่เป็นโลหะสะท้อนแสงได้ถูกพันปิดเอาไว้ด้วยผ้าสีดำ พวกเขายังซุ่มเงียบอยู่หลังโขดหินและต้นไม้อยู่อีกครู่ใหญ่จึงเริ่มเตรียมเคลื่อนตัว
    
            ไกรศักดิ์ย่อตัวลงวิ่งออกไปอย่างเร็วตรงไปยังกำบังที่อยู่ห่างออกไป เขาประทับไรเฟิลชี้ไปที่ราวป่าเตรียมยิงคุ้มกัน พรานผาออกวิ่งตามไปหยุดอยู่อีกที่หนึ่งไม่รวมกันประทับปืนเตรียมคุ้มกันเช่นเดียวกับไกรศักดิ์เพื่อให้เขาออกวิ่งต่อไป สลับกันอยู่เช่นนี้จนทั้งสองถอนตัวออกจากที่แอบซุ่มมาไกลพอควรแล้วจึงนั่งพักเหนื่อยอยู่ด้วยกัน

                “พวกมันไปหมดแล้ว ไม่มีร่องรอยผ่านแถวนี้” ไกรศักดิ์กระซิบ

                “เราเดินต่อ พี่เดินหน้าฉันคุมหลัง” ไกรศักดิ์บอก

                พรานผาพยักหน้าในความมืดตบไหล่ไกรศักดิ์เบาๆเป็นการตอบรับ เขาหันไปมองเส้นทางอีกครั้งแล้วเริ่มออกเดินนำหน้าไปอย่างเงียบเชียบโดยมีนายทหารเดินตามมาระยะยี่สิบก้าว ทั้งสองฝ่าความหนาวเย็นของป่ามุ่งหน้ากลับเรือน

                งานสงครามจรยุทธ์ของพวกหาข่าวเป็นแนวที่ห้านั้นเสี่ยงอันตรายและลำบากยากเข็ญ เคลื่อนตัวเวลากลางคืนแล้วแอบซุ่มในเวลากลางวัน หนาวเหน็บหิวโหย หลายคนหายสาบสูญไปในป่าลึก สำหรับไกรศักดิ์ นายพันโทผู้ภักดีต่อชาติเขามีแรงบันดาลใจที่ออกมาจากตัวตนของเขา พรานผาก็มีจุดยืนของเขาในสงครามนี้และน้องร่วมสาบานเป็นจุดมั่น

                รุ่งสางเข้าวันที่แปดแล้วที่ไกรศักดิ์และพรานผาลงจากเรือนมา ทั้งสองหยุดการเดินเท้าเมื่อตะวันโผล่พ้นเหลี่ยมเขา พรานผานั่งลงหลังก้อนหินที่อยู่ติดกับหน้าผาเตี้ยๆ

                “เราซุ่มพักแรงกันเถอะ” พรานผาพูด

            ไกรศักดิ์นั่งลงข้างๆปลดเป้หลังออกหลังพิงก้อนหินแหงนหน้าหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาหันไปมองพรานผาที่ยื่นผลไม้มาให้

                “ขอบคุณพี่ผา” เขายิ้มแล้วรับมานั่งกินเงียบๆ

                “เราแรมกันก่อน รอฟ้ามืดค่อยเดินต่อ” พรานผาบอก

                “ฉันรู้สึกยังไงชอบกลพี่ เหมือนมีสายของพวกมันเฝ้ามองอยู่” ไกรศักดิ์บอกความรู้สึก

                พรานผาขยับตัวชะโงกมองข้ามก้อนหินที่เป็นกำบังอยู่ออกไป ป่ายังคงเงียบเป็นปกติอยู่

                “ผู้พันพักแรงก่อนเถอะ ฉันจะนั่งยามให้” เขาพูดตัดบท

                พรานผาเองก็รู้สึกไม่ปกติมาพักใหญ่แล้วเช่นกันแต่เขาไม่พูดให้ไกรศักดิ์รู้ การซุ่มพักกลางวันเมื่อวานเขาเข้ากรรมฐานพยายามมองก็ไม่เห็นอะไร จนถึงขณะนี้เขารู้สึกแปลกใจว่าความรู้สึกนั้นยังอยู่

                ตะวันคล้อยบ่าย แปดวันแล้วที่พรานผาและผู้พันไกรศักดิ์ก้าวลงบันไดเรือนไปเพื่อปฏิบัติภารกิจ สองพี่น้องกับลูกน้อยยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติ โละพี่ชายหาอาหารดูแลแความปลอดภัยให้น้องกับหลานสาวอย่างตั้งอกตั้งใจ เวลาที่ไม่มีอะไรทำพรานหนุ่มจะออกป่าทิศทางที่พวกของหัวบ้านขะมูอาจจะเดินป่าเข้ามาเพื่อประสงค์ร้าย

                สายมากแล้วของวันนี้โละเดินขึ้นเรือนมาหยุดยืนมองสร้อยแก้วหลานของเขาเหมือนเคย

                “ขอข้าอุ้มหลานทีรึ” โละยิ้มพูดขอหลานสาวที่ลอยาอุ้มอยู่ในวงแขน

                ลอยาประคองส่งลูกให้พี่ชายอุ้มเก้ๆกังๆ
    
            “เจ้าอยากกินสิ่งใดลอยาข้าจะไปหามาให้” โละถามน้องสาวเล่นกับหลานไปด้วย

                “ข้าไม่เลือกหรอกจ้ะ” ลอยาตอบ

                “เจ้ากินแต่ปลากับเผือกกับผลป่ามานานแล้วนะ ข้าจะไปป่าหาเก้งหาไก่ให้เจ้าได้กินบ้าง” โละพูด

                “ข้ามิมีแก่ใจจะสรรกินหรอกจ้ะอ้ายโละ” ลอยาบอกพี่ชาย

                “ข้าห่วงพ่อพรานกับท่านพี่ผัวข้า” เธอพูดสีหน้ากังวล

                “เจ้าอย่าห่วงเกินความเลยนะ ข้ารู้ว่ามิมีสิ่งใดแตะตัวนายท่านกับพ่อครูได้ดอก” โละยิ้มบอกน้องสาว

                “เจ้าอยู่ระวังเรือนได้รึไร” โละถามน้องสาว

                “ข้าจะเข้าไพรสักสองสามชั่วยาม” เขาพูดต่อ

                “ข้าอยู่ได้จ้ะ” ลอยาตอบพี่ชาย

                “เจ้าแลเห็นซอกโพรงนั่นรึไร” โละชี้มือไปที่รอยแยกเป็นโพรงของภูเขาไม่ไกล

                “ข้าเห็นจ้ะ” ลอยาตอบชะเง้อมองไปที่จุดนั้น

                “เจ้าหมายใจไว้นะ หากมีภัยเจ้านำสร้อยแก้วไปหลบไว้รอข้ากลับ” โละสั่งความน้องสาว

                “จ้ะ” ลอยาพยักหน้ารับคำ

                “เอ้ารับสร้อยแก้วไป พี่ไปไม่นาน” โละพูดส่งหลานคืนให้น้องสาวแล้วลุกขึ้นหยิบอาวุธเดินลงเรือนไป
    
            พรานโละเดินห่างบ้านออกไปเรื่อยๆจนพบเก้งงามตัวหนึ่ง มันกำลังก้มๆเงยๆยืนเล็มหน้าอย่างระวังภัย พรานโละพอใจกับขนาดของมันที่เพียงพอจะให้น้องสาวและตัวเขาเองใช้เป็นอาหารไปได้หลายวันทีเดียว เขาหมอบตัวลงเพื่อเฝ้าดูอาการเหยื่อแต่เสียงเท้าเหยียบกิ่งไม้แห้งทำให้เจ้าเก้งมันวิ่งแผล็วไปหยุดยืนมองมาที่ทิศทางของเสียงห่างไปพอควร เมื่อเห็นมันหยุดเขาคืบเข้าใกล้อีกมัน เมื่อเข้าใกล้มันก็เผ่นหนีไปอีกจนไกลจากบ้านออกไปทุกทีทุกที

                บนพื้นป่าเส้นทางจากหมู่บ้านที่ครอบครัวพรานผาจากมา ขณะนี้มีพรานไพรกว่าสิบคนเดินเท้ามาด้วยความเคียดแค้นที่ลูกชายถูกฆ่า

                หลายเดือนมาแล้วหลังจากที่ร่างของคะแยกระเด็นตกจากบันได ผ่อแยผู้พ่อ พรานใหญ่อีกคนในหมู่เผ่าออกตามครอบครัวของพรานผาอย่างคั่งแค้นจนพรานสองคนลูกศิษย์ของผ่อแยตามแกะรอยมาจนพบ คนหนึ่งกลับไปส่งข่าวให้ผ่อแยรับรู้ อีกคนหนึ่งเฝ้ามองความเคลื่อนไหวบนเรือนของพรานผารออยู่ เมื่อได้รู้ข่าวผ่อแยพรานเฒ่าจึงรวบรวมกลุ่มพรานลูกศิษย์หลายคนออกเดินเท้าจากหมู่บ้านมาหวังจะฆ่าล้างแค้นให้หมดทั้งสี่คน

                พวกมันเร่งฝีเท้ามาหลายวันใกล้เข้ามา ผ่อแยเอ่ยถามขณะเดินอยู่
                “เจ้าปลงใจมั่นรึว่าเหล่ามันลงเรือนอยู่” ผ่อแยพรานเฒ่าพ่อของคะแยถามพรานที่ไปส่งข่าว

                “ข้าปลงใจผู้เฒ่า” เขาตอบ

                “ข้าแกะรอยไอ้โละไปพบเรือนมัน” เขาพูดต่อ

                “เจ้าแลพบไอ้ผาอีกไอ้คนนอกเผ่ารึไร” ผ่อแยถาม

                “ข้าพบมันพ่อครู” เขาตอบ

                “พวกเจ้าระวังให้จงหนัก มันมีปืนรบ” ผ่อแยบอกเตือน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่