พรรคสังคมนิยมของจีน เกิดขึ้นมาเพื่อ เกมการเมืองโลก จริงๆ
ซึ่งหากรัฐทำให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์ การรุกล่าเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจ หรือ สงครามเศรษฐกิจ ที่ทำให้ต้องกลายเป็นขี้ข้า ลูกไล่ นายทุนตะวันตก ประชาชนย่อมเข้าใจว่า เอกภาพในการใช้อำนาจและ ความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ มีความจำเป็นในการ ปลดแอกอิทธิพลโลกอันสามานย์
ย่อมผิดจาก ประเทศที่แบ่งขั่วอำนาจการเมือง ไร้เอกภาพในด้านนโยบายปกป้องตนเองจากพิษภัยเศรษฐกิจและการเงิน ที่นำไปสู่การถูกยึดครองผูกขาดสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยนักการเมือง เอกชนไทย+นอมินี+ต่างชาติ
ปิโตรเลียม+ทองคำ ทำให้ไทย ไม่ปลอดภัย
นอกจากมี ยุทธปัจจัย ที่มหาอำนาจ ไม่อาจจะปล่อยให้อีกฝ่ายครอบครองได้ง่ายๆ เพราะจะกลายเป็นอาวุธที่กลับมาทำร้ายตนเอง และ จุดยุทธศาตร์ทางเศรษฐกิจในการขนส่งสินค้า แล้ว...
ยังเป็น จุดยุทธศาสตร์ทางการทหารที่สำคัญ ใน "ยุทธการโลกล้อมประเทศ" ของมหาอำนาจตำวันตก ที่แผ่นดินใหญ่ และรัสเซียที่เป็นเป้าเข้าปล้นสมบัติ(มีน้ำมันอันดับ1) ยอมไม่ได้ เพราะอาจจะเป็น ตัวชี้วัด ว่าฝ่ายไหนจะชนะสงคราม
ทั้งสงครามการเงิน และ สงครามนิวเคลียร์
จีนคือ ต้นตำหรับหมากกระดาน "หมากล้อม"หรือ โกะ GO ที่แฝงปรัชญาการต้อสู้ที่ล้ำลึกไว้...
"การใช้ทรัพยากรมุ่งทำลายผู้อื่น คือ การทำให้ตัวเองอ่อนแอลง
ส่วน ผู้ชนะ คือที่ผู้ที่ใช้ทรัพยากรสร้างความเข้มแข็งในแก่ตนเอง "
ทางเดียวที่จะปลดแอก อาณาประเทศต้องร่วมมือ
จึงไม่แปลก ที่ทุนสามานย์จะมีนโยบายด้านการข่าว นอกจากทำลายจุดเข็งของศัตรู
ยังจะมีการใช้ความเป็นพรรคการเมือง ชนชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ หรือ เป็นเครื่องมือสร้างความร้าวฉาน สั่งสมความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน และไม่สามารถร่วมมือกันได้ในที่สุด
เครื่องมือสำคัญ ก็คือ สื่อมวลชน และการสื่อสาร ที่อยู่ภายใต้ ระบบเทคโนโลยีการสื่อสาร
ครั้งรัฐประหาร ปี 49 บิ๊กบัง เคยกล่าวถึง อธิปไตยด้านการสื่อสารไว้ว่า "แค่ยกหู ศัตรูก็รู้หมดแล้ว"
จึงไม่แปลก ที่ รัสเซีย จีน หรือ อีกหลายประเทศที่หวาดเกรง "สงครามการข่าว"
เลือกที่จะ คุมสื่อ และ ดาวเทียมเอง
หลังรัฐประหารครั้งนั้น พ.ศ.2550 ไทยได้ทำสัญญาสร้างและส่ง ดาวเทียม ขึ้นฟ้า ชื่อว่า THAIOS พร้อมเงื่อนไข ให้ใช้ดาวเทียมของฝรั่งเศษอีก 4 ดวง
อนิจจา ประชาธิปไตยของไทย ที่ต่อสู้กันด้วย กำลังทุน ทำการเมืองกันเยี่ยงธุรกิจ ปลูกจิตสำนึกทางการเมืองให้ทำเพื่อ ผลประโยชน์ มากกว่า ความมั่นคงและผลประโยชน์ของส่วนรวม ดาวเทียม มูลค่ากว่า 5,000 ล้าน กลับเป็นสิ่งไร้คุณค่าต่อประเทศชาติและประชาชน
แม้หน่วยงานที่ควบคุมดูแล ก็อิงแอบการเมือง และสนองทุนสามานย์ สร้างประชานิยม แจกกล่องดาวเทียม กลบกระแสความไม่ชอบธรรมในการใช้จ่ายเงินแผ่นดินที่ได้มาจาก สัมปทาน 3 G ใช้อำนาจในการนำทรัพยากร คลื่นความถี่ ที่เป็นจองรัฐมาสร้างผลประโยชน์ให้เครือข่ายตนเอง
เป็นอีกหนึ่งสิ่งในการ นำทรัพยากรของรัฐ มาเสริมสร้างฐานอำนาจทางการเมืองทั้งเวทีไทย และ เวทีโลก เช่นเดียวกับอีกหลาย นโยบายขายชาติ ที่กำลังแพร่หลาย กลายเป็น ค่านิยมของคนส่วนใหญ่ ให้ต่างพากันเอาตัวรอดจากเศรษฐกิจที่มีการทุจริตทุกหย่อมหญ้า
"บ้านเมือง
ไม่เป็นไร ขอให้ตนได้ประโยชน์"
หลับตาซิครับ แล้วท่านจะเห็นอนาคต.....ว่ามันมืดมิด
หากสังเกตุนโยบายด้านการข่าวให้ดีๆ ช่วงนี้ คือ การสะสมเชื้อไฟ สร้างความบาดหมาง รัฐและมวลชน รอให้ถึงจุดที่สถานการณ์ สุกงอม คือ ปากท้องประชาชน
จึงต้องจับตาให้ดี ทั้งเวทีไทย และ เวทีโลก
ทั้ง สงครามภายใน และ สงครามโลก ที่ทั้ง 2 มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ จะไม่มีทางยอมให้ฝ่ายไหนได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด บนแผ่นดินสุวรรณภูมิ
ในสภาวะที่ทัศนคติของผู้คนในสังคมที่จิตใจ คล้ายครึ่งคนครึ่งสัตว์ ขาด มโนสำนึกถูกผิดชั่วดี หากตัดสินกันที่ "ผลประโยชน์" และเอาตัวรอดไปวันๆ
มันทำให้นึกถึงสังคมสัตว์ ที่มีผู้ที่เข้มแข็งและแข็งแรงที่สุด เป็นผู้นำ และกำหนดชี้ถูกผิดดีชอบ โดยผู้ใต้ปกครอง จำต้องยอมรับโดยดุษฎี
ในขณะที่ ปัจจัยต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นยังส่งเสริม ให้ดิ่ง ดำ ลึก ลงไปเรื่อยๆ ทั้ง เศรษฐกิจ และจิตใจของผู้คนในสังคม
ในคัมภีร์ พุทธศาสนา บอก สถานะที่ ต่ำกว่า สัตว์ ว่ามันคือ นรก
เมื่อแผนพสุธา ไม่สามารถแบ่งกั้น ฟ้าและอเวจี
ไม่แปลกนักที่ เราจะได้พบ นรกบนดิน
ปล.ประวัติศาสตร์ การปล้นทรัพยากร เพื่อ ควบคุมเศรษฐกิจและล่าอาณานิคม อาจารย์ ทนง ให้ข้อมูลไว้น่าสนใจมาก
https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/307815209414860
ท่านอาจจะได้พบกับ นรก บนสุวรรณภูมิ
ซึ่งหากรัฐทำให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์ การรุกล่าเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจ หรือ สงครามเศรษฐกิจ ที่ทำให้ต้องกลายเป็นขี้ข้า ลูกไล่ นายทุนตะวันตก ประชาชนย่อมเข้าใจว่า เอกภาพในการใช้อำนาจและ ความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ มีความจำเป็นในการ ปลดแอกอิทธิพลโลกอันสามานย์
ย่อมผิดจาก ประเทศที่แบ่งขั่วอำนาจการเมือง ไร้เอกภาพในด้านนโยบายปกป้องตนเองจากพิษภัยเศรษฐกิจและการเงิน ที่นำไปสู่การถูกยึดครองผูกขาดสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยนักการเมือง เอกชนไทย+นอมินี+ต่างชาติ
ปิโตรเลียม+ทองคำ ทำให้ไทย ไม่ปลอดภัย
นอกจากมี ยุทธปัจจัย ที่มหาอำนาจ ไม่อาจจะปล่อยให้อีกฝ่ายครอบครองได้ง่ายๆ เพราะจะกลายเป็นอาวุธที่กลับมาทำร้ายตนเอง และ จุดยุทธศาตร์ทางเศรษฐกิจในการขนส่งสินค้า แล้ว...
ยังเป็น จุดยุทธศาสตร์ทางการทหารที่สำคัญ ใน "ยุทธการโลกล้อมประเทศ" ของมหาอำนาจตำวันตก ที่แผ่นดินใหญ่ และรัสเซียที่เป็นเป้าเข้าปล้นสมบัติ(มีน้ำมันอันดับ1) ยอมไม่ได้ เพราะอาจจะเป็น ตัวชี้วัด ว่าฝ่ายไหนจะชนะสงคราม
ทั้งสงครามการเงิน และ สงครามนิวเคลียร์
จีนคือ ต้นตำหรับหมากกระดาน "หมากล้อม"หรือ โกะ GO ที่แฝงปรัชญาการต้อสู้ที่ล้ำลึกไว้...
"การใช้ทรัพยากรมุ่งทำลายผู้อื่น คือ การทำให้ตัวเองอ่อนแอลง
ส่วน ผู้ชนะ คือที่ผู้ที่ใช้ทรัพยากรสร้างความเข้มแข็งในแก่ตนเอง "
ทางเดียวที่จะปลดแอก อาณาประเทศต้องร่วมมือ
จึงไม่แปลก ที่ทุนสามานย์จะมีนโยบายด้านการข่าว นอกจากทำลายจุดเข็งของศัตรู
ยังจะมีการใช้ความเป็นพรรคการเมือง ชนชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ หรือ เป็นเครื่องมือสร้างความร้าวฉาน สั่งสมความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน และไม่สามารถร่วมมือกันได้ในที่สุด
เครื่องมือสำคัญ ก็คือ สื่อมวลชน และการสื่อสาร ที่อยู่ภายใต้ ระบบเทคโนโลยีการสื่อสาร
ครั้งรัฐประหาร ปี 49 บิ๊กบัง เคยกล่าวถึง อธิปไตยด้านการสื่อสารไว้ว่า "แค่ยกหู ศัตรูก็รู้หมดแล้ว"
จึงไม่แปลก ที่ รัสเซีย จีน หรือ อีกหลายประเทศที่หวาดเกรง "สงครามการข่าว"
เลือกที่จะ คุมสื่อ และ ดาวเทียมเอง
หลังรัฐประหารครั้งนั้น พ.ศ.2550 ไทยได้ทำสัญญาสร้างและส่ง ดาวเทียม ขึ้นฟ้า ชื่อว่า THAIOS พร้อมเงื่อนไข ให้ใช้ดาวเทียมของฝรั่งเศษอีก 4 ดวง
อนิจจา ประชาธิปไตยของไทย ที่ต่อสู้กันด้วย กำลังทุน ทำการเมืองกันเยี่ยงธุรกิจ ปลูกจิตสำนึกทางการเมืองให้ทำเพื่อ ผลประโยชน์ มากกว่า ความมั่นคงและผลประโยชน์ของส่วนรวม ดาวเทียม มูลค่ากว่า 5,000 ล้าน กลับเป็นสิ่งไร้คุณค่าต่อประเทศชาติและประชาชน
แม้หน่วยงานที่ควบคุมดูแล ก็อิงแอบการเมือง และสนองทุนสามานย์ สร้างประชานิยม แจกกล่องดาวเทียม กลบกระแสความไม่ชอบธรรมในการใช้จ่ายเงินแผ่นดินที่ได้มาจาก สัมปทาน 3 G ใช้อำนาจในการนำทรัพยากร คลื่นความถี่ ที่เป็นจองรัฐมาสร้างผลประโยชน์ให้เครือข่ายตนเอง
เป็นอีกหนึ่งสิ่งในการ นำทรัพยากรของรัฐ มาเสริมสร้างฐานอำนาจทางการเมืองทั้งเวทีไทย และ เวทีโลก เช่นเดียวกับอีกหลาย นโยบายขายชาติ ที่กำลังแพร่หลาย กลายเป็น ค่านิยมของคนส่วนใหญ่ ให้ต่างพากันเอาตัวรอดจากเศรษฐกิจที่มีการทุจริตทุกหย่อมหญ้า
"บ้านเมือง ไม่เป็นไร ขอให้ตนได้ประโยชน์"
หลับตาซิครับ แล้วท่านจะเห็นอนาคต.....ว่ามันมืดมิด
หากสังเกตุนโยบายด้านการข่าวให้ดีๆ ช่วงนี้ คือ การสะสมเชื้อไฟ สร้างความบาดหมาง รัฐและมวลชน รอให้ถึงจุดที่สถานการณ์ สุกงอม คือ ปากท้องประชาชน
จึงต้องจับตาให้ดี ทั้งเวทีไทย และ เวทีโลก
ทั้ง สงครามภายใน และ สงครามโลก ที่ทั้ง 2 มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ จะไม่มีทางยอมให้ฝ่ายไหนได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด บนแผ่นดินสุวรรณภูมิ
ในสภาวะที่ทัศนคติของผู้คนในสังคมที่จิตใจ คล้ายครึ่งคนครึ่งสัตว์ ขาด มโนสำนึกถูกผิดชั่วดี หากตัดสินกันที่ "ผลประโยชน์" และเอาตัวรอดไปวันๆ
มันทำให้นึกถึงสังคมสัตว์ ที่มีผู้ที่เข้มแข็งและแข็งแรงที่สุด เป็นผู้นำ และกำหนดชี้ถูกผิดดีชอบ โดยผู้ใต้ปกครอง จำต้องยอมรับโดยดุษฎี
ในขณะที่ ปัจจัยต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นยังส่งเสริม ให้ดิ่ง ดำ ลึก ลงไปเรื่อยๆ ทั้ง เศรษฐกิจ และจิตใจของผู้คนในสังคม
ในคัมภีร์ พุทธศาสนา บอก สถานะที่ ต่ำกว่า สัตว์ ว่ามันคือ นรก
เมื่อแผนพสุธา ไม่สามารถแบ่งกั้น ฟ้าและอเวจี
ไม่แปลกนักที่ เราจะได้พบ นรกบนดิน
ปล.ประวัติศาสตร์ การปล้นทรัพยากร เพื่อ ควบคุมเศรษฐกิจและล่าอาณานิคม อาจารย์ ทนง ให้ข้อมูลไว้น่าสนใจมาก
https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/307815209414860