อ่านกี่ครั้งก็ยังตรงใจ ลีกวนยู พูดถึง ประเทศไทยในหนังสือที่ชื่อ "One Man's View of the World"

อดีตผู้นำสิงค์โปร์ ลีกวนยู ชี้ทักษิณ ชินวัตร พลิกโฉมการเมืองไทย ปลุกผู้คนตระหนักถึงอำนาจผูกขาดทรัพยากรของชนชั้นนำกรุงเทพ ถมช่องว่างคนรวย-คนจน ยกฐานะคนชั้นล่างเป็นคนชั้นกลาง

ในหนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งออกวางตลาดเมื่อเร็วๆนี้ ชื่อ "One Man's View of the World" อดีตนายกรัฐมนตรีเจ้าของสมยานาม "บิดาแห่งสิงค์โปร์สมัยใหม่" ลีกวนยู ได้แสดงทัศนะต่อความเป็นไปในโลกในหลายแง่มุม ในตอนหนึ่ง เขาได้กล่าวถึงอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ในบทที่ชื่อ "Thailand : An Underclass Stirs"

ในบทความซึ่งเรียบเรียงจากคำให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ The Strait Times ดังกล่าว ลีเริ่มต้นด้วยการชี้ว่า การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของทักษิณได้พลิกโฉมการเมืองไทยไปอย่างถาวร ก่อนยุคทักษิณนั้น การประชันขันแข่งทางการเมืองจำกัดอยู่ในหมู่ชนชั้นนำกรุงเทพ และปกครองเพื่อผลประโยชน์ของนายทุนชาติ แต่ทักษิณได้เข้าไปเปลี่ยนสถานะเดิม ด้วยการผันทรัพยากรที่ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางกรุงเทพเคยตักตวงให้ไปสู่คนยากนจน ทำให้ชาวนาในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ลีบอกในหนังสือซึ่งจัดพิมพ์โดย Strait Times Press เล่มนี้ว่า ก่อนหน้ายุคทักษิณ นโยบายเน้นความเติบโตของกรุงเทพของรัฐบาลต่างๆก่อนหน้าเขา ได้ทำให้เกิดช่องว่าง ทักษิณได้ทำให้ประชาชนตื่นรู้ถึงช่องว่างนี้ และความไม่เป็นธรรมของนโยบายดังกล่าว แล้วเสนอนโยบายที่จะถมช่องว่างนี้เสีย นโยบายของทักษิณได้มุ่งให้ประโยชน์แก่คนยากจนในชนบทอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อาทิ กองทุนหมู่บ้าน, ทุนเรียนต่างประเทศสำหรับนักเรียนจากชนบท, บ้านเอื้ออาทร, และ 30 บาทรักษาทุกโรค

ฝ่ายที่ต่อต้านทักษิณมองว่า เขาได้สร้างความฉิUHายแก่ประเทศ ซึ่งไม่อาจยอมได้ คนเหล่านั้นบอกว่า เขาเป็นนักประชานิยม นโยบายของเขาจะทำให้ประเทศล้มละลาย แต่เมื่อคนพวกนั้นขึ้นครองอำนาจจากเดือนธันวาคม 2551 ถึงเดือนสิงหาคม 2554 พวกเขาก็ยังคงดำเนินนโยบายเหล่านี้ต่อไป คนพวกนี้กล่าวหาทักษิณว่า คอรัปชั่น ทำเพื่อธุรกิจของครอบครัว ไม่ชอบบริษัทของเขา โจมตีว่าเขาแทรกแซงสื่อ และไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามยาเสพติดและการแก้ปัญหาภาคใต้ ซึ่งมองข้ามสิทธิมนุษยชน แม้กระนั้น บรรดาชาวนาซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาลยังคงเลือกเขาในปี 2548 แต่ท้ายที่สุด ชนชั้นนำกรุงเทพไม่อาจทนรับชายผู้นี้ได้ ทักษิณได้ถูกยึดอำนาจในการรัฐประหารในปี 2549

นับแต่นั้น เมืองหลวงของประเทศไทยได้เผชิญความโกลาหล มีการประท้วงของมวลชนเสื้อเหลืองซึ่งต่อต้านทักษิณในนามของการปกป้องสถาบันกษัตริย์ และการประท้วงของคนเสื้อแดงซึ่งสนับสนุนทักษิณ แต่ทว่าการเลือกตั้งครั้งหลังสุดเมื่อปี 2554 ได้ส่งน้องสาวของเขา ยิ่งลักษณ์ ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้ออกเสียงเลือกตั้งได้เลือกวิถีทางใหม่ที่ทักษิณได้เลือกให้แก่ประเทศไทย ชาวนาในภภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งได้ลิ้มรสชาติของการเข้าถึงแหล่งทุน จะไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป จนถึงขณะนี้ ทักษิณและพันธมิตรของเขาได้ชนะเลือกตั้งมาแล้ว 5 ครั้งซ้อน ความพยายามของฝ่ายต่อต้านทักษิณนับว่าไร้ผล

แม้สังคมไทยได้เกิดความปั่นป่วน แต่มีแนวโน้มสดใสในระยะยาว คนเสื้อแดงจะยังคงมีมากกว่าคนเสื้อเหลืองไปอีกยาวนาน
ลียังได้กล่าวถึงกองทัพไทยด้วยว่า มีบทบาทนำในการเมืองไทยมาช้านาน  กองทัพไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว กองทัพไม่อาจต้านทานเจตจำนงของผู้เลือกตั้งได้อย่างยืดเยื้อยาวนาน

อดีตผู้นำสิงค์โปร์กล่าวต่อไปว่า พวกผู้นำเหล่าทัพจะยังคงยืนกรานรักษาอภิสิทธิ์ต่างๆ และจะไม่ยอมถูกลดสถานะเป็นเพียงกองทัพธรรมดา อย่างไรก็ดี พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับรัฐบาลที่เป็นพันธมิตรของทักษิณ และเป็นไปได้ว่า ในท้ายที่สุด กองทัพจะยอมรับการกลับสู่ประเทศไทยของทักษิณ หากเขาให้คำมั่นสัญญาที่จะไม่แก้แค้น

ลีกล่าวในที่สุดว่า ประเทศไทยไม่มีวันหวนกลับสู่การเมืองแบบเก่าแล้ว ซึ่งเป็นการเมืองที่ชนชั้นนำกรุงเทพผูกขาดอำนาจ ประเทศไทยจะก้าวเดินต่อไปตามแนวทางที่ทักษิณได้ขับเคลื่อนไว้ ช่องว่างในมาตรฐานการครองชีพของผู้คนทั้งประเทศจะหดแคบลง ชาวนาจำนวนมากจะได้รับการยกระดับเป็นชนชั้นกลาง และจะช่วยหนุนส่งการบริโภคภายในประเทศ ประเทศไทยจะมีอนาคตสดใส.
                                                                                      ( @ Voice TV )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่