หนาวนี้ที่ 'ดอยภูแว' ... ยอดดอยเสียดฟ้า เหนือสุดล้านนาตะวันออก

ทริปภูแวครั้งนี้ เป็นทริปของนักศึกษาปีสาม จากมหาลัยต่างๆ ที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่มัธยม โดยมี จขกท. เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดทริป ซึ่งเราทั้งหมดก็ไม่เคยไปสัมผัสที่นั่นมาก่อน แถมยังได้ยินชื่อภูแวมาจากไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เอ่ยปากชวนเพื่อนไปแล้ว จากการที่ผู้ร่วมทริปทั้งหมดเป็นคนน่านแต่กำเนิด เราก็เลยรู้จักอำเภอต่างๆ เป็นอย่างดี การเดินทางขาไประหว่างอำเภอจึงไม่ยากเย็นแต่อย่างไร
             เราออกเดินทางตอนเช้าวันที่ 24 ธันวาคม เวลา 07.40 น. ตามเวลาของรถสองแถวที่ออกจากขนส่งน่าน ไปลงที่ท่ารถอำเภอปัว จากนั้น เราก็ขึ้นรถสองแถวจากท่ารถปัวไปยังอำเภอบ่อเกลือ เมื่อเราไปถึงอำเภอบ่อเกลือ ก็จะมีรถที่เราโทรไปจองไว้ เพื่อที่จะนำทางเราไปยัง ที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา (สาขาบ้านด่าน) อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ปลายทางของเรา





         ระหว่างทางจาก อ.ปัวไปจนถึง บ้านด่าน อ.เฉลิมพระเกียรตินั้น มีแต่ขุนเขาที่รายล้อม บรรดาผู้ร่วมทริปที่จากบ้านเกิดไปเรียนที่กรุงเทพ ต่างก็ตื่นเต้นกับการที่เห็นภูเขาสลับซับซ้อนกันทุกคน
          และแล้วเราก็มาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา สาขาบ้านด่าน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ตอนเวลาประมาณเที่ยงตรง ซึ่งการเดินทางมาที่ทำการอุทยานนั้น เจ้าหน้าที่อุทยานจะย้ำไม่ให้เราไปหลังเที่ยง เพราะอาจจะเดินขึ้นบนยอดดอยภูแวไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน เราชาวทริปก็ต่างตื่นเต้นดีใจ มาถึงกันแล้วววว แต่หารู้ไม่... มันมีอะไรที่มากกว่านั้นนนนน



        การจะขึ้นไปบนยอดดอยภูแวนั้น ทางที่ดีต้องอาศัยเจ้าหน้าที่อุทยานในการนำทางเราในการเดินป่าเข้าไป เพราะถ้าหากไปเองอาจจะหลงทาง เราจึงโทรไปจองเจ้าหน้าที่ก่อนเพื่อไม่ให้พลาดทริป โดยต้องโทรไปที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคาเสียก่อน และที่คือ โฉมหน้าเจ้าหน้าที่ของเราค่ะ เจ้าหน้าที่อุทยานชื่อ ลุงพงศ์ กับ ลุงปั๋น (คนขวามือ)  ลุงทั้งสองใจดีมากกกกก ช่วยเราแบกเต็นท์ แบกสัมภาระ และนำทางจนถึงภูแว



            ตอนแรกที่เรามาถึงอุทยาน ลุงปั๋นถามเราว่า หนูจะเอาลูกหาบด้วยไหม ยอดดอยมันสูงนะ เราชาวทริปตอบไปอย่างมั่นอกมั่นใจว่า ไม่เอาค่า แค่นี้เอง เราแบกได้ สบ๊ายยยยยย 8 กิโลเมตรเองลุง ยังไหววว  .... แต่ที่ไหนได้ เดินขึ้นทางขึ้น ยังไม่ถึง 300 เมตร ... ลุงคะ หนูขอพักก่อน ลุงเอาลูกหาบตอนนี้ทันไหม ไม่ไหวแล้ว T^T  แล้วเราก็ได้ ลุงพงศ์ (คนซ้ายมือ) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานขึ้นมาช่วยหาบค่ะ  คำเตือน !!! จะขึ้นดอยนี้ เอาของไปนิดเดียวพอค่ะ เชื่อเราาาา
             

ถ่ายรูปกับทางขึ้นภูแวซักหน่อย...


              เราเดินลัดเขาไปเรื่อยๆ จากอุทยานไปถึงหมู่บ้านปู่ดู่ค่ะ ซึ่งที่จริงแล้วรถยนต์สามารถขับขึ้นไปถึงหมู่บ้านปู่ดู่ได้ แต่เราไม่รู้ เราเดินนน.... และตลอดการเดิน บรรดาเพื่อนๆ ก็จะบ่นกันว่า ทำไมระยะทาง 3 กิโลที่เดินมามันไกลมากกกก จากปู่ดู่ถึงยอดดอยอีก 4 กิโลจะไกลขนาดไหน ทำไมภูแวมันไกลขนาดนี้หา




              สังเกตได้ว่า ถนนที่เข้าสู่หมู่บ้านเป็นถนนลูกรังนะคะ ใครแพ้ฝุ่น พกหน้ากากติดไว้เลย จขกท.ลืมพกไปน้ำมูกไหลตั้งแต่หมู่บ้านจนถึงบนยอดดอยเลย ฝุ่นเยอะมากจริงๆค่ะ ชาวบ้านขับมอเตอร์ไซผ่านทีนึง แทบจะกลายร่างเป็นฝรั่ง หัวแดงไปหมด... พอเดินเลยหมู่บ้านปู่ดู่ไป ก็จะเป็นไร่ข้าวโพดที่ครอบคลุมทั้งภูเขาค่ะ





               พอผ่านไร่ข้าวโพด ก็เจอป่าดิบชื้น เจอพืชป่านานาพันธุ์ แต่ถามว่า เราได้มองวิวทิวทัศน์ไหม ตอบเลยว่า ไม่ค่ะ เรามองแต่ทางอย่างเดียว เพราะทางขึ้นเขาสูง ชันและลื่นมาก เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง จุดเติมน้ำจุดสุดท้าย น้ำที่ว่าคือ น้ำที่ออกมาจากพื้นดิน เหมือนน้ำบ่อ น้ำออกรู อยู่ห่างจากเส้นทางที่เราเดิน ประมาณ 500 เมตร โดยลุงปั๋นเป็นคนเดินไปตักให้ค่ะ เพราะข้างบนดอยไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ต้องกินอย่างประหยัด



              สภาพชาวทริปยังแข็งแรงดีทุกคน ฮี่ๆ  (กัดฟันพูด) พอมาถึงตรงนี้ ลุงปั๋นกับลุงพงศ์ก็บอกเราแล้วค่ะ ว่าเราคงไปไม่ทันดู พระอาทิตย์ตกดิน เพราะว่ามันสี่โมงแล้ว เหลือทางขึ้นเขาขึ้นดอยอีกประมาณ 2 ลูกกว่าจะถึงทางขึ้น เราก็เลยพูดกันว่า ไม่เป็นไรค่ะลุง ขอให้มันถึงเถอะ ไปไม่ทันไม่เป็นไร หนูจะตายแล้วค่าาา
              และภาพต่อไปนี้ ก็คือ ภาพที่เก็บได้ระหว่างทางค่ะ ยิ้ม







              หยุดพักระหว่างทาง... พอร่างกายเหนื่อยมากๆ แล้วเจอวิวแบบนี้ หายเหนื่อยไป 5 นาทีเลย จขกท.ลุงพงศ์ กับเพื่อนอีก 3 คน อยู่รั้งท้าย เพราะมีเพื่อนร่วมทริปที่ตะคริวกินทั้งขา ทั้งแขนอยู่ เลยต้องหยุดพักเป็นช่วงๆ  แต่เพื่อนอีก 3 คนและลุงปั๋น ล่วงหน้าไปจนถึงยอดดอยแล้ว ตอนนั้นเวลาประมาณ 6 โมงกว่า เราถึงตีนดอยภูแวแล้ว เหลือแต่เดินขึ้นไปที่จุดกางเต๊นท์ พอได้ยินเสียงเพื่อนตะโกน วู้วๆ ก็คิดในใจ เมื่อไหร่จะถึงซักที เราก็มีแรงฮึบกันอีกครั้ง จนในที่สุดก็ถึงจุดกางเต็นท์ ภาพแรกที่เห็นก็คือ



              กล้องถ่ายออกมายังไงก็ไม่เท่าภาพจริงที่ได้เห็น... มันสวยมาก สวยจนแบบบรรยายไม่ถูก สวยจนคิดว่า สวยที่สุดแล้วเท่าที่เคยเห็นมา ที่เหนื่อยที่ท้อมาทั้งหมด ลงอยู่ที่นี่หมดเลยค่ะ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เราไม่ทันขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดดอยภูแว เพราะมันมืดเกินไป และทางเดินก็มีแต่หิน ซึ่งลุงๆ ก็กลัวพวกเราเป็นอันตรายด้วย ก็เลยต้องกางเต็นท์และก่อกองไฟเพื่อคลายความหนาวกันอยู่ข้างล่าง


นี่คือ อาหารค่ำของพวกเราค่ะ มีของว่าง เป็น มันเผา กินตอนหนาวๆ อร่อย อย่าบอกใคร


              คืนนั้นดาวเต็มฟ้าเลยค่ะ แต่พวกเราไม่ได้พวก DSLR ไปซักคน ก็เลยเก็บภาพที่เห็นไว้แค่ในความรู้สึก พอยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว ลดลงจาก 10 กลายเป็น 9 8 ไปเรื่อยๆ จนทนไม่ไหว ต้องไปซุกตัวในเต็นท์เพื่อคลายหนาวกันหน่อย
คืนนั้นพวกเรานอนไม่หลับกัน เพราะหนาวมาก เสียงลมปะทะเต็นท์ดังอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งตี 5 ลุงทั้งสอง ก็มาปลุกเราเพื่อเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่บนยอดดอยภูแว... เดินขึ้นดอยอีกแล้ว ไม่เดินได้ไหมมมม


เห็นยอดนั้นไหม... นั้นแหละ ยอดนั้นแหละ ยอดภูแว
จะไม่ขึ้นก็ไม่ได้แล้ว มาถึงทั้งที ไม่ให้เดินขึ้นไป มันจะถึงได้ไง เดินนนนนน

ถึงยอดดอยแล้ว !!!



พระอาทิตย์ขึ้นแล้วค่ะ...



เอ้า... ถ่ายรูปหมู่หน่อย


เราอยู่บนนั้น จนถึงประมาณ 8 โมง แล้วก็ลงจากยอดดอยไปที่จุดกางเต็นท์ค่ะ เห็นทางลงนั้นไหม...


                 เมื่อเราทานอาหารเช้าเรียบร้อยกันแล้ว เราก็เก็บของ เก็บเต็นท์ เตรียมตัวที่จะเดินทางลงข้างล่าง ชาวทริปออกเดินทางเวลา 09.30 น. โดยประมาณ เราเดินลงมาเรื่อยๆ และรู้สึกว่า ตอนลงทำไมมันเร็วแบบนี้ ต่างจากตอนขึ้นลิบลับเลยค่ะ แต่ว่า ทางที่เดินลงนั้น เป็นทางหินและลูกรัง มีจุดที่อันตรายอยู่บ้าง ต้องระวังให้ดีนะคะ อีกอย่างหนึ่งคือ ควรเตรียมรองเท้าแตะไว้สำหรับใส่ตอนลงด้วย ชาวทริปใส่รองเท้าผ้าใบ ปวดเท้ากันระนาว ต้องใช้ไม้เท้าเป็นตัวช่วยเกือบทุกคนเลย...


             ขากลับลงมา ทำให้มีเวลาสนใจกับธรรมชาติข้างทางมากขึ้น ลุงปั๋นกับลุงพงศ์ก็พาเราไปดูต้นปาล์มที่โค้งลงมากับพื้น
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ค่ะ ใครไม่ได้มาถ่ายรูปด้วย ถือว่ามาไม่ถึงภูแว ฮ่าๆ


หนทางข้างหน้า ยังยาวไกล... ข้ามดอยนี้ไป ก็ถึงจุดแวะเติมน้ำแล้วค่ะ
เพื่อนร่วมทริป บอกว่า ขาลงกินน้ำมากกว่าขาขึ้นเสียอีก และแล้วในที่สุดเราก็กลับลงมาถึงที่ทำการอุทยานได้อย่างปลอดภัยทุกคน




.
                 ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคนที่ทำให้ฝันของ จขกท. เป็นจริง ที่เหนื่อย ที่ท้อ ที่เกือบถอดใจไปเมื่อขาขึ้นนั้น ได้หายไปหมดเลย ยังคิดอยู่เสมอว่า... เราทำได้จริงๆเหรอ เราไปถึงแล้วจริงๆใช่ไหม ขอบคุณธรรมชาติที่ยังคงรักษายอดดอยสวยๆนี้ไว้ พวกเราหวังว่าทุนนิยมจะไม่มาทำลายธรรมชาติของเมืองน่าน และชาวน่านก็จะยังรักษามันไว้ให้คงอยู่ต่อไป ขอบคุณทุกท่านที่อ่านรีวิวจนจบ หวังว่า รีวิวนี้ จะเป็นอีกหนึ่งรีวิว ที่ทำให้นักผจญภัยอยากไป...ภูแว




                 ปล. ขากลับ รถประจำทางหมด เลยจำเป็นต้องโบกรถกลับเข้าในตัวเมือง เราทุกคนขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทุกคน ที่จอดรับพวกเรา จอดถามพวกเราว่าจะไปไหน และที่สำคัญ ขอบคุณพี่พนักงานปั้มน้ำมัน ปตท. สาขา ท่าวังผา ที่ช่วยถามรถที่มาเติมน้ำมันว่า เข้าตัวเมืองไหม ถ้าไม่ได้พี่ พวกหนูคงระหกระเหินอยู่ที่ท่าวังผาแน่นอนค่ะ สุดท้ายอยากจะบอกว่า คนน่านน้ำใจงามทุกคน  จขกท.ลาด้วยรูปพระอาทิตย์ตกดินที่ อ.ปัว สวัสดีค่ะ ยิ้ม

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่