ความ “มั่นคง” ของแต่ละชนชาติที่สามารถรวมกันเป็นปึกแผ่นมาได้นั้นมักจะแลกมาด้วยคราบเลือดของคนในชาติ เคยถามตัวเอง(ถามเองตอบเอง)ว่าเลือดบรรพบุรุษที่เราอนุชนรุ่นหลังยกย่องและรู้สึกสำนึกในบุญคุณนี้เป็นเลือดที่ “พลี” ด้วยความรักชาติจริงไหม? หรืออาจจะเป็นเลือดที่ต้องพลีเพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่าการกระตุ้นเตือนและการปลุกกระแสความรักชาติพึ่งจะมีมาไม่นานนี้เอง ออกตัวตรงนี้ว่าไม่ได้กำลังดูถูกหรือหมิ่นน้ำใจบรรพบุรุษแต่อย่างใดแต่ตรงกันข้ามเลย มีการบันทึกว่าปัญหาอย่างหนึ่งของการรวบรวมกำลังพลในภาวะสงครามก็คือ เหล่าไพร่มักจะพยายามหนีเข้าป่าเพื่อหนีการเกณฑ์ทหารเข้าสงคราม ตรงนี้จะเห็นว่าจะหนีก็ตาย จะออกรบก็(อาจจะ)ตาย และต่อมาก็มีออกกฏให้เจ้าขุนมูลนาย “สักเลก” แก่ไพร่ที่อยู่ในสังกัดทุกคน เพื่อสะดวกต่อการเกณฑ์ตัวไพร่นั้นๆ ในยามสงคราม และมีการออกกฏลงโทษประหารผู้ที่หนีสงคราม หรือแม้แต่หนีในขณะที่ต่อสู้ (ดังกรณีที่ได้มีการสั่งประหารทหารรวมไปถึงแม่ทัพนายกองหลายนายหลังสงครามสิ้นสุด) ผมโดยส่วนตัวนอกจากยกย่องและเคารพบรรพบุรุษเหล่านั้นแล้วยังรู้สึกสารเพิ่มเข้าไปอีกความรู้สึกหนึ่งด้วย
อยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าเสือลงมาถึงพระบรมโกศ ได้ว่างเว้นจากสงครามใหญ่....หากแต่ “การเมือง” ภายในตอนนั้นก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อย แล้วมาสุกงอมเอาหลังจากพระเจ้าท้ายสระเสด็จสวรรคต คือก่อนสวรรคตพระเจ้าท้ายสระได้มอบราชสมบัติให้ราชโอรสคือเจ้าฟ้าอภัย แทนที่จะเป็นพระอนุชา(พระบัณฑูรน้อย)ที่ได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แล้วก่อนหน้านี้....สงครามกลางเมืองระหว่างพระเจ้าอากับหลานจึงเกิดขึ้น ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเป็นสงครามกลางเมืองที่นองเลือดระหว่างคนอยุธยาด้วยกันเองครั้งใหญ่ที่สุด ทหารเอกฝีมือกล้า แม่ทัพนายกองล้มตายเป็นจำนวนมาก ที่รอดชีวิตมาได้ก็ถูกสั่งประหารชีวิตจากฝ่ายชนะ
ผมเคยตั้งข้อสังเกตุเอาไว้.....หลังจากนั้นไม่นานเมื่อพม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีฯ เราเกือบพ่ายแพ้(ศึกอลองพญา ที่พระเจ้าอลองพญาโดนสะเก็ดจากปืนใหญ่ของตัวเองขณะระดมยิงอยุธยา จึงต้องยกทัพกลับพม่าและสิ้นพระชนม์) แต่เมื่อพม่ายกกลับมาอีกครั้งที่สอง...สามปีต่อมา อยุธยาก็ถึงกาลล่มสลาย.....ส่วนหนึ่งเพราะเราขาดทหารฝีมือดีที่ชำนาญการรบ บางท่านที่โทษพระมหากษัตริย์ว่าทรงอ่อนแอนั้น ออกจะไม่เป็นธรรมนัก ประวัติศาสตร์ระบุว่าพระเจ้าเอกทัศน์ทรงบัญชาการรบด้วยพระองค์และสิ้นพระชนม์ในสนามรบ บ้างก็ตำหนิพระองค์ว่าไม่ส่งปืนใหญ่ไปให้ชาวบางระจันที่อยู่นอกเขตพระราชฐาน(พม่ากำลังตีวงโอบขนาบอยุธยา แล้วจะให้ส่งปืนใหญ่ออกนอกเขตพระราชฐานก็ดูกะไรอยู่? อีกย่างคนไทยตอนนั้นก็แปรพักตร์เข้ากับพม่าก็มีเยอะ แล้วจะให้พระองค์ทรงไว้พระทัยอย่างไรว่า ชาวบ้านบางระจันจะไม่เอาปืนกลับมาย้อนยิงใส่อยุธยา? ที่ทำไม่ทรงอนุญาตให้เอาปืนใหญ่ออกนอกเมืองไปนั้นทรงทำถูกแล้วในสายตาผม) และเราก็คงต้องยอมรับความจริงว่า “การแตกสามัคคี” กันก่อนหน้านั้น แล้วลุกลามไปถึงขั้นต้องเข่นฆ่าคนชาติเดียวกันนั้น ทำให้อยุธยาไม่มีทหารชำนาญการบ เราจึงพ่ายแพ้......และที่สำคัญเราก็ต้องกล้ายอมรับความจริงอีกว่าพม่าว่าเขาก็แน่...เพราะถ้าไม่แน่จริงไม่ขนเสบียงขนปืนใหญ่ ส่งคนมาทำนาปลูกข้าวล่วงหน้าที่กำแพงเพชรเป็นปีก่อนทีจะยกทัพมาตีอยุธยาเลย
ยังทันไม่ข้ามชั่วอายุคน หลังจากที่อยุธยาล่มสลาย....มายุคถึงพระเจ้าตากสิน วีรบุรุษในตำนาน ทหารเอกของพระเจ้าตากอย่างพระยาพิชัย(ดาบหัก)ที่ร่วมรบกับพระเจ้าตากกอบกู้อิสระภาพ ที่ควงดาบต่อสู้พม่าปกป้องอธิปไตยจนดาบหัก ที่ตำราเรียนไทยได้ยกย่องว่าเชิดชูถึงเลือดรักชาติของท่านว่าควรเอาแบบอย่างนั้น จุดจบของท่านกลับ “หักมุม” ที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ข้ามที่จะเอ่ยถึง
เข้ามาเพิ่มเติมเหมือนเดิมว่า ถ้าชอบกดถูกใจก็พอครับ ไม่รับโหวต
.........เลือดรักชาติ...จากคมดาบคนกันเอง......
อยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าเสือลงมาถึงพระบรมโกศ ได้ว่างเว้นจากสงครามใหญ่....หากแต่ “การเมือง” ภายในตอนนั้นก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อย แล้วมาสุกงอมเอาหลังจากพระเจ้าท้ายสระเสด็จสวรรคต คือก่อนสวรรคตพระเจ้าท้ายสระได้มอบราชสมบัติให้ราชโอรสคือเจ้าฟ้าอภัย แทนที่จะเป็นพระอนุชา(พระบัณฑูรน้อย)ที่ได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แล้วก่อนหน้านี้....สงครามกลางเมืองระหว่างพระเจ้าอากับหลานจึงเกิดขึ้น ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเป็นสงครามกลางเมืองที่นองเลือดระหว่างคนอยุธยาด้วยกันเองครั้งใหญ่ที่สุด ทหารเอกฝีมือกล้า แม่ทัพนายกองล้มตายเป็นจำนวนมาก ที่รอดชีวิตมาได้ก็ถูกสั่งประหารชีวิตจากฝ่ายชนะ
ผมเคยตั้งข้อสังเกตุเอาไว้.....หลังจากนั้นไม่นานเมื่อพม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีฯ เราเกือบพ่ายแพ้(ศึกอลองพญา ที่พระเจ้าอลองพญาโดนสะเก็ดจากปืนใหญ่ของตัวเองขณะระดมยิงอยุธยา จึงต้องยกทัพกลับพม่าและสิ้นพระชนม์) แต่เมื่อพม่ายกกลับมาอีกครั้งที่สอง...สามปีต่อมา อยุธยาก็ถึงกาลล่มสลาย.....ส่วนหนึ่งเพราะเราขาดทหารฝีมือดีที่ชำนาญการรบ บางท่านที่โทษพระมหากษัตริย์ว่าทรงอ่อนแอนั้น ออกจะไม่เป็นธรรมนัก ประวัติศาสตร์ระบุว่าพระเจ้าเอกทัศน์ทรงบัญชาการรบด้วยพระองค์และสิ้นพระชนม์ในสนามรบ บ้างก็ตำหนิพระองค์ว่าไม่ส่งปืนใหญ่ไปให้ชาวบางระจันที่อยู่นอกเขตพระราชฐาน(พม่ากำลังตีวงโอบขนาบอยุธยา แล้วจะให้ส่งปืนใหญ่ออกนอกเขตพระราชฐานก็ดูกะไรอยู่? อีกย่างคนไทยตอนนั้นก็แปรพักตร์เข้ากับพม่าก็มีเยอะ แล้วจะให้พระองค์ทรงไว้พระทัยอย่างไรว่า ชาวบ้านบางระจันจะไม่เอาปืนกลับมาย้อนยิงใส่อยุธยา? ที่ทำไม่ทรงอนุญาตให้เอาปืนใหญ่ออกนอกเมืองไปนั้นทรงทำถูกแล้วในสายตาผม) และเราก็คงต้องยอมรับความจริงว่า “การแตกสามัคคี” กันก่อนหน้านั้น แล้วลุกลามไปถึงขั้นต้องเข่นฆ่าคนชาติเดียวกันนั้น ทำให้อยุธยาไม่มีทหารชำนาญการบ เราจึงพ่ายแพ้......และที่สำคัญเราก็ต้องกล้ายอมรับความจริงอีกว่าพม่าว่าเขาก็แน่...เพราะถ้าไม่แน่จริงไม่ขนเสบียงขนปืนใหญ่ ส่งคนมาทำนาปลูกข้าวล่วงหน้าที่กำแพงเพชรเป็นปีก่อนทีจะยกทัพมาตีอยุธยาเลย
ยังทันไม่ข้ามชั่วอายุคน หลังจากที่อยุธยาล่มสลาย....มายุคถึงพระเจ้าตากสิน วีรบุรุษในตำนาน ทหารเอกของพระเจ้าตากอย่างพระยาพิชัย(ดาบหัก)ที่ร่วมรบกับพระเจ้าตากกอบกู้อิสระภาพ ที่ควงดาบต่อสู้พม่าปกป้องอธิปไตยจนดาบหัก ที่ตำราเรียนไทยได้ยกย่องว่าเชิดชูถึงเลือดรักชาติของท่านว่าควรเอาแบบอย่างนั้น จุดจบของท่านกลับ “หักมุม” ที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ข้ามที่จะเอ่ยถึง
เข้ามาเพิ่มเติมเหมือนเดิมว่า ถ้าชอบกดถูกใจก็พอครับ ไม่รับโหวต