[CR] SOLO Girl Traveler:: WWOOFing Experience Yamanashi Japan



ฉันไป WWOOF ที่ญี่ปุ่นมาค่ะ
หืมม??


ว่าแต่ว่า WWOOF มันคืออะไรล่ะ?
-อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ WWOOF ก็คือโครงการหนึ่งที่ให้ที่พักและอาหารกับเราในต่างแดน
แลกกับการที่เราทำงานตอบแทนเจ้าของบ้าน ซึ่งลักษณะงานที่ทำก็จะมีหลายรูปแบบ
ขึ้นอยู่กับอาชีพและเมืองที่โฮสของเราอาศัยอยู่ ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นงานในฟาร์ม ในไร่
หรือร้านอาหารออแกนิกส์ แต่งานอื่นๆ เช่นงานสอนภาษาอังกฤษหรืองานใน Guesthouse
ก็พอมีให้เลือกอยู่บ้างเหมือนกัน

**ข้อมูล WWOOF ที่ญี่ปุ่น สามารถหาเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ www.wwoofjapan.com



ทำไมฉันถึงอยากไป WWOOF?
-นอกจากการได้ที่พักและอาหารฟรี (มีแค่ค่าธรรมเนียมรายปีประมาณ 1700 บาท)
ซึ่งเหมือนจะเป็นเหตุผลหลักของฉัน?? แต่จริงๆ แล้วเหตุผลที่ฉันอยากไป WWOOF ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น
ข้อดีอีกอย่างของการไป WWOOF ก็คือการที่เราได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
ไปดูว่าเค้ากินอยู่อย่างไร ทำงานอะไร ที่สำคัญคือเค้าใช้ชีวิตกันอย่างไร
อะไรที่ทำให้คนญี่ปุ่นแตกต่างจากชาติอื่นๆ มากขนาดนี้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันไปญี่ปุ่น (และหวังว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย) ทุกครั้งที่ผ่านมาฉันได้แต่มองญี่ปุ่น
ผ่านมุมมองในฐานะของนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง แม้ว่าฉันจะไม่เคยเบื่อกับการท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นเลย
แต่การไป WWOOF ในครั้งนี้ก็เป็นการเปิดมุมมองอีกมุมหนึ่งที่ต่างออกไปให้กับฉัน

ต่อไปนี้จะเป็นบันทึกประสบการณ์ WWOOF ระยะสั้นของฉัน ยิ้ม)

_____________________________________________________________________

8 NOV 2014, Narita Airport
It is good to have an end to journey toward but it is the journey that matters, in the end -Emest Hemingway

ไม่อยากจะเชื่อว่าการมาเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 5 ของฉัน
ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เหมือนเคย
ฉันโดนถามอยู่เสมอว่า "ทำไมถึงไปญี่ปุ่นบ่อย" บ้างก็ว่า "ไปญี่ปุ่นอีกแล้ว ไม่เบื่อบ้างหรอ"
คำตอบก็มักจะต่างกันออกไปในแต่ละครั้ง
แต่หากไม่ลองมาเอง ก็คงไม่มีวันรู้คำตอบที่แท้จริงหรอกเนอะ

ฉันเชื่อว่าการเดินทางแต่ละครั้งนั้นไม่มีทางเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าจุดมุ่งหมายปลายทางจะเป็นที่เดียวกัน
แต่ฉันว่าเรื่องราวระหว่างทางต่างหากล่ะที่จะทำให้ใจของเราเต้นรัว
ไม่ว่าจะเพราะการได้เจออะไรที่ดี อะไรที่ประทับใจ
หรือเพราะลุ้นระทึกเวลาเกือบจะพลาดรถไฟก็เถอะ
ซึ่งฉันว่ามันก็เป็นสเน่ห์ของการเดินทางดีนะ

แต่ละครั้งที่มาญี่ปุ่น ฉันได้พบเจอกับคนหลากหลายแบบ
หลายคนที่ได้แค่เจอแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้กลับมาเจอกันอีก
แต่บางคนก็กลายมาเป็นเพื่อนที่ฉันยังติดต่อจนถึงทุกวันนี้
ฉันว่ามันก็คุ้มค่านะ ที่ได้มิตรภาพดีๆ มาโดยที่ไม่ได้คาดหวัง ยิ้ม

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าครั้งนี้ฉันไม่ได้มาเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่ฉันมา WWOOF ด้วย
ซึ่งอันที่จริงฉันวางแผนจะไป WWOOF ที่เมือง Yufuin ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น
Yufuin เป็นเมืองที่ฉันเคยไปมาแล้วและประทับใจในธรรมชาติอันสวยงามของเมืองมาก
ฉันคิดว่าฉันคงอยู่ Yufuin ได้นานโดยไม่เบื่อไปเสียก่อน เพราะมีครบทั้งธรรมชาติ
และเต็มไปด้วยร้านขายของ Zakka ที่ฉันเห็นเป็นไม่ได้ อย่างน้อยต้องขอแวะดูสักหน่อย
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการหอบกลับบ้านเป็นกอบเป็นกำ พร้อมกับเงินที่หายไปจากกระเป๋า T_T

แต่แล้ววันหนึ่ง ฉันก็ได้รับข่าวจาก page นิตยสาร WAttention ใน Facebook
ให้เขียนความประทับใจที่มีต่อนิตยสาร และผู้ชนะจะได้รับรางวัลเป็นตั๋วเครื่องบิน
จาก ThaiAirasiaX กรุงเทพ-โตเกียว จำนวน 1 ที่นั่ง ฉันก็เลยลองเขียนไปดู กะว่าถ้าได้ก็คงดีเนอะ
จะได้ประหยัดค่าตั๋วไปได้อีก และสุดท้ายยยยย ฉันก็ได้รางวัลนั้นมาจริงๆ !!!
สุดท้ายฉันก็เลยต้องมา WWOOF ในเมืองใกล้ๆ Tokyo แทนค่ะ

ด้วยเหตุที่ว่าฉันมีปิดเทอมแค่ 9 วันเท่านั้น การมา WWOOF ครั้งนี้ของฉันจึงเป็นแค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น
คือ WWOOF 4 วัน และอยู่เที่ยว Tokyo ต่ออีก 4 วัน ฉันอยากจะอยู่ให้นานกว่านี้
แต่ก็ไม่สามารถขาดเรียนได้จริงๆ  เลยต้องเก็บเกี่ยวเวลา 9 วันนี้ให้ได้มากที่สุด
แล้วปิดเทอมหน้าค่อยไป WWOOF ที่ Yufuin ตามที่วางแผนไว้ตอนแรก

Host คนแรกของฉันอยู่ที่เมือง Yamanashi
พูดถึงเมืองนี้หลายคนอาจจะทำหน้างง แต่ถ้าบอกว่าเป็นเมืองเดียวกับที่ภูเขาไฟฟูจิตั้งอยู่
คงจะร้องอ๋อกันบ้างแล้วใช่ไหมคะ ฉันติดต่อกับ Host ผ่านทางเว็บวูฟเจแปนดอทคอมและทาง Facebook
ซึ่งหมายความว่า Host รับรู้แล้วว่าฉันจะมาถึงวันนี้ จากที่คุยกันไว้ก็คือพอถึงสถานี Kai-yamato
ให้ฉันมองหาโทรศัพท์สีเขียวที่อยู่ทางด้านขวาของสถานี และโทรเรียกให้ Host มารับได้เลย
จาก Narita Airport มาถึง Kai-yamato station ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถือว่าไม่ไกลนัก



ด้วยความที่ฉันต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟตอนถึงสถานี Otsuki ฉันก็เลยนึกไปว่าต้องข้ามไปอีกฝั่ง
ซึ่งไม่มีลิฟท์และบันไดเลื่อนให้ใช้ โอ้มายก้อด ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สำหรับสถานีห่างไกลตัวเมือง
ฉันเลยต้องสวมวิญญาณหญิงแกร่ง ฮึบบบ ยกกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ หนัก 16 กิโล ขึ้นบันไดข้ามไปอีกฝั่ง
พร้อมกับความจริงว่ามันไม่ต้องเปลี่ยนฝั่ง แค่ลงจากรถไฟและรอรถไฟขบวนถัดไปเท่านั้นเอง....

ฉันก็เลย.. ฮึบบบ (สวมวิญญาณหญิงถึกอีกครั้ง)

เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟสักระยะหนึ่ง ในที่สุดฉันก็มาถึงสถานี Kai-yamayo
สิ่งแรกที่มองหาก็คือโทรศัพท์สีเขียว ว่าแต่ว่า ไหนล่ะ???
อ้ออ! เจอแล้วอยู่ถัดออกไปนั่นเอง



Host ที่เป็นผู้ชายเป็นคนรับสายและบอกกับฉันว่าตอนนี้กำลังติดลูกค้า แต่อีกไม่เกิน 10 นาทีจะมารับ
ฉันเลยใช้เวลานี้เดินเล่นรอบสถานี แค่รอบๆ นี้ฉันก็รู้สึกว่ามันสวยแล้วนะ
ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดง ส้ม เหลือง ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกว่าญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง
ถึงแม้ว่ายังพอเหลือใบสีเขียวอยู่บ้างก็ตาม









หลังจากเดินวนๆ รอบสถานีอยู่พักใหญ่ รถคันหนึ่งก็ผ่านมา...
อ้าววว ไม่ใช่ Host ฮ่า!
แต่ว่าอีกไม่กี่นาที Host ตัวจริง (?) ก็ขับรถมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
พร้อมกับช่วยฉันยกกระเป๋าขึ้นรถ แล้วเราก็มุ่งตรงสู่ Daikokuya Sangam cafe
ที่ซึ่งจะกลายเป็นที่ทำงาน ที่กินข้าว และที่นอนของฉันไปอีก 4 วัน

ต่อไปนี้ฉันจะเรียก Host ผู้ชายว่า Papa และ Host ผู้หญิงว่า Mama
ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่ทั้งสองบอกให้ฉันเรียก และเพื่อกันความสับสน

ก่อนจะถึง cafe จะมีป้ายเล็กๆ น่ารัก บอกทางไปร้านอยู่หลายป้าย
เหมือนกับจะบอกว่าร้านเราอยู่ตรงนี้นะ ตามมาสิ
ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะแชะภาพเก็บเอาไว้









และแล้ววว เราก็ถึงร้าน หน้าร้านน่ารักมาก ชอบอีกแล้ว





เปิดประตูปั๊บ ฉันก็เจอใครก็ไม่รู้ยืนอยู่กลางร้าน
ดูยังไงก็ไม่น่าใช่ Mama แฮะ สงสัยว่าจะเป็นลูกค้าของร้าน
Papa เลยขอตัวไปรับ order ก่อน  แต่เพียงแป๊บเดียวก็กลับมาช่วยฉันยกกระเป๋าไปยังห้องนอน
ฉันได้ห้องขนาดค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับห้องในโรงแรมที่ญี่ปุ่น
ภายในห้องมีอุปกรณ์ครบครัน แม้จะมีฝุ่นอยู่บ้าง แต่ฉันก็ชอบห้องนี้ไปแล้วล่ะ ยิ้ม

วันนี้ Papa แลดูหัวหมุน ยุ่งไปหมด เพราะลูกค้ามากันค่อนข้างเยอะทีเดียว
(ถ้าเทียบกับบางวันที่ฉันอยู่ ลูกค้ามากันแค่ 2 โต๊ะเท่านั้นเอง)

ฉันไม่รู้จะทำตัวยังไง เหมือนได้แต่มองดู Papa ทำงาน เลยอาสาจะช่วย ทั้งที่ไม่รู้จะช่วยยังไง
เพราะ Papa ยังไม่ได้สอนงานเลย Papa ก็เลยบอกให้ฉันนั่งพัก ทำตัวตามสบายนะ
เดี๋ยวชุดสวยๆ ที่ใส่มาจะเลอะเปล่าๆ นะ ไม่เป็นไร เดี๋ยว Papa ทำเองเร็วกว่า 55555
Papa ถามว่าฉันชอบกินกาแฟไหม แล้วก็จัดแจงชงกาแฟให้ฉัน จากนั้นก็กลับไปทำงานต่อ







Papa ถามว่าฉันหิวไหม ฉันตอบเลยว่ามากกกกกกกก เค้าล้อเล่น
พอลูกค้าเริ่มซาลง Papa ก็ไปหยิบชุดกันเปื้อนมาใส่ให้ฉัน
เนื่องจากชุดมันต้องผูกเชือกจากด้านหลัง Papa ถือเลยชุดให้ฉันสอดแขนเข้าไป
พร้อมกับผูกเชือกให้ Papa บอกว่าฉันเหมือนเด็กน้อยเลยเนอะ เหมือนพ่อใส่ให้ลูกเลย
เอ แล้วฉันควรจะดีใจไหมนะ ฮ่าา เมื่อชุดพร้อมแล้วเราก็เลยไปเก็บโต๊ะและล้างจานกัน



ในที่สุดลูกค้าก็กลับไปหมด Papa ถามว่าฉันจะกินอะไรดี
ระหว่างแกงกะหรี่ไก่กับแกงกะหรี่ผัก แน่นอนว่าฉันต้องเลือกไก่!!
นาทีนี้ต้องกินเนื้อสัตว์เท่านั้น หิวจ้าา
ฉันคิดว่าล้างจานเสร็จค่อยไปกินละกัน แต่ Papa บอกว่าเอาไว้ก่อนเถอะ ฉันหิวมว้ากกนี่นา

เพียงครู่เดียว ข้างแกงกะหรี่ไก่ก็ยกมาเสิร์ฟตรงหน้า พร้อมกับสลัดผัก



Papa บอกว่าทำแบบพิเศษเพื่อเราเลยนะ ปกติที่ทำขายน่ะมันรสของเด็กๆ
แต่อันนี้น่ะเวรี่สไปซี่!! ยัง ยังไม่พอ Papa เอาพริกป่นมาให้ฉันเติมอีก
แหมม รู้ใจคนไทยดีจัง แต่ฉันว่าไม่เติมพริกป่นรสชาติก็จัดจ้านดีแล้วนะ
Papa บอกว่าถ้าอิ่มแล้ว จะทำขนมหวานให้กิน เป็นแบบเดียวกับที่เสิร์ฟลูกค้าเลย (ว้าวว)
ของหวานเป็นผลไม้ตามฤดูกาลราดด้วยโยเกิร์ต วิปครีม และช็อคโกแลต
อร่อยจัง ^__^



ท้องก็อิ่มแล้ว ฉันเลยจะกลับไปช่วย Papa ล้างจานต่อ แต่ Papa กลับบอกว่าไว้ก่อนเถอะ
ฉันพึ่งมาจากสนามบินไม่ใช่หรือ ได้นอนหรือยัง ไปนอนพักก่อนเถอะ ด้วยความที่ฉันก็ง่วงจริงๆ
เลยขอตัวไปนอนพักก่อน แล้วฉันก็หลับสนิทท คร่อกก..

ตอนเย็นฉันก็ได้เจอ Mama สักที Mama เข้ามาอธิบายเรื่องต่างๆ ในบ้านให้ฉันฟัง
แล้วน้องหมาของโฮส ชื่อว่าโบตั๋น (Botan) ก็โผล่เข้ามาในห้องฉัน
โฮสบอกว่าโบตั๋นอายุ 9 ปีแล้ว นางดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่
แต่เอาเข้าจริงก็มาขลุกอยู่ห้องฉันไม่ยอมไปไหน


พอฉันตื่นก็เลยจะกลับไปช่วย Papa ล้างจานต่อ Papa ยังคงถามฉันว่าโอเคแล้วใช่ไหม
(ใจดีจังเลย) แล้วฉันกับ Papa ก็ช่วยกันล้างจาน สองคนช่วยกันเลยเสร็จอย่างรวดเร็ว
Papa ถามว่าตะกี้ได้นอนไหม เหนื่อยล่ะสิ พอล้างจานเสร็จ Papa ก็บอกว่าถึงเวลาพักก (ห้ะ? อีกแล้วรึ)
และบอกว่าอาหารเย็นเสร็จแล้วจะไปเรียกนะ สรุปว่าวันนี้งานของฉันก็มีแค่ล้างจานเท่านั้นเอง

อาหารเย็นวันนี้เป็นข้าวกับแฮมเบิร์กและมันฝรั่ง อร่อยมากกก ปลื้มม



หลังอาหารเย็น ฉันก็ไปทำหน้าที่หนึ่งเดียวของวันนี้ ก็คือล้างจาน
Papa บอกว่าวันนี้มีแขกมาพัก เนื่องจากห้องน้ำมีเพียงห้องเดียว คงไม่สะดวกถ้าฉันจะอาบน้ำ
ฉันเลยกลับห้องนอน และสลบเหมือด นอนพักเอาแรง ก่อนจะตื่นเช้ามาทำงานในวันรุ่งขึ้น ยิ้ม

ส่งท้ายวันแรกด้วยมุมที่ฉันชอบมากมุมหนึ่งของร้าน


To be continued_____________________________________________________________________
ชื่อสินค้า:   WWOOF Japan
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่