ชนิดเครื่องบิน ทำไมถึงสำคัญต่อการเดินทางในฤดูหนาว ??

กระทู้ข่าว
เที่ยวบินข้ามทวีประหว่างสหรัฐฯ และยุโรป ต้องล่าช้ากว่ากำหนด เนื่องจากการบินต้านลม ทำให้น้ำมันหมดก่อนถึง ทำให้ผู้โดยสารตกเครื่องที่จะบินต่อไปที่อื่นๆ ชนิดเครื่องบินที่บินจึงสำคัญไม่แพ้ราคาตั๋ว ลำใหญ่บินได้นานกว่า ถึงแน่นอน...

แอนดรูว์ ฟรีดแมน คอลัมนิสต์ ของ Mashable ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการเดินทางทางอากาศในช่วงฤดูหนาว ในเที่ยวบินทรานส์แอตแลนติก หรือเที่ยวบินระหว่างสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปว่า หากผู้ที่ต้องการเดินทางค้นหาเที่ยวบินระหว่างสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป คุณคงมองหาสายการบินตั๋วที่มีราคาถูกที่สุด ที่นั่งกว้างๆ และค่าโหลดสัมภาระน้อยๆ ไว้ก่อน แต่ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง หลังจากที่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีกรณีศึกษาจากชนิดของเครื่องบินโดยสาร

นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2558 เป็นต้นมา สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ และอเมริกันแอร์ไลน์ ต้องนำเครื่องบินโดยสารลำตัวแคบแบบ โบอิ้ง 757 ที่ใช้ในเส้นทางยอดนิยมอย่าง สนามบินฮีทโธรว์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ - สนามบินนานาชาติ นวร์ก ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ และ สนามบินจอห์น เอฟ. เคเนดี้ ในนิวยอร์ก ไปลงจอดยังสนามบินอื่นๆ ก่อนถึงจุดหมายถึงหลายสิบครั้ง โดยเมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลของเว็บไซต์ Flightaware.com พบว่าเครื่องบินต้องใช้เวลาบินนานกว่าเดิม ทำให้ต้องลงจอดยังสนามบินอื่นๆ เช่น กูสเบย์ หรือแกนเดอร์ ในแคนาดา หรือ แบงกอร์ ในรัฐเมน เพื่อเติมเชื้อเพลิงก่อนบินต่อไปยังที่หมาย

และด้วยเหตุนี้ทำให้สายการบินต้องมาสำรองที่นั่งให้ผู้โดยสารที่เครื่องดีเลย์ใหม่ นับเป็นการสูญเสีย ทั้งตัวเงิน เชื้อเพลิง และเวลาทำงานของพนักงานที่ต้องลากยาว เพื่อหาเที่ยวบินใหม่เพื่อให้ผู้โดยสารต่อเครื่องไปยังที่อื่นๆ เช่น ชิคาโก หรือ วอชิงตัน ดี.ซี. ขณะที่บริษัทเชื้อเพลิงในแบงกอร์ และกูสเบย์ กลับมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้

เจ้าหน้าที่ของ แบงกอร์ เอวิเอชั่น เซอร์วิส ผู้ให้บริการเชื้อเพลิงแก่เครื่องบิน กล่าวว่า ที่เครื่องบินต้องมาลงจอดเพื่อเติมเชื้อเพลิงก่อนถึงที่หมาย มีเหตุผลเดียว คือ ลมปะทะหน้า หรือ Head Wind อันเนื่องจากกระแสลมกรด (Jet Stream) ในแถบมหาสมุทรแอตแลนติก อันเป็นแนวกระแสลมชั้นบน แนวของกระแสลมกรดโดยมากจะพัดจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก มีความเร็วสูงถึง 230 ไมล์ต่อชั่วโมง มันส่งผลให้เที่ยวบินจากนิวยอร์กไปลอนดอนใช้เวลาบินแค่ 5 ชั่วโมง 30 นาที เท่านั้น ทั้งที่ปกติต้องใช้เวลา 6-7 ชั่วโมง นี่เป็นเพราะการบินตามกระแสลมเช่นกัน

เครื่องบินโดยสารแบบลำตัวแคบ รุ่นโบอิ้ง 757 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับสายการบินในการใช้บินในบางเส้นทาง แม้จะรองรับผู้โดยสารได้น้อยกว่าเครื่องบินลำตัวกว้างอย่างโบอิ้ง 767 หรือ แอร์บัส เอ330 เพราะเหมาะกับเที่ยวบินช่วงที่มีคนน้อย หรือใช้ในการบินระหว่างเมืองที่ความต้องการไม่สูง เช่น กรุงออสโล ไปยัง นวร์ก

โบอิ้ง 757 เริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปี 1983 และได้รับความนิยมมากในหมู่สายการบินต่างๆ เพื่อใช้ในเส้นทางแบบฝั่งถึงฝั่งในสหรัฐฯ รวมทั้งเส้นทางสั้นๆ ในประเทศ ระหว่างปี 1990 ทางเอฟเอเอ ได้อนุญาตให้โบอิ้ง 757 สามารถบินเหนือน้ำ หรือทะเลได้ ในฐานะเครื่องบิน 2 เครื่องยนต์ จึงมีการนำมาใช้งานแพร่หลายในเที่ยวบินไปยุโรปฝั่งตะวันตก เพื่อทดแทนเครื่องใหญ่ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายสูง รวมทั้งการบินจากฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ไปยังเกาะฮาวาย ทั้งนี้ โบอิ้ง 757-200 ของยูไนเต็ด แอร์ไลน์ มีพิสัยบินที่ 4,500 ไมล์

กูรูแนะเลือกจ่ายให้ฉลาดเพื่อนั่งเครื่องบินที่ดีที่สุด

เจสสิก้า พลาสซ์ นักเขียนของ Mashable แนะว่า แม้ว่าเที่ยวบินทรานส์แอตแลนติกส่วนมากเมื่อค้นหาแล้วจะพบว่าบินด้วยเครื่องบินแบบโบอิ้ง 757 เป็นส่วนมาก แต่แน่นอนว่าในเส้นทางนี้ย่อมมีเครื่องบินที่ใหญ่กว่าของสายการบินอื่นๆ บินด้วยเช่นกัน นี่อาจเป็นทางเลือกที่คุณไม่ต้องกังวลเรื่องพิสัยการบินที่จำกัด เมื่อต้องบินต้านลมแล้วเชื้อเพลิงเครื่องบินจะไม่พอต้องไปลงจอดที่อื่น ทำให้เสียเวลาต่อเครื่อง

Mashable ยกตัวอย่างการหาตั๋วเครื่องบินจาก ปารีส ไป นวร์ก ในเดือน มี.ค.2558 หากเลือกบินเวลา 09.25 น. ทางยูไนเต็ด จะใช้เครื่องบินโบอิ้ง 767-300 ที่มีพิสัยการบิน 6,900 ไมล์ หากเลือก บิน 12.55 น. จะได้บินกับเครื่องบินโบอิ้ง 757-200 ที่บินได้แค่ 4,500 ไมล์ แต่ทั้ง 2 เที่ยวบินราคาค่าโดยสารเท่ากัน มีความกว้างของที่นั่ง 17.3 นิ้ว และระยะห่างระหว่างที่นั่ง 31 นิ้ว ในชั้นประหยัด

อีกตัวอย่าง คือ เที่ยวบินระหว่าง ฮีทโธรว์ ลอนดอน - สนามบินนานาชาติ ดูลิส วอชิงตัน ดี.ซี. สายการบินยูไนเต็ดใช้เครื่องบิน โบอิ้ง 757 ควบคู่กับโบอิ้ง 777 ขณะที่บริติชแอร์เวย์ นำเอาแอร์บัส เอ 380-800 เครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาให้บริการ แต่บริติชแอร์เวย์ จะมีค่าโดยสารแพงกว่ายูไนเต็ดแอร์ไลน์ประมาณ 100 เหรียญ ในช่วงเวลาเดือน มี.ค. แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อลองดูในรายละเอียด ทั้ง 2 สายการบินให้สิทธิ์โหลดกระเป๋าสัมภาระฟรี 1 ใบ หากต้องการโหลดใบที่ 2 ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ คิดค่าโหลดเพิ่มใบละ 100 เหรียญ ส่วนบริติชแอร์เวย์ คิดค่าโหลดกระเป๋าใบที่ 2 เพิ่มเช่นกัน ใบละ 50 เหรียญสหรัฐฯ แม้จะแพงกว่า แต่มั่นใจได้แน่นอนว่า จะไม่มีการบินไปลงที่อื่นเพราะบินต้านลมแน่นอน.



http://www.thairath.co.th/content/474069
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่