ทฤษฎีว่าด้วยเรื่องรายได้ และกำไรของประเทศ และการล่มสลายของประเทศ

ทฤษฎีว่าด้วยเรื่องรายได้ และกำไรของประเทศ และการล่มสลายของประเทศ

ผมจะวิเคราะห์สถานการณ์ด้านระบบเศษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของรัฐและที่มาของรายได้รัฐ 3 ทฤษฎี
ได้แก่ 1.ทฤษฎีแบบสถานการณ์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน 2.ทฤษฎีแบบเผด็จการนิยม และ 3.ทฤษฎีแบบเสรีนิยม

1.ทฤษฎีแบบการบริหารประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ประเทศมีการปกครองด้วยระบอบทหารมีอำนาจสูงสุดเหนือรัฐธรรมนูญ
โครงสร้างระบบราชการค่อนข้างใหญ่เทอะทะ
ข้าราชการบางส่วนก็ทำงานไม่สมกับรายได้ที่รับไปจากรัฐซึ่งมาจากภาษีของประชาชน โดยเฉพาะทหาร
รายจ่ายประเทศส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปกับการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ
หากอยากสร้างโครงการใหญ่ๆ รัฐก็ต้องกู้เงินมหาศาลเท่านั้น
หรือถึงแม้ไม่สร้างอะไร ที่ผ่านมารัฐก็ใช้งบขาดดุลทุกปีอยู่แล้ว ไม่เคยมีประวัติใช้งบเกินดุลเลย
แถมบริษัทที่รัฐลงทุนก็ขาดทุนสม่ำเสมอ อย่างเช่น การบินไทย ฯลฯ
บางส่วนถูกผลาญด้วยโครงการต่างๆ ที่ตรวจสอบไม่ได้ ปราศจาคความโปร่งใส
รัฐกู้เงินเกินตัวใช้จ่ายไปกับโครงการต่างๆ เพียงเพื่อประกาศศักดาว่าได้สร้างโครงการใหญ่
โดยไม่คำนึงถึงความคุ้มค่า ไม่ได้สร้างโครงการเพื่อวางอนาคตทางระบบเศษฐกิจเพื่อสร้างผลกำไรให้รัฐในอนาคต
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันหลายทศวรรตผ่านมาหลายๆรัฐบาล ก็จะวนเวียนอยู่แค่ กู้เงิน-ใช้จ่ายงบ-กู้เงิน-ใช้จ่ายงบ วนไปแบบนี้
จนมียุคหนึ่งที่มีการกู้เงินเกินตัวมากๆ จนประเทศต้องอยู่ภายใต้ IMF
ทุกวันนี้ประเทศได้พ้น IMF มาหลายปีแล้ว
หากการบริหารของรัฐยังเป็นแบบเดิมอยู่ คือกู้มาใช้จ่าย วนไปแบบนี้
เมื่อรัฐต้องกู้จนไม่สามารถกู้ได้อีก จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้
ทุกวันนี้รายได้ประเทศมาจากภาษีเท่านั้น
ได้จากภาษีส่งออกส่วนหนึ่ง
ได้จากภาษีที่ประชาชนทั่วไปจ่ายของใช้อุปโภคบริโภค(vat7%)
ได้จากภาษีเงินเดือน ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% (เฉพาะคนทำงานบริษัทเท่านั้น)
ได้จากบริษัทเอกชน
เรียกได้ว่ารายได้ 100% ของประเทศ ได้จากบุคคลธรรมและเอกชนที่ไม่ได้รับเงินเดือนจากรัฐเท่านั้น
ส่วนคนที่รับเงินเดือนจากรัฐ ไม่ใช่กลุ่มคนที่ทำให้รัฐมีรายได้
สาเหตุเพราะข้าราชการรับเงินจากรัฐไป 100% แต่จ่ายภาษีคืนให้รัฐ 3% ซึ่งทำให้รัฐขาดทุนไปถึง 97%
หรือถ้าจับจ่ายซื้อของที่ต้องจ่าย vat 7% รัฐก็ยังขาดทุนจากคนเหล่านี้มากถึง 90%
การที่รัฐจะอยู่รอดได้ต้องพึ่งรายได้จากประชาชน พ่อค้าแม่ค้าทั่วไปที่จับจ่ายซื้อของที่จ่าย vat และภาคเอกชน ภาคส่งออกเท่านั้น
ถ้าหากรัฐไม่ปรับโครงสร้างลดจำนวนข้าราชการลง
อีกไม่กี่ปีประเทศของเราจะต้องล่มสลาย
รัฐจะใช้วิธีการบริหารประเทศแบบวนลูป กู้-ใช้จ่าย-กู้-ใช้จ่าย ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุด
รัฐจะไม่สามารถกู้เงินเพื่อใช้จ่ายได้อีก
เมื่อถึงจุดนั้นเงินบาทของประเทศเราจะล่มสลายในที่สุด
เมื่อถึงยุคนั้นคนที่มีเงินเดือน อาจใช้เงินเดือนทั้งเดือนเพื่อแลกอาหาร 1 มื้อ
การเป็นพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานเอกชน หรือพนักงานรัฐ จะไม่ใช่หนทางที่จะทำให้มีชีวิตรอดจากสถานการณ์เศษฐกิจแบบนั้น

2.ทฤษฏีแบบเผด็จการนิยม แบบเบ็ดเสร็จ
หากปล่อยให้มีการยึดอำนาจรัฐโดยให้อำนาจสูงสุดอยู่ในมือของคณะยึดอำนาจตลอดไป
รัฐอาจต้องยึด ปตท กลับมา ยึดทุกสัมปทานกลับมา ยึดดาวเทียม ยึดทุกสิ่งทุกอย่างมาให้หมด
เราก็จะได้มาทั้งหมด แต่ก็ต้องแลกมากับการถูกคว่ำบาตรจากทุกประเทศทั่วโลก
การกดดันต่างๆ ทางระบบเศษฐกิจ บริษัททั่วประเทศจะปิดตัวลง
รวมทั้งโรงงานต่างๆ ก็ต้องปิดตัว เพราะไม่รู้จะผลิตไปขายประเทศไหนเพราะถูกคว่ำบาตรแล้ว
เมื่อรัฐบาลอ่อนแอ ประชาชนไม่มีรายได้ รัฐไม่มีรายได้ และรัฐอ่อนแอทางเศษฐกิจเต็มที่
สหรัฐอเมริกาก็จะฉวยโอกาสนี้ใช้ข้ออ้างเพื่อก้าวก่ายและเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐเอง
ซึ่งอาจก่อสงครามในประเทศไทย โดยจะใช้ข้ออ้างต่างๆ ให้ดูดีหน่อย เช่น การยึดคืนสิ่งต่างๆ ที่รัฐบาลทหารไทยยึดไป
หรืออ้างว่าการกระทำของรัฐบาลทหารไทยทำให้ทุกประเทศทั่วโลกสูญเสียจึงเข้ามาปกป้องผลประโยชน์โลก
ถึงแม้มันจะเป็นเพียงข้ออ้าง แต่การเปิดช่องให้มีข้ออ้างแบบนี้ ก็คือการเปิดทางให้สหรัฐเข้ามายึดทรัพยากรต่างๆ ที่วางแผนไว้
การทำสงครามบนผืนแผ่นดินไทยครั้งนี้อาจเป็นสงครามยืดเยื้อไปอีกหลายทศวรรต
เพราะตราบใดที่มีสงครามก็จะสามารถตั้งฐานทัพในประเทศไทยได้
และเก็บเกี่ยวทรัพยากรในอ่าวไทย บ่อน้ำมัน บ่อแก๊ส เหมืองทองคำ เหมืองต่างๆ และ ทรัพยากรต่างๆ ในประเทศอีกมากมาย
จนกว่าประเทศไทยจะไม่หลงเหลือทรัพยากรแล้วสหรัฐจึงจะถอนทหารออกไปจากประเทศ
รัฐบาลทหารไทยอาจดึงจีนเข้ามายุ่งในประเทศ แต่ก็ต้องแลกด้วยผลประโยชน์มหาศาลที่จะให้รัฐบาลจีนสนใจ
จะดึงใครมาช่วย ก็ต้องสูญเสียไม่แพ้กัน เลือกทางไหนก็มีแต่แพ้กับแพ้
ต้องสูญเสียทรัพยากรทั้งประเทศให้ประเทศจีนไปเฉยๆ เพื่อจะมีอำนาจภายใต้อำนาจของประเทศจีนอีกทีหนึ่ง

หรือเผด็จการนิยม แบบกึ่งทุนนิยมคือ
ยึดอำนาจรัฐไว้ในมือเฉยๆ เพื่อกุมอำนาจการบริหารเอาไว้
ปล่อยให้ภาคเอกชนและอุตสาหกรรมต่างๆ และประชาชนดำเนินต่อไปปกติ
รัฐบาลบริหารโดยเน้นส่งเสริมภาคธุรกิจขนาดใหญ่
การส่งเสริมประชาชนระดับล่างเน้นแจกเอาใจเท่านั้น
ประชาชนก็ยังค้าขายไม่ดีเหมือนเดิม ประชาชนระดับล่างจะจนลงเรื่อยๆ
การไม่มีความสมดุลของสิ่งเหล่านี้จะทำให้ระบบเศรษฐกิจหยุดชะงัก
คือคนจนยิ่งจนลง คนรวยยิ่งรวยขึ้น
เพราะความไม่เท่าเทียมในสิทธิในการประกอบอาชีพที่ถูกกดทับไว้
ตายายเก็บเห็ดติดคุก รวมทั้งสิทธิพิเศษในทุนผูกขาดต่างๆ ที่ทุนใหญ่ทำได้ ประชาชนทำไม่ได้
เมื่อประชาชนหมดกำลังทรัพย์ไม่สามารถซื้อสินค้าใดๆ ได้
ภาคธุรกิจที่ต้องขายสินค้าอุปโภคบริโภคให้ประชาชนก็จะหยุดชะงักเช่นกัน
ภาคธุระกิจการค้าภายในประเทศจะล่มสลายเพราะประชาชนไม่มีกำลังซื้อ
ก็จะเหลือเฉพาะคนมีเงินเดือนเท่านั้นที่จะมีกำลังซื้อสินค้า และอนาคตคนมีเงินเดือนก็จะล่มสลายเช่นเดียวกัน
รัฐจะได้ vat 7% จากกำลังซื้อของพนักงานที่ไม่ได้รับเงินเดือนจากรัฐ
เนื่องจากข้าราชการที่รับเงินจากรัฐ 100% จ่ายภาษี 3% จับจ่ายใช้สอยจ่าย vat 7% ทำให้รัฐขาดทุนมากถึง 90%
รายได้จาก vat จะได้จากพนักงานเอกชนเท่านั้น
การค้าภาคประชาชนระดับล่างล่มสลาย เพราะไม่มีกำลังซื้อ ขายได้น้อยลงหลายเท่า
เมื่อเงินสะพัดลดลงหลายเท่า ก็จะเก็บ vat ได้น้อยลงมากๆ เช่นกัน
รัฐยิ่งเก็บภาษีได้น้อยลง ก็ต้องขูดรีดประชาชนมากขึ้น โดยคิดวิธีการเก็บภาษีใหม่ๆ ที่ไม่เคยเก็บมาก่อนในประวัติศาสตร์
และรัฐก็ต้องกู้เงินมากขึ้น เพื่อที่จะจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการ และโครงการของรัฐ
รัฐจะต้องกู้ไปเรื่อยๆ กู้มา-ใช้งบ-กู้มา-ใช้งบ วนลูปไปเรื่อย
กู้จนกระทั่งกู้ไม่ได้อีกต่อไป
ค่าเงินบาทของประเทศไทยเราจะล่มสลายลง
พนักงานทุกคนในประเทศจะต้องใช้เงินเดือนทั้งเดือนเพื่อแลกอาหารเพียง 1มื้อ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะล่มสลายในที่สุด

3.ทฤษฎีแบบ เสรีนิยม
ให้มีการจัดการเลือกตั้ง แล้วตั้งรัฐบาลที่ได้รับเลือกจากประชาชน
เข้าไปปรับโครงสร้างรัฐให้เล็กลง เพราะรายจ่ายรัฐที่เป็นเงินเดือนข้าราชการถือว่ามหาศาลมาก
โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหมที่ไม่จำเป็นบางส่วนออกไป
เพื่อให้คนเหล่านี้ออกไปทำงานต่างๆ ที่ไม่ใช่รับเงินเดือนจากรัฐ เพื่อให้รัฐได้กำไร ไม่ใช่ขาดทุน
ผลกำไรจากรัฐก็นำไปสนับสนุนคนชั้นล่างส่งโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้มีความสามารถในการสร้างรายได้ ให้โอกาสการสร้างงานได้ด้วยตนเอง
ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนทั่วไปมีกำลังซื้อมากขึ้น รัฐสามารถเก็บ vat ได้มหาศาลเพราะการหมุนเวียนทางเศษฐกิจคล่องตัว
ปลดล็อกกฎหมายต่างๆ ที่ไม่เอื้อให้ประชาชนทำกิน ตายายเก็บเห็ดป่าขายได้ไม่ต้องถูกจับติดคุก ประชาชนทำเบียร์โดยไม่ต้องผลิตมากถึง 10ล้านลิตรต่อปี ฯลฯ
ทรัพยากรธรรมชาติเป็นของประชาชนทุกคน
ซึ่งการจัดสรรทรัพยากรและใช้ทรัพยากรไม่ให้เกิดการทำลาย จำเป็นต้องใช้การกระจายอำนาจโดยชุมชนหรือให้คนในท้องถิ่นกำหนดกันเอง
ปลดล็อกสิ่งต่างๆ ที่ล็อคให้เฉพาะนายทุนใหญ่ได้ประโยชน์ แต่ประชาชนเล็กทำกลับผิดกฎหมายทิ้งไป
ประชาชนเล็กๆ จะมีอาชีพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อสินค้าราคาเกษตรด้วย
เนื่องจากไม่ต้องปลูกอะไรเหมือนๆ กัน ทางเลือกในการประกอบอาชีพต่างๆ จะมากขึ้น
คนเล็กๆ จะโตขึ้น นายทุนเล็กๆ จะค่อยๆ เกิดขึ้น และมีจำนวนมากขึ้น
ปลดล็อกธนาคารที่ผูกขาด ที่มีไม่กี่ธนาคาร ให้ธนาคารเกิดขึ้นง่ายๆ หลายๆ ธนาคารเพื่อเกิดการแข่งขัน
ดอกเบี้ยจะน้อยเพราะการแข่งขันของธนาคารเอง
ประชาชนเข้าถึงทุนได้ง่าย นักศึกษาจบใหม่ หรือคนไม่เคยมีเครดิตมาก่อนขอกู้ได้ง่าย
ทำให้เกิดงานใหม่ๆ ที่เป็นนายตัวเอง และเกิดการจ้างงานใหม่ๆ โดยอัตโนมัติ
รัฐสามารถเป็นภาษี vat ได้อย่างมหาศาล
เฉพาะภาษี vat ตัวเดียวในยุคนี้ อาจมากมายมหาศาลกว่า การเก็บสารพัดภาษีรวมกันที่เคยเก็บในอดีตอย่างมาก
เงินภาษีที่ได้มา รัฐนำมาลงทุนเพื่อหวังผลระยาวให้ประชาชนได้ประโยชน์ ส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น
แล้วรัฐจะมีงบประมาณเกินดุลต่อเนื่อง
ซึ่งจะทำให้เกิดรัฐสวัสดิการแบบทั่วถึง
และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐจะเกิดขึ้นและกระจายไปทั่วประเทศ
สภาพรัฐจากเคยเป็นลูกหนี้ ก็จะกลายเป็นเจ้าหนี้
พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ แทน

คนที่สามารถจะทำให้ประเทศก้าวหน้าได้มีอยู่ 2คน
คนหนึ่งคือคนที่เคยบริหารประเทศให้เกินดุลได้ครั้งแรกตั้งแต่เคยมีประเทศไทยมา
อีกคนหนึ่ง คืออนาคตใหม่ เป็นความหวังของคนรุ่นใหม่
แต่การเลือกคนเก่ามาบริหารก็คงยากที่ประเทศจะสงบ
และการเอารัฐบาลปัจจุบันมาบริหารต่อประเทศคงจะล่มจน

ผมพิจารณาดูแล้วมีเพียงคนเดียวจริงๆ ที่จะทำให้ประเทศนี้ก้าวหน้าได้จริงๆ
"อนาคตใหม่" จะเป็นใครก็ได้ที่มีอุดมการณ์และมองอนาคตเป็นแบบพรรคอนาคตใหม่
ที่บอกแบบนี้ไม่ใช่ไม่ชอบคุณธนาธร แต่เผื่อว่าคุณธนาธรถูกเล่นงานจนลงการเมืองไม่ได้
ผมจึงมองที่ Concept ในการจะบริหารประเทศเป็นหลักมากกว่าตัวบุคคล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่