สวัสดีครับ ทุกคนๆ ที่เข้ามาอ่านกระทู้ของผม...การตั้งกระทู้ที่นี่เป็นการตั้งใจอยากจะเเชร์ประสบการณ์ เเละการใช้ชีวิตในรูปแแบบของผม ไม่มีเจตนาาแฝงใดใดทั้งสิ้น พิมพ์วกวน ผิดพลาดประการใดขอโทษด้วยน่ะครับ ผมหวังว่าการตั้งกระทู้ของผมครั้งนี้สามารถช่วยสร้างเเรงบันดาลใจไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณครับ......
....สมัยเมื่อตอนผมเป็นเด็ก สักประมาณ 3-4 ขวบ เป็นเด็กที่ ขี้โรคมากเข้าโรงพยาบาลเดือนล่ะ 1-2 ครั้ง ทุกเดือน เดี๋ยวเป็นหวัด เป็นไซนัส ภูมิแพ้ ต่างๆนานาๆ ผมเป็นเด็กเรียนคนหนึ่ง เรียนสายวิทย์ คณิต เกรดสวย เรียนพิเศษ เลิก สองทุ่ม ทุกวัน จนกระทั่งผมเรียนอยู่ชั้น ม.2 มันคือ จุดเปลี่ยน ชีวิตผม เมื่อตอน อายุได้ 14 ตอนนั้นเป็นช่วงสอบปลายภาคเรียนก่อนเข้าห้องสอบ ผมได้ปวดท้องอย่างรุนแรง และได้เป็นลม จนต้องส่งโรงพยาบาล เข้าออกอยู่หลายโรงพยาบาล ผลการวินิจฉัยครั้งนั้น คือ ผมเป็นเนื้องอกอัณฑะ ตอนนั้นเด็กมาก ไม่รู้ว่าเนื้องอกคืออะไร คิดว่าผ่าตัดแล้วหาย แต่สุดท้าย มันคือเนื้อร้าย ผมเป็นมะเร็งตอน อายุ 14 ปี และ ต้องทำเคมีบำบัด ประมาณ 40 ครั้ง อาทิตย์ล่ะครั้ง ต้องไปรับคีโม ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ทุกอาทิตย์เป็นเวลา 10 เดือน
ตัวยาที่ผมได้รับยาคีโมอยู่สองตัว (ปี 2548)
1.vincristine (ตัวนี้ผมเเพ้มาก)
2.actinomycin
ตอนแรกคิดว่า เดี๋ยวไปฉีดยา แล้วกลับมาเรียนต่อได้ คงไม่มีอะไร แต่ผมคิดผิดทั้งหมด ผลข้างเคียงของคีโม คนทั่วไป ก็พอจะรู้ว่าผมร่วง อาเจียนแน่นอน แต่ มันเลวร้ายกว่านั้นมาก ผมแพ้ชนิดที่เรียกว่าร้ายแรงมาก อาเจียนมาก แทบทุก ชม.ไม่สามารถกินข้าวได้เลย บางครั้ง กลับมาบ้าน มีอาการหงุดหงิด ครั่นเนื้อ ครั่นตัว อาละวาด โวยวาย หลังจากเริ่มทำคีโมได้ สามเดือน ผมมีอาการผิดปกติ คือ มีอาการชาที่ปลายมือและปลายเท้า ทีแรก หมอบอกเป็นเรื่องปกติ แต่หลังจากนั้น อาการชาเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่ง มือ เท้า ปลายลิ้น ไม่สามารถรับความรู้สึกได้เลย จนไม่สามารถ เดิน หยิบสิ่งของ หรือ พูดได้อย่างชัดเจน จนเหมือนคนเป้นอัมพาตครึ่งท่อนล่าง เดินไม่ได้ ในที่สุด แต่ก้อยังหยุดให้เคโมไม่ได้ ต้องให้จนครบ นอกเหนืออาการชา แล้วยังมี เหยื่อบุในปาก เหงือกอ่อนแอ ผิวหนังหลุดง่าย เกร็ดเลือดต่ำไม่สามารถ แปรงฟัน หรือ อาบน้ำได้เลย เวลาแปรงทุกครั่งจะมีเลือดไหลออกมา และอาบน้ำผิวหนังจะหลุดเป็นแผ่น บางครั่ง ไปตรวจเลือดไม่ผ่านรับ คีโมไม่ได้ เเต่ก็ต้องฉีด vincristine เเค่เว้น ตัวยาอีกตัว ต่อไปอีก 1 อาทิตย์ ก็ต้องทดไปอี 1 อาทิตย์ จนกระทั่งครบคอร์สเคมีบำบำบัด จนเกิน 40 ครั้งน่าจะราวๆ 45-50 ครั่ง ตอนครบทุกคนในบ้านดีใจมาก ทำบุญบ้านยกใหญ่
**************************************************************************************************************
อาการทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นหลังจากครบเคมีบำบัด ผมใช้เครื่องช่วยเดินไปเรียนหนังสือได้ เริ่มใช้ชีวิตปกติ ผมคิดว่านั้นคือสิ่งที่ผ่านมาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผม ผมจึงกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติ แต่นั้นคือ ส่งที่ผมคิดผิด หลังจากเรียน ได้ 1 เทอม มะเร็งได้กลับมาอีกรอบครั้งนี้เป็นครั้งที่ร้ายแรงมากที่สุด มะเร็งกระจายไปที่ไขกระดูก กระดูกสันหลัง และปอด มะเร็งส่งผลดูดแคลเซียมออกมา ทำเกิดภาวะแคลเซียมเกิน ส่งผลให้ กระดูกบาง แล้วปวดกระดูกมากทั้งตัว จนไม่สามารถขยับร่างกายได้เลยแม้แต่จะขยับนิ้วก็ทำไม่ได้
หมอจึงให้มอร์ฟืนเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ผมปวด จน สลบ ไป หนึ่งวันเต็ม เคยบอกคุณแม่ว่า ผมขอตายได้ไหม ไม่อยากทรมานอยู่แบบนี้ ต้องทนปวดซึ่งไม่รู้ว่า จะหายเมื่อไร ไม่รู้ว่าเป็นไงต่อไป ณ ความรู้สึกตอนนั้น ความตายคือสิ่งที่ดีที่สุด คืออย่างน้อยก็ไม่ต้องมานอนเฉยๆ ขยับตัวไม่ได้ กินข้าวไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย ขยับทุกส่วนปวดทุกส่วน สุดจนต้องเข้าห้องไอซียู เนื่องจากร่ายกายดูดแคลเซียมเข้ากระเสเลือดมากกินไป ทำให้ไตวาย และมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นมากมาย เช่น น้ำท่วมปอด ติดเชื้อในกระแสเลือด ตอนนั้นจำได้ดีที่สุดคือตื่นมา มีสายอะไรไม่รู้มากมายเต็มร่างกาย เหมือนในหนังไม่มีผิด อยู่ไอซียู อยู่หลายวันสุดท้ายพออาการเริ่มดีขึ้น
ก็ย้ายมาเตียง โคม่าปกติ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นอย่างใด หมอ ถึง ตัดสินใจว่า จะฟอกไตหรือ ให้น้ำเกลือปริมาณมาก เพื่อช่วยไตที่กำลังจะวาย สุดท้ายหมอจึงตัดสินใจให้น้ำเกลือ ตอนนั้น น้ำหนัก 36 กก. หลังจากให้น้ำเกลือ ได้สามวัน น้ำหนักขึ้น เป็น 50 กก.เนื่องจากตัวบวมเพราะไตไม่ทำงาน กลับเข้ามาสู่ภาวะน้ำท่วมปอดอีกครั่งหนึ่ง หลังจากเสร็จการรักษาเรื่องปอดและไต กลับเข้าสู่ระยะปกติแล้วทุกอย่างเริ่มดีขึ้น วันต่อมา กลายเป็นลำไส้ติดเชื้อและ ติดเชื้อในกระแสเลือดต่อ มีอาการถ่ายเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด เป็นการรักษาที่ ทรมานมาก คือ อดน้ำอาหารทุกชนิด เป็นเวลา 7 วัน ผมได้นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงเนื่องจากขยับร่างกายไม่ได้ เหมือนวิบากกรรมจะยังไม่หมด เกิดแผลกดทับที่หลัง และก้น เป็นแผลที่น่ากลัวมาก ก้อรักษาตามอาการกันต่อไป พอเวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น
**************************************************************************************************************
แต่แล้ว ผมเป็นเริมที่แขน ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นได้เนื่องจาก ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำมาก ผมจึงถูกย้ายไปที่ห้องปลอดเชื้อเป็นห้องเล็กอยู่ได้คนเดียวเป็นกระจกใสๆ ขนาดพอดีกับเตียง ผมอยู่รักษาจนหาย แล้วกลับมาห้องปกติ สิ่งผมกลัวที่สุดมันกำลังจะเกิดขึ้น คือ หมอตัดสินใจ ทำการรังสีรักษา และให้คีโมอีกครั้ง ครั่งเเรกที่ได้ยินคำว่ากลับไปให้คีโม อีกครั่ง ตอนนั้นความรู้สึกทุกอย่างที่เลวร้ายในอดีตกำลังจะเกิดขึ้นใหม่ โดยหนักกว่าเดิม เพราะ สภาพผมตอนนี้ เดินไม่ได้ ยกเเขนไม่ได้ ขับถ่ายตนเตียง คุณเเม่ต้องแปรงฟัน ป้อนข้าว ยกเเก้วน้ำให้ ตอนนั้นได้เเต่มองไปรอบๆเตียง มองเห็นเด็ก ที่มาจาก ตจว. ไม่มีเงินทองพอจะรักษา บางคน ตัดขา ตัดเเขน ผ่า ผ่าสมอง บางคนนอนนิ่งเป็นเจ้าชายนิทรา ......กลับมามองดูตัวเรา เรายังเงินพอจะใช้จ่ายได้ มีเเม่ มีพ่อ มีทุกๆ คน มีเพื่อนที่รัก มาเยี่ยมตลอด ............นั้นคือสิ่งที่ทำให้ผมไม่อยากตาย.........
แต่ครั่งนี้ หมอบอกว่าเป็นการทำคีโมแบบไฮโดส คือให้ในปริมาณที่มากกว่าคราวก่อน ตอนนั้นตัดสินใจว่า เอาว่ะ ทำอะไรก็ทำไป หมอจึง ทำการตรวจโรคแบบละเอียดอีกครั่งหนึ่งก่อนให้เคมีบำบัด โดย เข้าเครื่อง ซีทีสแกน,โบนสแกน,เอ็มอาไอ และ เจาะไขกระดูก คือเป็นตรวจที่ทรมานมาก หลังจากเริ่มทำการรักษาและให้คีโม ครั่งนี้ผมได้บอกหมอว่าอยากทำอะไรทำ ขอแค่ให้หายก็พอ การให้เคมีครั่งนี้หนักกว่าคราวก่อนหลายร้อยเท่า เลยทีเดียว ผมต้องอยู่ในห้องแอร์ ที่เปิดตลอด ขับถ่ายบนเตียง ไม่ได้ออกไปไหนเลย จะออกก็ได้แค่ไปโรงพยาบาล เป็นเวลา ประมาณ 4-5 ปี
**************************************************************************************************************
เป็นเวลา ประมาณ 4-5 ปีกับการให้เคโม รอบใหม่ให้ยาประมาณ 40 ครั้ง อยู่ในห้องตัดขาดโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครสามารถเยี่ยมได้ เพราะ ร่างกายอ่อนมาก ติดเชื้อง่ายมาก แค่มีเชื้อโรคเล็กน้อยก็สามารถเสียชีวิตได้ พอเม็ดเลือดแดงต่ำ เกร็ดเลือด ต่ำ ก็ต้องมารับเลือดที่ รพ. บางครั้งแพ้เลือด ก็วุ่นวายกันอีก อาหารทุกอย่างต้องร้อน ห้ามกินของสด ผลไม้ผักสด เเม้กระทั่งพวงมาลัยดอกไม้สด ก็ไม่สามารถเข้ามาในห้องได้ ขนมปังห้ามเด็ดขาด เห็ดก็กินไม่ได้ อยากกินซอสมะเขือเทศก็ต้องเอาไปต้มก่อน อยากกินซีอิ้วจิ้มไข่ต้ม ก็ต้องต้มซีอิ้วจนเดือน น้ำที่กิน ต้องต้มจนเดือน และอยู่ได้แค่ 2 ชม. ต้องเปลี่ยนใหม่ อยูในห้องที่เปิดแอร์ตลอด กับทีวี 1 เครื่อง เเละ กองทัพยา กับอุปกรณ์ช่วยชีวิต
ยาที่ผมได้รับคราวนี้
1.doxorubicin (ผมเรียกแฟนต้าน้ำส้ม ... เคยออกนอกเส้นเลือดดำ 1 ครั่ง มือบวมเเสบร้อนทรมาน บวมเหมือน น้ำร้อนลวก และ ทำให้หัวใจผมโต)
2.Cyclophosphamide
3. Ifosfamide ( ตัวนี้ ผมเเพ้ยาขับปัสสาวะ เวลาฉีดจะเเสบที่เส้นเลือดดำเหมือน โดนมีบาดเเล้วเอาน้ำเกลือสาด เวลาฉีดนี้เเสบจนนอนร้องไห้ เเต่ทำไรไม่ได้ )
4. Cisplatin (ตัวนี้ทำให้หูผมเสีย ไม่ได้ยินเสียงต่ำกว่า 35 เดซิเบล เเละมีเสียงวื้ดดในหูตลอดเวลา ทุกวันนี้ก็เป็น เเละมีไตรั่วด้วย ทุกวันนี้ ฉี่ก็เป็นฟอง)
5. Etoposide (ตัวนี้ผมเเพ้ แปลกๆ มีอาการเเสบจมูกเหมือนดมทินเนอร์กลิ่นแรงๆ ตลอดเวลาที่ให้ ดิ้นทุรรทุรนอยู่บนเตียง ทรมานมากทุกครั่ง)
6. Irotecan (ตัวนี้ ที่สุดของที่สุด ท้องเสีย 100-200 ครั่ง ทุกครั้งที่ให้ จนต้องให้ยาหยุดถ่าย ก่อนรับยา )
มีทำการรังสีรักษา อีก 8 ครั่ง ที่กระดูกสันหลัง เพราะมีเนื้องอกอยู่ 2 ซม.**
****** เเต่ล่ะตัวให้สลับๆ กันไปตาม สูตรของหมอ*******
เผื่อใครอยากพูดคุยกับผม ผมยินดีให้คำเเนะนำ เเละส่งต่อกำลังใจ มาคุยกับผมได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/teerabangsarunthip ครับไม่ค่อยถนัดคุยในนี้เท่าไรครับ.......
ปล.ผมล็อคอินอมยิ้มผิดอันด้วย
แชร์ประสบการณ์ใช้ชีวิตกับมะเร็งระยะสุดท้าย จากคนป่วยที่เดินไม่ได้ เเขนขาขยับไม่ได้ จนมาใช้ชีวิตเเบบคนปกติได้
....สมัยเมื่อตอนผมเป็นเด็ก สักประมาณ 3-4 ขวบ เป็นเด็กที่ ขี้โรคมากเข้าโรงพยาบาลเดือนล่ะ 1-2 ครั้ง ทุกเดือน เดี๋ยวเป็นหวัด เป็นไซนัส ภูมิแพ้ ต่างๆนานาๆ ผมเป็นเด็กเรียนคนหนึ่ง เรียนสายวิทย์ คณิต เกรดสวย เรียนพิเศษ เลิก สองทุ่ม ทุกวัน จนกระทั่งผมเรียนอยู่ชั้น ม.2 มันคือ จุดเปลี่ยน ชีวิตผม เมื่อตอน อายุได้ 14 ตอนนั้นเป็นช่วงสอบปลายภาคเรียนก่อนเข้าห้องสอบ ผมได้ปวดท้องอย่างรุนแรง และได้เป็นลม จนต้องส่งโรงพยาบาล เข้าออกอยู่หลายโรงพยาบาล ผลการวินิจฉัยครั้งนั้น คือ ผมเป็นเนื้องอกอัณฑะ ตอนนั้นเด็กมาก ไม่รู้ว่าเนื้องอกคืออะไร คิดว่าผ่าตัดแล้วหาย แต่สุดท้าย มันคือเนื้อร้าย ผมเป็นมะเร็งตอน อายุ 14 ปี และ ต้องทำเคมีบำบัด ประมาณ 40 ครั้ง อาทิตย์ล่ะครั้ง ต้องไปรับคีโม ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ทุกอาทิตย์เป็นเวลา 10 เดือน
ตัวยาที่ผมได้รับยาคีโมอยู่สองตัว (ปี 2548)
1.vincristine (ตัวนี้ผมเเพ้มาก)
2.actinomycin
ตอนแรกคิดว่า เดี๋ยวไปฉีดยา แล้วกลับมาเรียนต่อได้ คงไม่มีอะไร แต่ผมคิดผิดทั้งหมด ผลข้างเคียงของคีโม คนทั่วไป ก็พอจะรู้ว่าผมร่วง อาเจียนแน่นอน แต่ มันเลวร้ายกว่านั้นมาก ผมแพ้ชนิดที่เรียกว่าร้ายแรงมาก อาเจียนมาก แทบทุก ชม.ไม่สามารถกินข้าวได้เลย บางครั้ง กลับมาบ้าน มีอาการหงุดหงิด ครั่นเนื้อ ครั่นตัว อาละวาด โวยวาย หลังจากเริ่มทำคีโมได้ สามเดือน ผมมีอาการผิดปกติ คือ มีอาการชาที่ปลายมือและปลายเท้า ทีแรก หมอบอกเป็นเรื่องปกติ แต่หลังจากนั้น อาการชาเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่ง มือ เท้า ปลายลิ้น ไม่สามารถรับความรู้สึกได้เลย จนไม่สามารถ เดิน หยิบสิ่งของ หรือ พูดได้อย่างชัดเจน จนเหมือนคนเป้นอัมพาตครึ่งท่อนล่าง เดินไม่ได้ ในที่สุด แต่ก้อยังหยุดให้เคโมไม่ได้ ต้องให้จนครบ นอกเหนืออาการชา แล้วยังมี เหยื่อบุในปาก เหงือกอ่อนแอ ผิวหนังหลุดง่าย เกร็ดเลือดต่ำไม่สามารถ แปรงฟัน หรือ อาบน้ำได้เลย เวลาแปรงทุกครั่งจะมีเลือดไหลออกมา และอาบน้ำผิวหนังจะหลุดเป็นแผ่น บางครั่ง ไปตรวจเลือดไม่ผ่านรับ คีโมไม่ได้ เเต่ก็ต้องฉีด vincristine เเค่เว้น ตัวยาอีกตัว ต่อไปอีก 1 อาทิตย์ ก็ต้องทดไปอี 1 อาทิตย์ จนกระทั่งครบคอร์สเคมีบำบำบัด จนเกิน 40 ครั้งน่าจะราวๆ 45-50 ครั่ง ตอนครบทุกคนในบ้านดีใจมาก ทำบุญบ้านยกใหญ่
**************************************************************************************************************
อาการทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นหลังจากครบเคมีบำบัด ผมใช้เครื่องช่วยเดินไปเรียนหนังสือได้ เริ่มใช้ชีวิตปกติ ผมคิดว่านั้นคือสิ่งที่ผ่านมาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผม ผมจึงกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติ แต่นั้นคือ ส่งที่ผมคิดผิด หลังจากเรียน ได้ 1 เทอม มะเร็งได้กลับมาอีกรอบครั้งนี้เป็นครั้งที่ร้ายแรงมากที่สุด มะเร็งกระจายไปที่ไขกระดูก กระดูกสันหลัง และปอด มะเร็งส่งผลดูดแคลเซียมออกมา ทำเกิดภาวะแคลเซียมเกิน ส่งผลให้ กระดูกบาง แล้วปวดกระดูกมากทั้งตัว จนไม่สามารถขยับร่างกายได้เลยแม้แต่จะขยับนิ้วก็ทำไม่ได้
หมอจึงให้มอร์ฟืนเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ผมปวด จน สลบ ไป หนึ่งวันเต็ม เคยบอกคุณแม่ว่า ผมขอตายได้ไหม ไม่อยากทรมานอยู่แบบนี้ ต้องทนปวดซึ่งไม่รู้ว่า จะหายเมื่อไร ไม่รู้ว่าเป็นไงต่อไป ณ ความรู้สึกตอนนั้น ความตายคือสิ่งที่ดีที่สุด คืออย่างน้อยก็ไม่ต้องมานอนเฉยๆ ขยับตัวไม่ได้ กินข้าวไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย ขยับทุกส่วนปวดทุกส่วน สุดจนต้องเข้าห้องไอซียู เนื่องจากร่ายกายดูดแคลเซียมเข้ากระเสเลือดมากกินไป ทำให้ไตวาย และมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นมากมาย เช่น น้ำท่วมปอด ติดเชื้อในกระแสเลือด ตอนนั้นจำได้ดีที่สุดคือตื่นมา มีสายอะไรไม่รู้มากมายเต็มร่างกาย เหมือนในหนังไม่มีผิด อยู่ไอซียู อยู่หลายวันสุดท้ายพออาการเริ่มดีขึ้น
ก็ย้ายมาเตียง โคม่าปกติ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นอย่างใด หมอ ถึง ตัดสินใจว่า จะฟอกไตหรือ ให้น้ำเกลือปริมาณมาก เพื่อช่วยไตที่กำลังจะวาย สุดท้ายหมอจึงตัดสินใจให้น้ำเกลือ ตอนนั้น น้ำหนัก 36 กก. หลังจากให้น้ำเกลือ ได้สามวัน น้ำหนักขึ้น เป็น 50 กก.เนื่องจากตัวบวมเพราะไตไม่ทำงาน กลับเข้ามาสู่ภาวะน้ำท่วมปอดอีกครั่งหนึ่ง หลังจากเสร็จการรักษาเรื่องปอดและไต กลับเข้าสู่ระยะปกติแล้วทุกอย่างเริ่มดีขึ้น วันต่อมา กลายเป็นลำไส้ติดเชื้อและ ติดเชื้อในกระแสเลือดต่อ มีอาการถ่ายเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด เป็นการรักษาที่ ทรมานมาก คือ อดน้ำอาหารทุกชนิด เป็นเวลา 7 วัน ผมได้นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงเนื่องจากขยับร่างกายไม่ได้ เหมือนวิบากกรรมจะยังไม่หมด เกิดแผลกดทับที่หลัง และก้น เป็นแผลที่น่ากลัวมาก ก้อรักษาตามอาการกันต่อไป พอเวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น
**************************************************************************************************************
แต่แล้ว ผมเป็นเริมที่แขน ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นได้เนื่องจาก ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำมาก ผมจึงถูกย้ายไปที่ห้องปลอดเชื้อเป็นห้องเล็กอยู่ได้คนเดียวเป็นกระจกใสๆ ขนาดพอดีกับเตียง ผมอยู่รักษาจนหาย แล้วกลับมาห้องปกติ สิ่งผมกลัวที่สุดมันกำลังจะเกิดขึ้น คือ หมอตัดสินใจ ทำการรังสีรักษา และให้คีโมอีกครั้ง ครั่งเเรกที่ได้ยินคำว่ากลับไปให้คีโม อีกครั่ง ตอนนั้นความรู้สึกทุกอย่างที่เลวร้ายในอดีตกำลังจะเกิดขึ้นใหม่ โดยหนักกว่าเดิม เพราะ สภาพผมตอนนี้ เดินไม่ได้ ยกเเขนไม่ได้ ขับถ่ายตนเตียง คุณเเม่ต้องแปรงฟัน ป้อนข้าว ยกเเก้วน้ำให้ ตอนนั้นได้เเต่มองไปรอบๆเตียง มองเห็นเด็ก ที่มาจาก ตจว. ไม่มีเงินทองพอจะรักษา บางคน ตัดขา ตัดเเขน ผ่า ผ่าสมอง บางคนนอนนิ่งเป็นเจ้าชายนิทรา ......กลับมามองดูตัวเรา เรายังเงินพอจะใช้จ่ายได้ มีเเม่ มีพ่อ มีทุกๆ คน มีเพื่อนที่รัก มาเยี่ยมตลอด ............นั้นคือสิ่งที่ทำให้ผมไม่อยากตาย.........
แต่ครั่งนี้ หมอบอกว่าเป็นการทำคีโมแบบไฮโดส คือให้ในปริมาณที่มากกว่าคราวก่อน ตอนนั้นตัดสินใจว่า เอาว่ะ ทำอะไรก็ทำไป หมอจึง ทำการตรวจโรคแบบละเอียดอีกครั่งหนึ่งก่อนให้เคมีบำบัด โดย เข้าเครื่อง ซีทีสแกน,โบนสแกน,เอ็มอาไอ และ เจาะไขกระดูก คือเป็นตรวจที่ทรมานมาก หลังจากเริ่มทำการรักษาและให้คีโม ครั่งนี้ผมได้บอกหมอว่าอยากทำอะไรทำ ขอแค่ให้หายก็พอ การให้เคมีครั่งนี้หนักกว่าคราวก่อนหลายร้อยเท่า เลยทีเดียว ผมต้องอยู่ในห้องแอร์ ที่เปิดตลอด ขับถ่ายบนเตียง ไม่ได้ออกไปไหนเลย จะออกก็ได้แค่ไปโรงพยาบาล เป็นเวลา ประมาณ 4-5 ปี
**************************************************************************************************************
เป็นเวลา ประมาณ 4-5 ปีกับการให้เคโม รอบใหม่ให้ยาประมาณ 40 ครั้ง อยู่ในห้องตัดขาดโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครสามารถเยี่ยมได้ เพราะ ร่างกายอ่อนมาก ติดเชื้อง่ายมาก แค่มีเชื้อโรคเล็กน้อยก็สามารถเสียชีวิตได้ พอเม็ดเลือดแดงต่ำ เกร็ดเลือด ต่ำ ก็ต้องมารับเลือดที่ รพ. บางครั้งแพ้เลือด ก็วุ่นวายกันอีก อาหารทุกอย่างต้องร้อน ห้ามกินของสด ผลไม้ผักสด เเม้กระทั่งพวงมาลัยดอกไม้สด ก็ไม่สามารถเข้ามาในห้องได้ ขนมปังห้ามเด็ดขาด เห็ดก็กินไม่ได้ อยากกินซอสมะเขือเทศก็ต้องเอาไปต้มก่อน อยากกินซีอิ้วจิ้มไข่ต้ม ก็ต้องต้มซีอิ้วจนเดือน น้ำที่กิน ต้องต้มจนเดือน และอยู่ได้แค่ 2 ชม. ต้องเปลี่ยนใหม่ อยูในห้องที่เปิดแอร์ตลอด กับทีวี 1 เครื่อง เเละ กองทัพยา กับอุปกรณ์ช่วยชีวิต
ยาที่ผมได้รับคราวนี้
1.doxorubicin (ผมเรียกแฟนต้าน้ำส้ม ... เคยออกนอกเส้นเลือดดำ 1 ครั่ง มือบวมเเสบร้อนทรมาน บวมเหมือน น้ำร้อนลวก และ ทำให้หัวใจผมโต)
2.Cyclophosphamide
3. Ifosfamide ( ตัวนี้ ผมเเพ้ยาขับปัสสาวะ เวลาฉีดจะเเสบที่เส้นเลือดดำเหมือน โดนมีบาดเเล้วเอาน้ำเกลือสาด เวลาฉีดนี้เเสบจนนอนร้องไห้ เเต่ทำไรไม่ได้ )
4. Cisplatin (ตัวนี้ทำให้หูผมเสีย ไม่ได้ยินเสียงต่ำกว่า 35 เดซิเบล เเละมีเสียงวื้ดดในหูตลอดเวลา ทุกวันนี้ก็เป็น เเละมีไตรั่วด้วย ทุกวันนี้ ฉี่ก็เป็นฟอง)
5. Etoposide (ตัวนี้ผมเเพ้ แปลกๆ มีอาการเเสบจมูกเหมือนดมทินเนอร์กลิ่นแรงๆ ตลอดเวลาที่ให้ ดิ้นทุรรทุรนอยู่บนเตียง ทรมานมากทุกครั่ง)
6. Irotecan (ตัวนี้ ที่สุดของที่สุด ท้องเสีย 100-200 ครั่ง ทุกครั้งที่ให้ จนต้องให้ยาหยุดถ่าย ก่อนรับยา )
มีทำการรังสีรักษา อีก 8 ครั่ง ที่กระดูกสันหลัง เพราะมีเนื้องอกอยู่ 2 ซม.**
****** เเต่ล่ะตัวให้สลับๆ กันไปตาม สูตรของหมอ*******
เผื่อใครอยากพูดคุยกับผม ผมยินดีให้คำเเนะนำ เเละส่งต่อกำลังใจ มาคุยกับผมได้ที่เพจ https://www.facebook.com/teerabangsarunthip ครับไม่ค่อยถนัดคุยในนี้เท่าไรครับ.......
ปล.ผมล็อคอินอมยิ้มผิดอันด้วย