ผมอ่านพบบทความภาษาอังกฤษเรื่อง ความสำคัญของ หินดำในศาสนาอิสลาม
ผมพยายามที่จะเรียบเรียงเป็นภาษาไทยเท่าที่จะทำได้ เพื่อความเข้าใจ ของสมาชิกในห้องศาสนาทุกๆท่าน
แต่การเรียบเรียงเป็นภาษาไทยนี้อาจจะไม่ถูกต้องและสมบูรณ์
ถ้าไม่ได้รับการตรวจทานจากผู้ที่มีความรู้ทาง ฮาดีษ และภาษาอรับทีดีกว่าผม
ผมจึงต้องขอความร่วมมือจาก คุณฮุไซนี ช่วยอธิบาย และยืนยันว่าศาสนาอิสลามสอนเช่นนี้อย่างแท้จริง,
ซึ่งตัวผมเองที่ไม่คิดว่า อิสลามจะสอนเช่นนี้ เนื่องจากเป็นการเชื่อในการสร้างภาคี
และเชื่อว่าหินดำมีอำนาจเหนือท่านศาสดามูฮัมมัด ในวันคัดสินและในการทำพิธีฮัจจฺ
มีฮาดีษเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับ หินดำ ซึ่งผมจะนำมาแสดงให้พี่น้องมุสลิมได้เห็น เพื่อว่า เราจะได้เรียนรู้เรื่องราวของ หินดำจาก ฮาดีษเหล่านั้น
1.หินดำนั้นถูกส่งลงมาจากอัลลอฮ์จากสวรรค์มาสู่พื้นดิน
อิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่าน ศาสดามูฮัมมัด ได้กล่าวว่า “หินดำนี้มาจากสวรรค์” (อัลติรมิซี สุนัน, ฮาดีษ หมายเลข.877 อัล-นาซาอิ 2935 และถูกจัดอันดับว่าเป็น ซอเฮี๊ยะฮาดีษ โดย เชค อัลบานิ ในหนังสือ ซอเฮี๊ยะ อัตติรมิซี สุนัน ฮาดีษหมายเลข 695)
2.หินก้อนนั้นแต่ก่อนเคยมีสีขาวกว่าน้ำนม,แต่ความบาปของลูกๆของท่านนบีอดัมทำให้มันกลายเป็นสี ดำ
อิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่าน ศาสดามูฮัมมัด ได้กล่าวว่า “เมื่อหินดำมาจากสวรรค์, มันมีสีขาวกว่าน้ำนม, แต่เนื่องจากความบาปของลูกชายอดัมทำให้สีของหินเปลี่ยนเป้นสีดำ” (รายงานโดย อัตติรมิซี 877; อะหมัด2792. จัดเป็นซอเฮี๊ยะฮาดีษโดย อิบนุ คูซัยมะฮ์, 4/219.อัล-ฮาฟิซ อิบนุฮาญัร จัดให้อยู่ในฮาดีษ ที่มีความเชื่อถือได้อย่างแข็งแรง ใน ฟัซ อัลบาอะริ 3/462)
(a) อีมาม อัลมูบารอ็คฟูริ อธิบายว่า มันหมายถึง บาปของลูกๆท่านนบีอดัม,ผู้ซึ่งสัมผัสก้อนหินสีขาวนั้น ทำให้หินก้อนนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำ, ฮาดีษในเรื่องนี้เราจำเป็นที่จะต้องเชื่อตามเอกลักษณ์ของคุณค่าของฮาดีษ,ทั้งนี้เพราะว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อ, ทั้งตามสายรายงาน, และการใช้สามัญสำนึกในทางคุณธรรม
หมายความว่า มุสลิมจะต้องไม่ปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องราว จากฮาดีษที่รายงานหรือจากการใช้สามัญสำนึกแห่งความศรัทธาของมุสลิมว่าที่หินนั้นเป็นสีดำเนื่องมาจากการถูกสัมผัสโดยคนที่มีบาป
(تـحـفـة الأحـوذي)ตุฮ์ฟัตอัล-อะฮ์วะซีย์์ 3/525)
(b) อัล-ฮาฟิซ อิบนุ ฮะญา กล่าวว่าถ้าหากว่าผุ้ต่างศรัทธา พยายามที่จะตำหนิ ฮาดีษบทนี้ โดยอ้างว่า ความบาปของผู้บูชาเจว็ด ทำให้หินก้อนนี้กลายเป็นสีดำได้, แล้วทำไมผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวเมื่อสัมผัสมันจึงไม่เปลี่ยนให้มันเป็นสีขาวขึ้นมาได้?
อิบนุ คูตัยบะฮ์ ตอบว่า ถ้าอัลลอฮ์ทรงพระประสงค์ที่จะให้เป็นดังนั้นแล้ว มันก็จะเกิดขึ้นได้, แต่ว่าอัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดไว้ว่า สีดำเป็นสีที่เปลี่ยนสีอื่นๆได้นอกจากตัวมันเองจะไม่มีการเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาวได้, ซึ่งตรงกันข้ามกับสีขาว
(c) อัล-มูฮิบนุอัลตะบะริกล่าวว่า ความจริงที่ว่ามันกลายเป็นสีดำเพราะบาปนั้น, มันเป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่มีความเข้าใจ, คือว่าถ้าบาปได้มีผลทำให้ก้อนหินที่ไม่มีชีวิตกลายเป็นสีดำได้แล้ว,ดังนั้นบาปที่เกิดขึ้นในหัวใจของมนุษย์ย่อมมีผลหกระทบกระเทือนมากกว่า(อ้างอิง ฟัซ อัล-บาริ 3/463)
3.ก้อนหินดำนี้จะออกมาปรากฏตัวในวันตัดสินและจะเป็นพยายนในทางที่ดีแก่ผู้ที่สัมผัสมันด้วยความจริงใจ
อิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่าน ศาสดามูฮัมมัด ได้กล่าวว่า: “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์, อัลลอฮ์จะนำหินดำนี้ออกมาในวันตัดสิน, และ หินดำก้อนนี้ จะมีนัยตาสองนัยตา,ซึ่งจะมองเห็น,และลิ้นซึ่งสามารถจะพูดได้ และมันจะกล่าวเป็นพยานเข้าข้างผู้ที่สัมผัสมันอย่างจริงใจ,” (รายงานโดยอัตติรมิซี 961 อิบนุมาญะฮ์,2944 )
ฮาดีษบทนี้ จัด เป็น ฮาดีษหะซันโดยอัตติรมิซี, และถูกจัดอยู่ในระดับ อัลกอวียฺ หมายถึงฮาดีษที่มีความแข็งแรงเที่ยงตรงแท้จริงที่สุด(ผู้ซึ่งมีพลังที่แข็งแรงที่สุด “อัลลอฮ์” หรือเทียบเท่าอัลกุรอาน โดบอีมาม อัล-ฮาฟิซ อิบนุฮาญัร ในหนังสือ ฟัตฮฺ อัลบารียฺ فتح الباري 3/462 (คำอธิบายฮาดีษบุคอรี)
(4) การสัมผัส, จูบ หรือการขี้ไปที่ก้อนหินดำ นี่คือสิ่งแรกที่จะต้อวงกระทำเมื่อเริ่มต้นการเดิน เตาวาฟ طواف
ญาบิร อิบนฺ อับดฺอัลลอฮ์ รายงานว่าเมื่อท่านศาสนทูตของอัลลออ์ มาถึง มักกะห์ ท่านจะมาที่หินดำและสัมผัสมัน, และก็เดินไป รอบทางขวาของก้อนหินดำนั้น และวิ่งสามรอบ รอบๆกะบะห์
(รายงานโดยมุสลิม,1218)
5. ท่านศาสดามูฮัมมัด จะจูบหินดำ และ บรรดาชนชาติชาวมุสลิมของท่าน ก็จะจูบหินดำตามท่านศาสดาไปทุกๆคน
มีรายงานว่า “ท่านอุมัร” ได้มายังก้อนหินดำและก้มลงจูบก้อนหินดำนั้น, แล้วท่านก็กล่าวว่า: ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่อาจจะนำผลประโยชน์ หรือ หรือทำความเสียหายให้กับผู้ใดได้, หากว่าฉันไม่เคยเห็นท่านศาสดาจูบเจ้ามาก่อนแล้ว, ฉันจะไม่จูบเจ้าเลย”
(รายงานโดย อัล-บุคอรี,1520;มุสลิม,1720)
6. ถ้าหากว่าผู้ใดก็ตาม ไม่อาจจะเข้าไปจูบก้อนหินดำนี้ได้,เขาผู้นั้นก็ควรจะสัมผ้สมันด้วยมือหรือสิ่งใดก็ได้ เช่น ก้านไม้ หรือ ไม้เท้า, หรือวัตถุใดที่เอื้อมไปสัมผัสก้อนหินนั้น,แล้วจูบวัตถุที่สัมผัสกับก้อนหินแทน (การจูบก้อนหินดำนั้น)
(a) มีรายงานว่า นาฟิอ์ ได้กล่าวว่า: ฉันได้เห็นท่านอิบนฺ อูมัร สัมผัสก้อนหินด้วยมือของเขา,แล้วเอามือของเขามาจูบ, เขาได้กล่าวว่า, ฉันไม่เคยหยุดการกระทำเช่นนี้(การจูบหิน)เลย ตั้งแต่ฉันได้เห็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ จูบมัน
(รายงานโดย มุสลิม 1268)
(b) มีรายงานว่า อบูตูฟีล กล่าวว่า ฉันเห็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ เดินเตาวัฟ ไปรอบบัยตุลลอฮ์, ท่านใช้ไม้เท้าที่งิกงอของท่า่นสัมผัสที่มุมของบัยตุลลอฮ์ที่มีหินดำติดตั้งอยู่, แล้วท่านก็จูบไใม้เท้าที่สัมผ้สก้อนหินดำนั้น
(รายงานโดย มุสลิม 1275)
(7) ถ้าผู้ใดไม่อาจจะสัมผัสหินดำหรือทำตามที่กล่าวมานั้นได้, ดังนั้นเขาสามารถที่จะใช้มือเขาชี้ไปที่ก้อนหินดำและกล่าวว่า “อัลลออ์ฮุอักบัร” (พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ๋)
มีรายงานว่า อิบนฺอับบาส ได้กล่าวว่า: ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ทำเตาวัฟ โดยการขี่อูฐ,ทุกๆรอบที่มาถึงมุมที่ซึ่งมีหินดำติดตั้งอยู่, ท่านจะชี้ไปที่ก้อนหินดำแล้วกล่าวว่า “อัลลอฮุอักบัร”
(รายงานโดย อัล บุคอรี,4987)
(8) การสัมผัสก้อนหินดำเป็นสิ่งหนึ่งในวิธีที่อัลลอฮ์ลบล้างบาปให้กับผู้ที่สัมผัสมัน
มีรายงานว่า อิบนฺอุมัร ได้กล่าวว่า ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ได้กล่าวว่า, “การสัมผัสทั้งหินดำและมุมของกะบะห์มุมยะมานีالـركـن الـيـمـانــيเป็นการล้างบาป”
(รายงานโดย อัล ติรมิซิ,959. ฮาดีษนี้ถูกจัดอยู่ในอันดับ หะซัน (الحسن)โดย อัล ติรมิซิ และ จัดให้อยู่ในระดับ ซอเฮี๊ยะฮาดีษ โดย อัล ฮาคิม (1/664) อัล ซะฮะบี เห็นพ้องต้องกันกับเขา)
ไม่เป็นที่อนุญาตให้มุสลิมแย่งชิงกันจูปหินดำ โดยการทุบตีหรือแย่งชิงกัน, ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ได้บอกเราว่า หินดำก้อนนี้จะเป็นพยานเข้าข่างเราสำหรับผู้ที่สัมผัสมันด้วยความจริงใจ, มันไม่เป็นการถุกต้องที่ผุ้ใดจะสัมผัสก้อนหินโดยการกระทบกระเทือนซึ่งกันและกัน
และอัลลอฮ์เท่านั้นผู้ทรงรู้ดีที่สุด
เมื่อผมอ่านเรื่องนี้แล้ว ผมเชื่อว่าคุณฮุไซนีคงเห็นด้วยกับผมว่ามุสลิมที่เชื่อใน อัลลอฮ์ ตามหลัก เตาฮีดของอิสลามจะมีความเชื่อเช่นนี้ไม่ได้ หรือว่า ผมจินตนาการไปเอง และถ้าเป็นไปได้ คุณฮุไซนีช่วยเล่าเรื่องการทำเตาวัฟอย่างย่อๆ เอาแค่ตอนเริ่มต้นก็พอ จากมุมแรกกะบะห์ ไปถึงมุมที่สองของกะบะห์ว่า เขามีพิธีการอย่างไรตามฮาดีษที่คุณนับถือศรัทธา ผมรับรองได้ว่าไม่ใช่การการปั้นน้ำเป็นตัวของชาวยิวหรือ อเมริกันมุสลิมอย่างแน่นอน
หินดำที่กรุงมักกะห์เป็นเพียงก้อนหินธรรมดา หรือ มีความสำคัญตามหลักการทางศาสนาของบางลัทธิในในศาสนาอิสลาม?
ผมพยายามที่จะเรียบเรียงเป็นภาษาไทยเท่าที่จะทำได้ เพื่อความเข้าใจ ของสมาชิกในห้องศาสนาทุกๆท่าน
แต่การเรียบเรียงเป็นภาษาไทยนี้อาจจะไม่ถูกต้องและสมบูรณ์
ถ้าไม่ได้รับการตรวจทานจากผู้ที่มีความรู้ทาง ฮาดีษ และภาษาอรับทีดีกว่าผม
ผมจึงต้องขอความร่วมมือจาก คุณฮุไซนี ช่วยอธิบาย และยืนยันว่าศาสนาอิสลามสอนเช่นนี้อย่างแท้จริง,
ซึ่งตัวผมเองที่ไม่คิดว่า อิสลามจะสอนเช่นนี้ เนื่องจากเป็นการเชื่อในการสร้างภาคี
และเชื่อว่าหินดำมีอำนาจเหนือท่านศาสดามูฮัมมัด ในวันคัดสินและในการทำพิธีฮัจจฺ
มีฮาดีษเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับ หินดำ ซึ่งผมจะนำมาแสดงให้พี่น้องมุสลิมได้เห็น เพื่อว่า เราจะได้เรียนรู้เรื่องราวของ หินดำจาก ฮาดีษเหล่านั้น
1.หินดำนั้นถูกส่งลงมาจากอัลลอฮ์จากสวรรค์มาสู่พื้นดิน
อิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่าน ศาสดามูฮัมมัด ได้กล่าวว่า “หินดำนี้มาจากสวรรค์” (อัลติรมิซี สุนัน, ฮาดีษ หมายเลข.877 อัล-นาซาอิ 2935 และถูกจัดอันดับว่าเป็น ซอเฮี๊ยะฮาดีษ โดย เชค อัลบานิ ในหนังสือ ซอเฮี๊ยะ อัตติรมิซี สุนัน ฮาดีษหมายเลข 695)
2.หินก้อนนั้นแต่ก่อนเคยมีสีขาวกว่าน้ำนม,แต่ความบาปของลูกๆของท่านนบีอดัมทำให้มันกลายเป็นสี ดำ
อิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่าน ศาสดามูฮัมมัด ได้กล่าวว่า “เมื่อหินดำมาจากสวรรค์, มันมีสีขาวกว่าน้ำนม, แต่เนื่องจากความบาปของลูกชายอดัมทำให้สีของหินเปลี่ยนเป้นสีดำ” (รายงานโดย อัตติรมิซี 877; อะหมัด2792. จัดเป็นซอเฮี๊ยะฮาดีษโดย อิบนุ คูซัยมะฮ์, 4/219.อัล-ฮาฟิซ อิบนุฮาญัร จัดให้อยู่ในฮาดีษ ที่มีความเชื่อถือได้อย่างแข็งแรง ใน ฟัซ อัลบาอะริ 3/462)
(a) อีมาม อัลมูบารอ็คฟูริ อธิบายว่า มันหมายถึง บาปของลูกๆท่านนบีอดัม,ผู้ซึ่งสัมผัสก้อนหินสีขาวนั้น ทำให้หินก้อนนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำ, ฮาดีษในเรื่องนี้เราจำเป็นที่จะต้องเชื่อตามเอกลักษณ์ของคุณค่าของฮาดีษ,ทั้งนี้เพราะว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อ, ทั้งตามสายรายงาน, และการใช้สามัญสำนึกในทางคุณธรรม
หมายความว่า มุสลิมจะต้องไม่ปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องราว จากฮาดีษที่รายงานหรือจากการใช้สามัญสำนึกแห่งความศรัทธาของมุสลิมว่าที่หินนั้นเป็นสีดำเนื่องมาจากการถูกสัมผัสโดยคนที่มีบาป
(تـحـفـة الأحـوذي)ตุฮ์ฟัตอัล-อะฮ์วะซีย์์ 3/525)
(b) อัล-ฮาฟิซ อิบนุ ฮะญา กล่าวว่าถ้าหากว่าผุ้ต่างศรัทธา พยายามที่จะตำหนิ ฮาดีษบทนี้ โดยอ้างว่า ความบาปของผู้บูชาเจว็ด ทำให้หินก้อนนี้กลายเป็นสีดำได้, แล้วทำไมผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวเมื่อสัมผัสมันจึงไม่เปลี่ยนให้มันเป็นสีขาวขึ้นมาได้?
อิบนุ คูตัยบะฮ์ ตอบว่า ถ้าอัลลอฮ์ทรงพระประสงค์ที่จะให้เป็นดังนั้นแล้ว มันก็จะเกิดขึ้นได้, แต่ว่าอัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดไว้ว่า สีดำเป็นสีที่เปลี่ยนสีอื่นๆได้นอกจากตัวมันเองจะไม่มีการเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาวได้, ซึ่งตรงกันข้ามกับสีขาว
(c) อัล-มูฮิบนุอัลตะบะริกล่าวว่า ความจริงที่ว่ามันกลายเป็นสีดำเพราะบาปนั้น, มันเป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่มีความเข้าใจ, คือว่าถ้าบาปได้มีผลทำให้ก้อนหินที่ไม่มีชีวิตกลายเป็นสีดำได้แล้ว,ดังนั้นบาปที่เกิดขึ้นในหัวใจของมนุษย์ย่อมมีผลหกระทบกระเทือนมากกว่า(อ้างอิง ฟัซ อัล-บาริ 3/463)
3.ก้อนหินดำนี้จะออกมาปรากฏตัวในวันตัดสินและจะเป็นพยายนในทางที่ดีแก่ผู้ที่สัมผัสมันด้วยความจริงใจ
อิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่าน ศาสดามูฮัมมัด ได้กล่าวว่า: “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์, อัลลอฮ์จะนำหินดำนี้ออกมาในวันตัดสิน, และ หินดำก้อนนี้ จะมีนัยตาสองนัยตา,ซึ่งจะมองเห็น,และลิ้นซึ่งสามารถจะพูดได้ และมันจะกล่าวเป็นพยานเข้าข้างผู้ที่สัมผัสมันอย่างจริงใจ,” (รายงานโดยอัตติรมิซี 961 อิบนุมาญะฮ์,2944 )
ฮาดีษบทนี้ จัด เป็น ฮาดีษหะซันโดยอัตติรมิซี, และถูกจัดอยู่ในระดับ อัลกอวียฺ หมายถึงฮาดีษที่มีความแข็งแรงเที่ยงตรงแท้จริงที่สุด(ผู้ซึ่งมีพลังที่แข็งแรงที่สุด “อัลลอฮ์” หรือเทียบเท่าอัลกุรอาน โดบอีมาม อัล-ฮาฟิซ อิบนุฮาญัร ในหนังสือ ฟัตฮฺ อัลบารียฺ فتح الباري 3/462 (คำอธิบายฮาดีษบุคอรี)
(4) การสัมผัส, จูบ หรือการขี้ไปที่ก้อนหินดำ นี่คือสิ่งแรกที่จะต้อวงกระทำเมื่อเริ่มต้นการเดิน เตาวาฟ طواف
ญาบิร อิบนฺ อับดฺอัลลอฮ์ รายงานว่าเมื่อท่านศาสนทูตของอัลลออ์ มาถึง มักกะห์ ท่านจะมาที่หินดำและสัมผัสมัน, และก็เดินไป รอบทางขวาของก้อนหินดำนั้น และวิ่งสามรอบ รอบๆกะบะห์
(รายงานโดยมุสลิม,1218)
5. ท่านศาสดามูฮัมมัด จะจูบหินดำ และ บรรดาชนชาติชาวมุสลิมของท่าน ก็จะจูบหินดำตามท่านศาสดาไปทุกๆคน
มีรายงานว่า “ท่านอุมัร” ได้มายังก้อนหินดำและก้มลงจูบก้อนหินดำนั้น, แล้วท่านก็กล่าวว่า: ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่อาจจะนำผลประโยชน์ หรือ หรือทำความเสียหายให้กับผู้ใดได้, หากว่าฉันไม่เคยเห็นท่านศาสดาจูบเจ้ามาก่อนแล้ว, ฉันจะไม่จูบเจ้าเลย”
(รายงานโดย อัล-บุคอรี,1520;มุสลิม,1720)
6. ถ้าหากว่าผู้ใดก็ตาม ไม่อาจจะเข้าไปจูบก้อนหินดำนี้ได้,เขาผู้นั้นก็ควรจะสัมผ้สมันด้วยมือหรือสิ่งใดก็ได้ เช่น ก้านไม้ หรือ ไม้เท้า, หรือวัตถุใดที่เอื้อมไปสัมผัสก้อนหินนั้น,แล้วจูบวัตถุที่สัมผัสกับก้อนหินแทน (การจูบก้อนหินดำนั้น)
(a) มีรายงานว่า นาฟิอ์ ได้กล่าวว่า: ฉันได้เห็นท่านอิบนฺ อูมัร สัมผัสก้อนหินด้วยมือของเขา,แล้วเอามือของเขามาจูบ, เขาได้กล่าวว่า, ฉันไม่เคยหยุดการกระทำเช่นนี้(การจูบหิน)เลย ตั้งแต่ฉันได้เห็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ จูบมัน
(รายงานโดย มุสลิม 1268)
(b) มีรายงานว่า อบูตูฟีล กล่าวว่า ฉันเห็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ เดินเตาวัฟ ไปรอบบัยตุลลอฮ์, ท่านใช้ไม้เท้าที่งิกงอของท่า่นสัมผัสที่มุมของบัยตุลลอฮ์ที่มีหินดำติดตั้งอยู่, แล้วท่านก็จูบไใม้เท้าที่สัมผ้สก้อนหินดำนั้น
(รายงานโดย มุสลิม 1275)
(7) ถ้าผู้ใดไม่อาจจะสัมผัสหินดำหรือทำตามที่กล่าวมานั้นได้, ดังนั้นเขาสามารถที่จะใช้มือเขาชี้ไปที่ก้อนหินดำและกล่าวว่า “อัลลออ์ฮุอักบัร” (พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ๋)
มีรายงานว่า อิบนฺอับบาส ได้กล่าวว่า: ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ทำเตาวัฟ โดยการขี่อูฐ,ทุกๆรอบที่มาถึงมุมที่ซึ่งมีหินดำติดตั้งอยู่, ท่านจะชี้ไปที่ก้อนหินดำแล้วกล่าวว่า “อัลลอฮุอักบัร”
(รายงานโดย อัล บุคอรี,4987)
(8) การสัมผัสก้อนหินดำเป็นสิ่งหนึ่งในวิธีที่อัลลอฮ์ลบล้างบาปให้กับผู้ที่สัมผัสมัน
มีรายงานว่า อิบนฺอุมัร ได้กล่าวว่า ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ได้กล่าวว่า, “การสัมผัสทั้งหินดำและมุมของกะบะห์มุมยะมานีالـركـن الـيـمـانــيเป็นการล้างบาป”
(รายงานโดย อัล ติรมิซิ,959. ฮาดีษนี้ถูกจัดอยู่ในอันดับ หะซัน (الحسن)โดย อัล ติรมิซิ และ จัดให้อยู่ในระดับ ซอเฮี๊ยะฮาดีษ โดย อัล ฮาคิม (1/664) อัล ซะฮะบี เห็นพ้องต้องกันกับเขา)
ไม่เป็นที่อนุญาตให้มุสลิมแย่งชิงกันจูปหินดำ โดยการทุบตีหรือแย่งชิงกัน, ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ได้บอกเราว่า หินดำก้อนนี้จะเป็นพยานเข้าข่างเราสำหรับผู้ที่สัมผัสมันด้วยความจริงใจ, มันไม่เป็นการถุกต้องที่ผุ้ใดจะสัมผัสก้อนหินโดยการกระทบกระเทือนซึ่งกันและกัน
และอัลลอฮ์เท่านั้นผู้ทรงรู้ดีที่สุด
เมื่อผมอ่านเรื่องนี้แล้ว ผมเชื่อว่าคุณฮุไซนีคงเห็นด้วยกับผมว่ามุสลิมที่เชื่อใน อัลลอฮ์ ตามหลัก เตาฮีดของอิสลามจะมีความเชื่อเช่นนี้ไม่ได้ หรือว่า ผมจินตนาการไปเอง และถ้าเป็นไปได้ คุณฮุไซนีช่วยเล่าเรื่องการทำเตาวัฟอย่างย่อๆ เอาแค่ตอนเริ่มต้นก็พอ จากมุมแรกกะบะห์ ไปถึงมุมที่สองของกะบะห์ว่า เขามีพิธีการอย่างไรตามฮาดีษที่คุณนับถือศรัทธา ผมรับรองได้ว่าไม่ใช่การการปั้นน้ำเป็นตัวของชาวยิวหรือ อเมริกันมุสลิมอย่างแน่นอน