บทความของใบตองแห้งครับ
ชาวบ้านบางระจัน ไม่ได้ต่อสู้เพื่อชาติไทย
by vvoicetv on ่5 มกราคม, 2015
Atukkit Sawangsuk
ได้ยินว่าละคร “บางระจัน” กำลังจะกลับมา สงสัยว่าจะปลุกชาตินิยมอีกตามเคย
บางระจันไม่ใช่ “ประวัติศาสตร์ชาติไทย” เพราะรัฐชาติไทยเกิดสมัยรัชกาลที่ 5 ถ้าพูดให้ถูก บางระจันคือ “ประวัติศาสตร์ไพร่” คือการลุกขึ้นสู้ของคนพื้นบ้านเพื่อปกป้องตัวเอง ครอบครัว ไม่ให้ถูกกวาดต้อนฉุดคร่า ไม่ใช่การลุกขึ้นสู้เพือปกป้องประเทศชาติหรือกรุงศรีอยุธยา
ถ้าชาวบ้านบางระจันไม่แพ้แก่พม่า ก็จะกลายเป็นก๊กๆ หนึ่งที่ถูกพระเจ้าตากปราบในภายหลัง
ประวัติศาสตร์ไพร่เช่นนี้ไม่ได้มีเฉพาะคนพื้นบ้านไทย คนลาว คนเขมร ที่ลุกขึ้นสู้เมื่อถูกทัพไทยยกพลไปตีเวียงจันทน์ ตีเมืองละแวก ก็มีถมไป
ในหนังสือ “อนามสยามยุทธ” บรรยายสงครามไทยกับเวียดนามบนแผ่นดินกัมพูชาว่าเป็นสงครามที่โหดเหี้ยมยาวนาน (พ.ศ.2376-2390) ทั้งสองฝ่ายละครับ ทัพไทยบางทัพ กวาดต้อนครัวชาวบ้านญวนหรือเขมรมาเป็นแรงงาน ฆ่าชายฉกรรจ์ทิ้งเสียเหลือไว้แต่ลูกเมีย หรือไม่ก็ปล้นชิงทรัพย์สินข่มขินลูกเมียเขา พูดได้ว่าคนดีก็มีคนชั่วก็มากทุกชาติทุกภาษา
จนเกิดกองกำลังขึ้นต่อต้าน เรียกว่า “เขมรป่าดง” หรือ “เขมรเหล่าร้าย” (ไปเรียกเขายังงั้นอีก) เป็นแบบชาวบ้านบางระจันเปี๊ยบ เป็นชาวบ้านล้วนๆ ไม่มีนายทัพ ทำสงครามกองโจรลอบยิงลอบฆ่าทหารไทย กองทัพของพระยารามราชเคยจับได้ แล้วเอามาสอบสวนได้ความว่า
“ซึ่งแอบมายิงไทยตายนั้น เพราะเจ็บอกช้ำใจที่กองทัพไทยยกทัพมาทางตะวันตกแต่ก่อนพากันจับบุตรภรรยาของเขมรป่าดงไปทำชำเราเนืองๆ ครั้งนั้นพวกเขมรชาวบ้านป่าดงช่วยกันล้อมจับนายทัพไทยชื่อพระยาสุรินทรราชเสนีฆ่าเสียแล้วๆ ครั้งหลังพวกเขมรบ้านแม่น้ำโขงตามจับนายทัพไทยได้อีกคนหนึ่ง ชื่อหลวงราชเดชา นำขวานผ่าอกตาย แล้วฆ่าไพร่ตาย 40 คน แต่พวกข้าพเจ้านี้ยังไม่ได้แก้แค้นแก่ไทยเลย จึงได้ตามมาลอบยิงพวกไทยนี้อีกด้วย เพราะเข้าใจว่าไทยพวกเดียวกัน”
พระยารามราชได้ฟังก็หายโกรธเขมร กลับโกรธพวกไทยมากกว่าว่าไปข่มเหงนังแกชาวบ้าน จึงปล่อยตัวเขมร 4 คนไป เพียงแต่ลงโทษสักหน้าไว้ว่า “โทษฆ่าคนตาย” หลังจากนั้นกองทัพของพระยารามราชก็ไม่ถูกลอบยิงอีกเลยจนกลับถึงนครจำปาศักดิ์
อ่านบทความของใบตองแห้งเรื่องบางระจันแล้วรู้สึกว่าเราอยู่ในกะลามานานมากแล้ว
ชาวบ้านบางระจัน ไม่ได้ต่อสู้เพื่อชาติไทย
by vvoicetv on ่5 มกราคม, 2015
Atukkit Sawangsuk
ได้ยินว่าละคร “บางระจัน” กำลังจะกลับมา สงสัยว่าจะปลุกชาตินิยมอีกตามเคย
บางระจันไม่ใช่ “ประวัติศาสตร์ชาติไทย” เพราะรัฐชาติไทยเกิดสมัยรัชกาลที่ 5 ถ้าพูดให้ถูก บางระจันคือ “ประวัติศาสตร์ไพร่” คือการลุกขึ้นสู้ของคนพื้นบ้านเพื่อปกป้องตัวเอง ครอบครัว ไม่ให้ถูกกวาดต้อนฉุดคร่า ไม่ใช่การลุกขึ้นสู้เพือปกป้องประเทศชาติหรือกรุงศรีอยุธยา
ถ้าชาวบ้านบางระจันไม่แพ้แก่พม่า ก็จะกลายเป็นก๊กๆ หนึ่งที่ถูกพระเจ้าตากปราบในภายหลัง
ประวัติศาสตร์ไพร่เช่นนี้ไม่ได้มีเฉพาะคนพื้นบ้านไทย คนลาว คนเขมร ที่ลุกขึ้นสู้เมื่อถูกทัพไทยยกพลไปตีเวียงจันทน์ ตีเมืองละแวก ก็มีถมไป
ในหนังสือ “อนามสยามยุทธ” บรรยายสงครามไทยกับเวียดนามบนแผ่นดินกัมพูชาว่าเป็นสงครามที่โหดเหี้ยมยาวนาน (พ.ศ.2376-2390) ทั้งสองฝ่ายละครับ ทัพไทยบางทัพ กวาดต้อนครัวชาวบ้านญวนหรือเขมรมาเป็นแรงงาน ฆ่าชายฉกรรจ์ทิ้งเสียเหลือไว้แต่ลูกเมีย หรือไม่ก็ปล้นชิงทรัพย์สินข่มขินลูกเมียเขา พูดได้ว่าคนดีก็มีคนชั่วก็มากทุกชาติทุกภาษา
จนเกิดกองกำลังขึ้นต่อต้าน เรียกว่า “เขมรป่าดง” หรือ “เขมรเหล่าร้าย” (ไปเรียกเขายังงั้นอีก) เป็นแบบชาวบ้านบางระจันเปี๊ยบ เป็นชาวบ้านล้วนๆ ไม่มีนายทัพ ทำสงครามกองโจรลอบยิงลอบฆ่าทหารไทย กองทัพของพระยารามราชเคยจับได้ แล้วเอามาสอบสวนได้ความว่า
“ซึ่งแอบมายิงไทยตายนั้น เพราะเจ็บอกช้ำใจที่กองทัพไทยยกทัพมาทางตะวันตกแต่ก่อนพากันจับบุตรภรรยาของเขมรป่าดงไปทำชำเราเนืองๆ ครั้งนั้นพวกเขมรชาวบ้านป่าดงช่วยกันล้อมจับนายทัพไทยชื่อพระยาสุรินทรราชเสนีฆ่าเสียแล้วๆ ครั้งหลังพวกเขมรบ้านแม่น้ำโขงตามจับนายทัพไทยได้อีกคนหนึ่ง ชื่อหลวงราชเดชา นำขวานผ่าอกตาย แล้วฆ่าไพร่ตาย 40 คน แต่พวกข้าพเจ้านี้ยังไม่ได้แก้แค้นแก่ไทยเลย จึงได้ตามมาลอบยิงพวกไทยนี้อีกด้วย เพราะเข้าใจว่าไทยพวกเดียวกัน”
พระยารามราชได้ฟังก็หายโกรธเขมร กลับโกรธพวกไทยมากกว่าว่าไปข่มเหงนังแกชาวบ้าน จึงปล่อยตัวเขมร 4 คนไป เพียงแต่ลงโทษสักหน้าไว้ว่า “โทษฆ่าคนตาย” หลังจากนั้นกองทัพของพระยารามราชก็ไม่ถูกลอบยิงอีกเลยจนกลับถึงนครจำปาศักดิ์