ต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าพิมพ์อะไรอาจผิดพลาดไปบ้าง เพราะปกติส่วนมากจะ
เป็นคนเข้ามาอ่านเรื่องราวของเพื่อนๆ มากกว่ามาตั้งกระทู้เองค่ะ
แม่ของเราป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ที่จริงแม่ของเราเสียไป
ตั้งแต่เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาแล้ว แต่ที่เราตัดสินใจมาเล่าเรื่อง
ลงในนี้เพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับคิดถึงเรื่องแม่ขึ้นมา นึกถึงตอนที่ดูแลแม่
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ มันเข้ามาย้ำในหัวว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำตามันก็ไหล
ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังจากแม่จากเราไป เราใช้ชีวิตแบบไม่อยากคิดอะไร
ไม่อยากปล่อยใจให้ว่างและให้ความเหงามันเข้ามาทำลายความรู้สึกในใจ
เพราะเมื่อไหร่ที่เหงา เรื่องของแม่จะทำให้เราต้องร้องไห้ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ที่เราพูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากคิดถึงแม่เรานะ เรารักแม่มากแต่การจากไป
ของแม่มันทำให้เราเสียใจมากๆ
แม่ของเราอยู่ที่ต่างจังหวัดกับพ่อ ญาติพี่น้องเราเป็นคนพิจิตรกันหมด
ตัวเราเองมาเรียนและทำงานที่กรุงเทพ ถึงตัวเราอยู่ไกลแต่เราก็โทรหาแม่เกือบทุกวัน
เรามีเรื่องอะไร ทำอะไร แม่มีเรื่องอ ะไร หรือทำอะไรก็จะเล่าสู่กันฟัง จนในวันที่
แม่เริ่มป่วย แม่มาบอกเราตอนที่แม่อาการเริ่มทรุดมากแล้ว อยู่ๆ บอกว่า
แม่เดินไม่ค่อยได้ น้องเรากลับไปและพาแม่ไปหาหมอก่อน และเราตามไป สิ่งที่เราเห็น
คือแม่จากที่ร่างกายปกติดี วันนี้มันไม่ใช่ แม่เดินแทบไม่ได้ แขนแม่เป็นแผล
เรากับน้องดูแลแม่อยู่ที่บ้าน เพราะโรงพยาบาลที่ตัวอำเภอให้รอผลตรวจ
วันแรกที่เห็นแม่เป็นแบบนั้น เรานอนร้องไห้ทั้งคืน มันทั้งกลัวและสงสารแม่ที่เจ็บปวด
เราได้แต่แอบร้องไห้ ต่อหน้าแม่ต้องเข้มแข็งและให้กำลังใจแม่ และวันที่ผลตรวจออกมา
ใจแทบสลาย เราจำมันได้แม่นเลยวันนั้นแม่เข้าไปฟังผลด้วย และมีเรามีน้องรอฟังผลตรวจ
หมอบอกแม่เราว่าป้าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และเต้านม แม่เราน้ำตาไหลออกมา
เราเองต้องกลั้นน้ำตาไว้ แอบมายืนร้องไห้ และทุกคนให้กำลังใจแม่ว่าต้องหาย
แม่เป็นคนต่างจังหวัดแบบไม่ค่อยได้ไปไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองมันร้ายแรงมากๆ
เราพาแม่มารักษาที่ลพบุรี ขั้นตอนการรักษาต้องเป็นไปตามคิวของผู้ป่วย เราพาแม่นั่งรถ
จากพิจิตรมาลพบุรี แม่เดินทางลำบากมาก แม่เจ็บทั้งขา และแขน เวลาแม่เจ็บแต่ละครั้ง
แม่เจ็บปวดทรมานมาก การเดินทางไปรักษาแม่แต่ละครั้งเลยดูทรมานมาก เพราะพอตรวจเสร็จหมอก็ให้กลับ
และให้มาตามนัด แม่เรามีนัดฉายแสง และนัดทำคีโม ในวันที่หมอนัดมาฉายแสง
เรามีความหวังกันมากๆ ว่าอาการแม่จะดีขึ้นบ้าง
แต่พอถึงวันนัดจิงๆ ทุกอย่างมันไม่เป็นอย่างที่คิดเลย
วันที่หมอนัดมาฉายแสงที่ขา อาการแม่ก็หนักมากแล้ว หมอให้เหตุผลว่าขาแม่ร้าว
ต้องผ่าตัดกระดูกก่อนถึงจะรักษาต่อได้ และหมอก็ส่งตัวแม่ไปอีกโรงพยาบาลนึงเพื่อผ่าตัดกระดูกที่ขา
แม่ยังมีความหวังแม่ยังคิดว่าหมอกำลังช่วยแม่อยู่และแม่จะหาย ในวันที่เราย้ายกันมาอีกโรงพยาบาลนึง
อาการแม่ก็ยิ่งทรุด ก่อนวันจะถึงคิวผ่าตัด แม่ถ่ายท้องทั้งคืน เรียกเราทุกชั่วโมง ถ่ายออกมาเป็นสีดำๆ
พอเช้ามาร่างกายของแม่อ่อนเพลียหมอกลัวผ่าแล้วช็อค เลยให้เลื่อนวันผ่าตัดก่อน
และพยาบาลให้ย้ายเตียงของแม่ไปอยู่อีกเตียงนึงที่ใกล้ๆกับ ห้องของพยาบาล เพียงนี้
คือเตียงของผู้ป่วยที่ต้องดูอาการอย่างใกล้ชิด แม่เองพอรู้ว่าต้องย้ายไปเตียงนั้น
แม่ก็ดูเศร้าไปเลย โรงพยาบาลที่เราไปคือโรงพยาบาลของรัฐ เรามาดูแลแม่ต้องนอนพื้นข้างๆเตียง
เรากับน้องปูเสื่อนอนกันข้างๆ ส่วนพ่อก็นอนข้างนอก วันที่ย้ายเตียงแม่มา พยาบาลขอคุยกับเรา
บอกเราว่าตอนนี้อาการแม่แย่ เค้าถามเราว่าจะให้แม่ปั๊มหัวใจมั้ยถ้าถึงนาทีที่แม่แย่ลง
และจะให้ใส่ท่อมั้ย ตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกคิดอะไรไม่ทันจิงๆ น้ำตาจะไหลก็ไม่ได้
แม่มองเราคุยกับพยาบาลอยู่ เรากลั้นใจบอกกับพยาบาลไปว่าไม่ให้ปั๊ม แม่เป็นแผลที่หน้าอกแม่จะเจ็บมาก
ใส่ท่อเราก็ปรึกษาพ่อๆ ก็ไม่ให้ใส่ พยาบาลพยายามมาถามแม่ว่าจะให้ใส่มั้ยท่อ
มันทำให้แม่รู้ตัวเองว่าเค้ากำลังแย่แล้ว เราปลอบใจแม่ว่าเค้าถามเฉยๆ ไม่อยากให้แม่คิดมาก
มีครั้งนึงหมอเดินมาถามแม่ว่าป้าจะกลับไปรักษาต่อที่พิจิตรมั้ย แม่บอกหมอว่าไม่ไปค่ะ
หมอถามว่าทำไมล่ะ แม่ตอบไปว่าอยากรักษาที่นี่เพราะที่นี่เก่ง แม่เราพูดไปตามความเข้าใจว่า
หมอที่นั่นเก่งกว่าหมอที่บ้านเรา แต่หมอกับบอกแม่เราว่าอยู่ที่นี่ก็ได้แต่พยุงอาการไป
พอหมอเดินไปแม่เราหน้าเสียเลย ถามเราว่าทำไมหมอพูดแบบนั้น เราน้ำตาแทบไหล แต่ก็ยังคงให้กำลังใจแม่
ช่วงที่รักษาตัวอยู่แม่เริ่มเบลอจากยาที่ได้รับ เพราะแม่ปวดมากพยาบาลก็ฉีดมอร์ฟีนให้
พยาบาลเรียกเรามาคุยทุกเช้าว่าอาการแม่แย่มาก บางวันถามว่าถ้าเกิดแม่จากไปจะย้ายศพแม่กลับยังไง
ให้เราคิดไว้ เราเนี่ยใจจะสลายอยู่แล้ว แอบไปนั่งร้องไห้ตลอด ตอนญาติๆ มาเยี่ยม จากต่างจังหวัดแม่ดีใจมาก
นอนเล่าให้ญาติฟังว่าอาการเป็นไงหมอใจดี พยายาลใจดียังไง เล่าแบบมีความหวัง ทั้งๆ ที่แม่เหนื่อยมาก
เวลาพูดแต่ละที บางคำฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย อยู่ที่โรงพยาบาลที่ลพบุรีประมาณ 7 วัน
โรงพยาบาลก็ให้เราทำเรื่องให้ย้ายแม่ไปโรงพยายาลที่จะให้แม่ไปฉายแสงตอนแรก เพราะหมอบอก
ถึงอยู่ก็ผ่าตัดกระดูกไม่ได้ร่างกายแม่อ่อนแอมาก พอเราไปโรงพยาบาลที่จะฉายแสง
หมอบอกเราว่าคงรับแม่ไว้ไม่ได้เพราะยังไงก็ฉายแสงไม่ได้ แม่เป็นระยะสุดท้ายแล้ว
แม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ตอนนั้นเราหมดหวังจิงๆ ปรึกษากันกับพ่อกับญาติว่าจะพาแม่กลับบ้าน
ตอนนั้นแม่เบลอมากๆ เพ้อ ตอนย้ายแม่กลับแม่ยังแทบไม่รู้เรื่องเลย พยาบาลบอกว่าระหว่างทางแม่อาจจะ
ไม่ไหวก็ได้ ให้ทำใจไว้ เรานั่งจับมือแม่มองหน้าของแม่ สายตาของแม่มีแต่คำถาม
เรานั่งน้ำตาไหลไปตลอด พอถึงโรงพยาบาลที่พิจิตรเป็นโรงพยาบาลอำเภอ แม่อยู่ที่นี่ได้ 4 วัน แม่ได้เจอญาติ พี่น้องทุกคนถึงแม่จะพูดไม่ได้แล้ว
แต่สายตาของแม่มันยิ่งกว่าคำพูด 4 วัน ที่โรงพยาบาลนี้ วันแรกแม่ยังเบลอ วันที่สองเรากลับบ้านไปอาบน้ำ
อยู่ๆ พ่อและน้าโทรมาบอกให้รีบมาโรงพยาบาลแม่แย่แล้ว เรากับน้องรีบไปขับรถมอไซค์กันไปทั้งน้ำตา
ไปถึงที่โรงพยาบาลเอาวิทยุมาเปิดธรรมะให้แม่ฟัง มีดอกไม้และธูปวางรออยู่
แม่เพ้อพูดแบบไม่รู้เรื่องเลย เราคุมสติกันไม่ได้เหมือนกันร้องไห้อยู่ข้างๆ แม่ แต่แม่ยังไม่ได้จากเราไปในวันนั้น
วันที่3 อยู่ๆ แม่ก็พูดกับเราได้ ขอน้ำเรากิน ถามถึงคนนั้นคนนี้ แต่อาตตะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่ก็เข้าใจที่แม่พูด เราจับมือแม่มาหอม บอกแม่ว่าหอมยังเลยมือของแม่ แม่ยังหันมาถามเราเลย
ว่าหอมได้ยังไงหรอ เราบอกแม่ว่าก็หนูเช็ดตัวให้แม่ไง เราบอกรักแม่ บอกทั้งน้ำตา บอกแม่ว่าแม่ไม่ต้องห่วง
หนู แม่ไม่ต้องห่วงใครๆ นะแม่นะ หนูรักแม่ แม่บอกเราว่าแม่จะไม่ไหวแล้ว เราได้แต่แอบร้องไห้
พยาบาลจะคอยมาเรียกแม่ เรายืนอยู่ตรงนั้น ได้ยินพยาบาลถามแม่ว่า ป้าชื่ออะไร
แม่บอกชื่อของแม่ และพยาบาลถามว่าและลูกสาวป้าชื่ออะไร แม่ก็บอกชื่อของเรา พยาบาลถามต่อว่า
ป้าห่วงอะไรอยู่รึป่าว แม่ตอบว่าห่วงลูก เราได้ฟังใจจะขาด มาถึงวันสุดท้านที่แม่จากเราไป วันที่4 แม่เริ่มเบลออีกครั้ง
วันนี้ไม่ว่าจะเรียกแม่ยังไงแม่ก็ไม่ตอบรับ ตาจะลอยๆ และเหมือนมีเสียงครางๆ ออกมา ช่วงกลางวันของวันนั้น
เตียงตรงข้ามกับแม่มีคนป่วยทีเสียชีวิตในวันนั้น เราเห็นตอนเข้าทำพิธี
และเอาศพออกไป เราใจคอไม่ดีเลย วันนั้นอยู่ๆ ก็ยิ่งใจคอไม่ดี ปกติตอนกลางคืนเราจะไม่ค่อยได้นอนกัน
จะสลับกันดูกับน้อง แต่คืนนั้นเราเพลียและหลับไป หลับไปประมาณชั่วโมงเดียว น้องเรียกเราให้ดูแม่
ตอยนั้นแม่กำลังจะจากเราไปแล้ว แม่ค่อยๆนิ่งไป และสุดท้ายแม่ก็จากเราไป เวลาผ่านมาได้ 3 เดือนกว่าแล้ว
ไม่มีวันไหนที่เราไม่คิดถึงแม่ ตอนที่กลับมาใช้ชีวิตในกรุงเทพ เราทำใจไม่ได้เลย มือถือที่ยังเมมชื่อว่าแม่
เราอยากได้ยินเสียงปลายสายจากเบอร์นี้ บางทีเรากดไปที่เบอร์ของแม่
แม้รู้ว่าจะไม่มีใครรับสายเรา ตอนหลังเบอร์ของแม่เลยให้พ่อใช้ เราไม่อยากให้เบอร์
ของแม่ปิดใช้บริการ เราอยากฝากถึงคนที่มีพ่อแม่มีอยู่กับเราตอนนี้ว่า
ให้ดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด เพราะเราไม่รู้จิงๆ ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
ในวันที่แม่ป่วย
เป็นคนเข้ามาอ่านเรื่องราวของเพื่อนๆ มากกว่ามาตั้งกระทู้เองค่ะ
แม่ของเราป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ที่จริงแม่ของเราเสียไป
ตั้งแต่เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาแล้ว แต่ที่เราตัดสินใจมาเล่าเรื่อง
ลงในนี้เพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับคิดถึงเรื่องแม่ขึ้นมา นึกถึงตอนที่ดูแลแม่
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ มันเข้ามาย้ำในหัวว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำตามันก็ไหล
ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังจากแม่จากเราไป เราใช้ชีวิตแบบไม่อยากคิดอะไร
ไม่อยากปล่อยใจให้ว่างและให้ความเหงามันเข้ามาทำลายความรู้สึกในใจ
เพราะเมื่อไหร่ที่เหงา เรื่องของแม่จะทำให้เราต้องร้องไห้ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ที่เราพูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากคิดถึงแม่เรานะ เรารักแม่มากแต่การจากไป
ของแม่มันทำให้เราเสียใจมากๆ
แม่ของเราอยู่ที่ต่างจังหวัดกับพ่อ ญาติพี่น้องเราเป็นคนพิจิตรกันหมด
ตัวเราเองมาเรียนและทำงานที่กรุงเทพ ถึงตัวเราอยู่ไกลแต่เราก็โทรหาแม่เกือบทุกวัน
เรามีเรื่องอะไร ทำอะไร แม่มีเรื่องอ ะไร หรือทำอะไรก็จะเล่าสู่กันฟัง จนในวันที่
แม่เริ่มป่วย แม่มาบอกเราตอนที่แม่อาการเริ่มทรุดมากแล้ว อยู่ๆ บอกว่า
แม่เดินไม่ค่อยได้ น้องเรากลับไปและพาแม่ไปหาหมอก่อน และเราตามไป สิ่งที่เราเห็น
คือแม่จากที่ร่างกายปกติดี วันนี้มันไม่ใช่ แม่เดินแทบไม่ได้ แขนแม่เป็นแผล
เรากับน้องดูแลแม่อยู่ที่บ้าน เพราะโรงพยาบาลที่ตัวอำเภอให้รอผลตรวจ
วันแรกที่เห็นแม่เป็นแบบนั้น เรานอนร้องไห้ทั้งคืน มันทั้งกลัวและสงสารแม่ที่เจ็บปวด
เราได้แต่แอบร้องไห้ ต่อหน้าแม่ต้องเข้มแข็งและให้กำลังใจแม่ และวันที่ผลตรวจออกมา
ใจแทบสลาย เราจำมันได้แม่นเลยวันนั้นแม่เข้าไปฟังผลด้วย และมีเรามีน้องรอฟังผลตรวจ
หมอบอกแม่เราว่าป้าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และเต้านม แม่เราน้ำตาไหลออกมา
เราเองต้องกลั้นน้ำตาไว้ แอบมายืนร้องไห้ และทุกคนให้กำลังใจแม่ว่าต้องหาย
แม่เป็นคนต่างจังหวัดแบบไม่ค่อยได้ไปไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองมันร้ายแรงมากๆ
เราพาแม่มารักษาที่ลพบุรี ขั้นตอนการรักษาต้องเป็นไปตามคิวของผู้ป่วย เราพาแม่นั่งรถ
จากพิจิตรมาลพบุรี แม่เดินทางลำบากมาก แม่เจ็บทั้งขา และแขน เวลาแม่เจ็บแต่ละครั้ง
แม่เจ็บปวดทรมานมาก การเดินทางไปรักษาแม่แต่ละครั้งเลยดูทรมานมาก เพราะพอตรวจเสร็จหมอก็ให้กลับ
และให้มาตามนัด แม่เรามีนัดฉายแสง และนัดทำคีโม ในวันที่หมอนัดมาฉายแสง
เรามีความหวังกันมากๆ ว่าอาการแม่จะดีขึ้นบ้าง
แต่พอถึงวันนัดจิงๆ ทุกอย่างมันไม่เป็นอย่างที่คิดเลย
วันที่หมอนัดมาฉายแสงที่ขา อาการแม่ก็หนักมากแล้ว หมอให้เหตุผลว่าขาแม่ร้าว
ต้องผ่าตัดกระดูกก่อนถึงจะรักษาต่อได้ และหมอก็ส่งตัวแม่ไปอีกโรงพยาบาลนึงเพื่อผ่าตัดกระดูกที่ขา
แม่ยังมีความหวังแม่ยังคิดว่าหมอกำลังช่วยแม่อยู่และแม่จะหาย ในวันที่เราย้ายกันมาอีกโรงพยาบาลนึง
อาการแม่ก็ยิ่งทรุด ก่อนวันจะถึงคิวผ่าตัด แม่ถ่ายท้องทั้งคืน เรียกเราทุกชั่วโมง ถ่ายออกมาเป็นสีดำๆ
พอเช้ามาร่างกายของแม่อ่อนเพลียหมอกลัวผ่าแล้วช็อค เลยให้เลื่อนวันผ่าตัดก่อน
และพยาบาลให้ย้ายเตียงของแม่ไปอยู่อีกเตียงนึงที่ใกล้ๆกับ ห้องของพยาบาล เพียงนี้
คือเตียงของผู้ป่วยที่ต้องดูอาการอย่างใกล้ชิด แม่เองพอรู้ว่าต้องย้ายไปเตียงนั้น
แม่ก็ดูเศร้าไปเลย โรงพยาบาลที่เราไปคือโรงพยาบาลของรัฐ เรามาดูแลแม่ต้องนอนพื้นข้างๆเตียง
เรากับน้องปูเสื่อนอนกันข้างๆ ส่วนพ่อก็นอนข้างนอก วันที่ย้ายเตียงแม่มา พยาบาลขอคุยกับเรา
บอกเราว่าตอนนี้อาการแม่แย่ เค้าถามเราว่าจะให้แม่ปั๊มหัวใจมั้ยถ้าถึงนาทีที่แม่แย่ลง
และจะให้ใส่ท่อมั้ย ตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกคิดอะไรไม่ทันจิงๆ น้ำตาจะไหลก็ไม่ได้
แม่มองเราคุยกับพยาบาลอยู่ เรากลั้นใจบอกกับพยาบาลไปว่าไม่ให้ปั๊ม แม่เป็นแผลที่หน้าอกแม่จะเจ็บมาก
ใส่ท่อเราก็ปรึกษาพ่อๆ ก็ไม่ให้ใส่ พยาบาลพยายามมาถามแม่ว่าจะให้ใส่มั้ยท่อ
มันทำให้แม่รู้ตัวเองว่าเค้ากำลังแย่แล้ว เราปลอบใจแม่ว่าเค้าถามเฉยๆ ไม่อยากให้แม่คิดมาก
มีครั้งนึงหมอเดินมาถามแม่ว่าป้าจะกลับไปรักษาต่อที่พิจิตรมั้ย แม่บอกหมอว่าไม่ไปค่ะ
หมอถามว่าทำไมล่ะ แม่ตอบไปว่าอยากรักษาที่นี่เพราะที่นี่เก่ง แม่เราพูดไปตามความเข้าใจว่า
หมอที่นั่นเก่งกว่าหมอที่บ้านเรา แต่หมอกับบอกแม่เราว่าอยู่ที่นี่ก็ได้แต่พยุงอาการไป
พอหมอเดินไปแม่เราหน้าเสียเลย ถามเราว่าทำไมหมอพูดแบบนั้น เราน้ำตาแทบไหล แต่ก็ยังคงให้กำลังใจแม่
ช่วงที่รักษาตัวอยู่แม่เริ่มเบลอจากยาที่ได้รับ เพราะแม่ปวดมากพยาบาลก็ฉีดมอร์ฟีนให้
พยาบาลเรียกเรามาคุยทุกเช้าว่าอาการแม่แย่มาก บางวันถามว่าถ้าเกิดแม่จากไปจะย้ายศพแม่กลับยังไง
ให้เราคิดไว้ เราเนี่ยใจจะสลายอยู่แล้ว แอบไปนั่งร้องไห้ตลอด ตอนญาติๆ มาเยี่ยม จากต่างจังหวัดแม่ดีใจมาก
นอนเล่าให้ญาติฟังว่าอาการเป็นไงหมอใจดี พยายาลใจดียังไง เล่าแบบมีความหวัง ทั้งๆ ที่แม่เหนื่อยมาก
เวลาพูดแต่ละที บางคำฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย อยู่ที่โรงพยาบาลที่ลพบุรีประมาณ 7 วัน
โรงพยาบาลก็ให้เราทำเรื่องให้ย้ายแม่ไปโรงพยายาลที่จะให้แม่ไปฉายแสงตอนแรก เพราะหมอบอก
ถึงอยู่ก็ผ่าตัดกระดูกไม่ได้ร่างกายแม่อ่อนแอมาก พอเราไปโรงพยาบาลที่จะฉายแสง
หมอบอกเราว่าคงรับแม่ไว้ไม่ได้เพราะยังไงก็ฉายแสงไม่ได้ แม่เป็นระยะสุดท้ายแล้ว
แม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ตอนนั้นเราหมดหวังจิงๆ ปรึกษากันกับพ่อกับญาติว่าจะพาแม่กลับบ้าน
ตอนนั้นแม่เบลอมากๆ เพ้อ ตอนย้ายแม่กลับแม่ยังแทบไม่รู้เรื่องเลย พยาบาลบอกว่าระหว่างทางแม่อาจจะ
ไม่ไหวก็ได้ ให้ทำใจไว้ เรานั่งจับมือแม่มองหน้าของแม่ สายตาของแม่มีแต่คำถาม
เรานั่งน้ำตาไหลไปตลอด พอถึงโรงพยาบาลที่พิจิตรเป็นโรงพยาบาลอำเภอ แม่อยู่ที่นี่ได้ 4 วัน แม่ได้เจอญาติ พี่น้องทุกคนถึงแม่จะพูดไม่ได้แล้ว
แต่สายตาของแม่มันยิ่งกว่าคำพูด 4 วัน ที่โรงพยาบาลนี้ วันแรกแม่ยังเบลอ วันที่สองเรากลับบ้านไปอาบน้ำ
อยู่ๆ พ่อและน้าโทรมาบอกให้รีบมาโรงพยาบาลแม่แย่แล้ว เรากับน้องรีบไปขับรถมอไซค์กันไปทั้งน้ำตา
ไปถึงที่โรงพยาบาลเอาวิทยุมาเปิดธรรมะให้แม่ฟัง มีดอกไม้และธูปวางรออยู่
แม่เพ้อพูดแบบไม่รู้เรื่องเลย เราคุมสติกันไม่ได้เหมือนกันร้องไห้อยู่ข้างๆ แม่ แต่แม่ยังไม่ได้จากเราไปในวันนั้น
วันที่3 อยู่ๆ แม่ก็พูดกับเราได้ ขอน้ำเรากิน ถามถึงคนนั้นคนนี้ แต่อาตตะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่ก็เข้าใจที่แม่พูด เราจับมือแม่มาหอม บอกแม่ว่าหอมยังเลยมือของแม่ แม่ยังหันมาถามเราเลย
ว่าหอมได้ยังไงหรอ เราบอกแม่ว่าก็หนูเช็ดตัวให้แม่ไง เราบอกรักแม่ บอกทั้งน้ำตา บอกแม่ว่าแม่ไม่ต้องห่วง
หนู แม่ไม่ต้องห่วงใครๆ นะแม่นะ หนูรักแม่ แม่บอกเราว่าแม่จะไม่ไหวแล้ว เราได้แต่แอบร้องไห้
พยาบาลจะคอยมาเรียกแม่ เรายืนอยู่ตรงนั้น ได้ยินพยาบาลถามแม่ว่า ป้าชื่ออะไร
แม่บอกชื่อของแม่ และพยาบาลถามว่าและลูกสาวป้าชื่ออะไร แม่ก็บอกชื่อของเรา พยาบาลถามต่อว่า
ป้าห่วงอะไรอยู่รึป่าว แม่ตอบว่าห่วงลูก เราได้ฟังใจจะขาด มาถึงวันสุดท้านที่แม่จากเราไป วันที่4 แม่เริ่มเบลออีกครั้ง
วันนี้ไม่ว่าจะเรียกแม่ยังไงแม่ก็ไม่ตอบรับ ตาจะลอยๆ และเหมือนมีเสียงครางๆ ออกมา ช่วงกลางวันของวันนั้น
เตียงตรงข้ามกับแม่มีคนป่วยทีเสียชีวิตในวันนั้น เราเห็นตอนเข้าทำพิธี
และเอาศพออกไป เราใจคอไม่ดีเลย วันนั้นอยู่ๆ ก็ยิ่งใจคอไม่ดี ปกติตอนกลางคืนเราจะไม่ค่อยได้นอนกัน
จะสลับกันดูกับน้อง แต่คืนนั้นเราเพลียและหลับไป หลับไปประมาณชั่วโมงเดียว น้องเรียกเราให้ดูแม่
ตอยนั้นแม่กำลังจะจากเราไปแล้ว แม่ค่อยๆนิ่งไป และสุดท้ายแม่ก็จากเราไป เวลาผ่านมาได้ 3 เดือนกว่าแล้ว
ไม่มีวันไหนที่เราไม่คิดถึงแม่ ตอนที่กลับมาใช้ชีวิตในกรุงเทพ เราทำใจไม่ได้เลย มือถือที่ยังเมมชื่อว่าแม่
เราอยากได้ยินเสียงปลายสายจากเบอร์นี้ บางทีเรากดไปที่เบอร์ของแม่
แม้รู้ว่าจะไม่มีใครรับสายเรา ตอนหลังเบอร์ของแม่เลยให้พ่อใช้ เราไม่อยากให้เบอร์
ของแม่ปิดใช้บริการ เราอยากฝากถึงคนที่มีพ่อแม่มีอยู่กับเราตอนนี้ว่า
ให้ดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด เพราะเราไม่รู้จิงๆ ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น