เห็นรัฐบาล คสช.ตีปี๊บของขวัญปีใหม่คืนความสุขให้ผู้คน ทั้งข้าราชการ ลูกจ้างรัฐ แม้แต่ผู้แก่ผู้เฒ่าก็พลอยได้อานิสงไปด้วยแล้วก็ให้ดีใจแทนประชาชนคนไทยที่ได้รัฐบาลที่เข้าถึงหัวจิตหัวใจผู้คนขนาดนี้ จนอยาก “อวย” ให้รัฐบาลชุดนี้อยู่โยงกันไปนานๆ สัก 3 ปี 4 ปีหรือจะเป็น 10 ปีไปเลยยิ่งดี
แต่จะดีกว่านี้ หากรัฐบาล คสช.จะเร่งคืนความสุขให้เศรษฐกิจไทยได้พลิกฟื้นกลับมายืนได้อีกหน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยังคง “หาวเรอ” รอความชัดเจนจากนโยบายรัฐ ในการยกเลิกกฎอัยการศึกที่เป็นเหมือนบาดแผลลึกๆ ของวิกฤติความขัดแย้งที่ยังคงไม่หมดไป
และจะดีกว่านี้เป็นร้อยเท่าหากรัฐจะคืนความสุขให้นักท่องเที่ยวและประชาชนคนไทย ด้วยการ “ยกเครื่อง” กิจการที่ยังคงเป็น “เหลือบ” แฝงหากินอยู่กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยนั่นก็คือ กิจการร้านปลอดภาษีหรือ “ดิวตี้ฟรี” ที่ไม่รู้ว่ารัฐบาลชุดไหนไปประเคนให้บริษัทเอกชนเพียงรายเดียว “ผูกขาด” กิจการนี้อยู่ ทั้งที่ทั่วโลกเขาเปิดเสรีกันไปหมดแล้ว!
บางประเทศอย่างสิงคโปร์ หรือฮ่องกงนั้นถึงกับมีย่านปลอดภาษีอย่าง “ย่านอากิฮาบาร่า” ของญี่ปุ่น หรือย่าน Orchard Road ของสิงคโปร์ ยิ่งเกาะฮ่องกง และดูไบด้วยแล้ว เมืองทั้งเมืองเขาชูความเป็นเมืองปลอดภาษีดึงดูดนักท่องเที่ยวกันเลยทีเดียว
แต่เมืองไทยเราเหมือน “ต้องคำสาป” กิจการดิวตี้ฟรีทั้งในและนอกสนามบินกลับถูกผูกขาดไว้โดยกลุ่มทุนเพียงรายเดียว โดยไม่รู้ว่าหน่วยงานไหนเป็นผู้อนุมัติเสียด้วย จะว่าเป็นสัมปทานที่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.กำกับดูแลก็ไม่น่าจะใช่ เพราะ ทอท.นั้นให้สัมปทานก็แต่เฉพาะในสนามบินเท่านั้น
แต่กิจการดิวตี้ฟรีนอกสนามบินหรือ “ดาวทาวน์ดิวตี้ฟรี” ที่กลุ่มทุนรายนี้ได้สิทธิ์ผูกขาดผุดเป็นคอมเพล็กซ์ยักษ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าไปช็อปปิ้งกันเอิกเกริกนั้น กลับไม่มีใครบอกได้ว่าหน่วยงานใดเป็นผู้อนุมัติให้จัดตั้งหรือให้สัมปทาน จะว่าเปิดเสรีอยู่แล้วก็ไม่น่าจะใช่อีก เพราะใครอื่นก็ขอจัดตั้งไม่ได้!
ทั้งที่จะว่าไปการผูกขาดกิจการที่เป็นอยู่เวลานี้ รัฐหรือ ทอท.เองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ค่าต๋งสัมปทานที่ได้ก็มีแต่เฉพาะดิวตี้ฟรีในสนามบินเท่านั้น นอกสนามบินนั้นเขาไม่ได้จ่ายให้ ทอท.อยู่แล้ว ประเทศชาติได้อานิสงอะไรจากการผูกขาดดิวตี้ฟรีให้กลุ่มทุนรายนี้มานับทศวรรษนั้นก็นึกไม่ออก!
แม้ก่อนหน้านี้ “บิ๊กจิน- พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง” รมว.คมนาคม จะมีนโยบายให้เอกชนรายอื่นเข้ามาประกอบกิจการร้านปลอดภาษี ทั้งในและนอกสนามบินเพื่อให้เกิดการแข่งขัน แต่จนแล้วจนรอดดูเหมือนแนวนโยบายดังกล่าวจะ “หายเข้ากลีบเมฆ” ไปแล้ว จะเพราะอะไรนั้นก็ให้น่าแปลกใจ
หากจะถามว่ามีธุรกิจใดบ้างที่ทำแผนลงทุนทั้งโครงการเอาไว้แค่ 400 ล้านบาทเศษ แต่กลับสร้างกำรี้กำไรให้แก่เจ้าของเป็นกอบเป็นกำฟันกำไรปีละนับหมื่นล้านบาทได้ ก็คงต้องบอกว่า ก็สัมปทาน “ดิวตี้ฟรี” ที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันนี่แหล่ะท่านประธานซุปเปอร์บอร์ด!
กำไรมหาศาลแค่ไหนนั้น ก็ขนาดซื้อสโมสรฟุตบอลใหญ่ในพรีเมียร์ลีกมาครองได้ก็แล้วกัน!
..........
ในช่วงรัฐบาล คมช.ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หลังการปฏิวัติเมื่อปี 2549 นั้น กระทรวงคมนาคมและบอร์ด ทอท.เคยตั้งคณะทำงานขึ้นตรวจสอบไล่เบี้ยสัมปทานดิวตี้ฟรีในสนามบินสุวรรณภูมินี้อย่างถึงพริกถึงขิง และถึงขั้นจะยกเลิกสัมปทานกันมาหนแล้ว
เพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดสัมปทานดิวตี้ฟรีที่มีวงเงินหมุนเวียนนับพันล้าน เฉพาะผลตอบแทนที่จ่ายแก่รัฐคือ ทอท.ก็สูงนับหมื่นล้านบาทแล้ว แต่กลับไม่เข้าข่ายโครงการสัมปทานตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 2535
ในเวลานั้นฝ่ายบริหาร ทอท.ต่างออกโรงยืนยัน นั่งยันว่าโครงการนี้ไม่เข้าข่ายโครงการสัมปทาน เพราะมีวงเงินลงทุนทั้งโครงการเพียง 800 ล้านบาทเศษเท่านั้น เป็นส่วนที่ ทอท.ลงทุนคือพื้นที่สัมปทาน 5,000 ตร.ม. 405 ล้านบาท และส่วนของบริษัทเอกชนที่ลงทุนด้านคลังสินค้าประกอบการอีกราว 400 ล้านบาทเศษ จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 35 ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะ “เกี้ยเซี๊ยะ” เจรจารามือกันไป!
บร๊ะเจ้า! เอกชนผู้รับสัมปทานร้านปลอดภาษีใน 4 สนามบินของ ทอท.ลงทุนแค่ 408 ล้านบาท แต่กลับสามารถสร้างดอกผลกำรี้กำไรให้แก่เจ้าของปีละนับหมื่นล้าน!
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายบริหาร ทอท.พากัน “ปกปิด” สังคมมาโดยตลอดก็คือการประเคนสัมปทานประกอบการร้านปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินในภูมิภาคอีก 3 แห่งของ ทอท.คือ เชียงใหม่ หาดใหญ่ และภูเก็ตนั้น มีรายการ “หมกเม็ด” ให้ “สัมปทานบิน” เอาไว้ด้วย
เพราะสัมปทานดิวตี้ฟรีแต่เดิมนั้นตั้งอยู่ในสนามบินดอนเมืองเท่านั้น แต่กลับมีการสุมหัวทำเรื่องขอต่อสัมปทานข้ามห้วย มาฮุบกิจการดิวตี้ฟรีในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เป็นคนละนิติบุคคลและหาใช่กิจการของ ทอท.แต่อย่างใด เพราะในเวลานั้นสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด หรือ บทม.ซึ่งเป็นคนละนิติบุคคลกันชัดเจน
เรียกได้ว่าเป็นการมั่วนิ่มให้ “สัมปทานบิน” กันโดยตรงเลยก็ว่าได้ แต่เรื่องดังกล่าวกลับไม่มีหน่วยงานใดล้วงลูกเข้ามาตรวจสอบ เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็มีการสุมหัวยุบเลิกบริษัท บทม.โอนกิจการสนามบินสุวรรณภูมิกลับมาอยู่ในอ้อมอก ทอท.เพื่อไม่ให้มีใครขุดคุ้ยเรื่องอื้อฉาวนี้กันได้อีก!
“สัมปทานบิน” สุดอื้อฉาวที่มีการ “ซุกไต้พรหม” กันไว้แบบนี้ รัฐบาล คสช.และโดยเฉพาะคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่เอาแต่ตีปี๊บรณรงค์ให้ผู้คนทุกภาคส่วนได้ร่วมกันตรวจสอบการดำเนินโครงการต่างๆ ไม่คิดจะล้วงลูกเข้ามาตรวจสอบและปลดล็อคโซ่ตรวนเพื่อคืนความสุขให้แก่นักท่องเที่ยวกันบ้างหรือ?
สัมปทาน “ดิวตี้ ฟรี”…โจทย์หินคืนความสุขนักท่องเที่ยว?
แต่จะดีกว่านี้ หากรัฐบาล คสช.จะเร่งคืนความสุขให้เศรษฐกิจไทยได้พลิกฟื้นกลับมายืนได้อีกหน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยังคง “หาวเรอ” รอความชัดเจนจากนโยบายรัฐ ในการยกเลิกกฎอัยการศึกที่เป็นเหมือนบาดแผลลึกๆ ของวิกฤติความขัดแย้งที่ยังคงไม่หมดไป
และจะดีกว่านี้เป็นร้อยเท่าหากรัฐจะคืนความสุขให้นักท่องเที่ยวและประชาชนคนไทย ด้วยการ “ยกเครื่อง” กิจการที่ยังคงเป็น “เหลือบ” แฝงหากินอยู่กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยนั่นก็คือ กิจการร้านปลอดภาษีหรือ “ดิวตี้ฟรี” ที่ไม่รู้ว่ารัฐบาลชุดไหนไปประเคนให้บริษัทเอกชนเพียงรายเดียว “ผูกขาด” กิจการนี้อยู่ ทั้งที่ทั่วโลกเขาเปิดเสรีกันไปหมดแล้ว!
บางประเทศอย่างสิงคโปร์ หรือฮ่องกงนั้นถึงกับมีย่านปลอดภาษีอย่าง “ย่านอากิฮาบาร่า” ของญี่ปุ่น หรือย่าน Orchard Road ของสิงคโปร์ ยิ่งเกาะฮ่องกง และดูไบด้วยแล้ว เมืองทั้งเมืองเขาชูความเป็นเมืองปลอดภาษีดึงดูดนักท่องเที่ยวกันเลยทีเดียว
แต่เมืองไทยเราเหมือน “ต้องคำสาป” กิจการดิวตี้ฟรีทั้งในและนอกสนามบินกลับถูกผูกขาดไว้โดยกลุ่มทุนเพียงรายเดียว โดยไม่รู้ว่าหน่วยงานไหนเป็นผู้อนุมัติเสียด้วย จะว่าเป็นสัมปทานที่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.กำกับดูแลก็ไม่น่าจะใช่ เพราะ ทอท.นั้นให้สัมปทานก็แต่เฉพาะในสนามบินเท่านั้น
แต่กิจการดิวตี้ฟรีนอกสนามบินหรือ “ดาวทาวน์ดิวตี้ฟรี” ที่กลุ่มทุนรายนี้ได้สิทธิ์ผูกขาดผุดเป็นคอมเพล็กซ์ยักษ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าไปช็อปปิ้งกันเอิกเกริกนั้น กลับไม่มีใครบอกได้ว่าหน่วยงานใดเป็นผู้อนุมัติให้จัดตั้งหรือให้สัมปทาน จะว่าเปิดเสรีอยู่แล้วก็ไม่น่าจะใช่อีก เพราะใครอื่นก็ขอจัดตั้งไม่ได้!
ทั้งที่จะว่าไปการผูกขาดกิจการที่เป็นอยู่เวลานี้ รัฐหรือ ทอท.เองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ค่าต๋งสัมปทานที่ได้ก็มีแต่เฉพาะดิวตี้ฟรีในสนามบินเท่านั้น นอกสนามบินนั้นเขาไม่ได้จ่ายให้ ทอท.อยู่แล้ว ประเทศชาติได้อานิสงอะไรจากการผูกขาดดิวตี้ฟรีให้กลุ่มทุนรายนี้มานับทศวรรษนั้นก็นึกไม่ออก!
แม้ก่อนหน้านี้ “บิ๊กจิน- พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง” รมว.คมนาคม จะมีนโยบายให้เอกชนรายอื่นเข้ามาประกอบกิจการร้านปลอดภาษี ทั้งในและนอกสนามบินเพื่อให้เกิดการแข่งขัน แต่จนแล้วจนรอดดูเหมือนแนวนโยบายดังกล่าวจะ “หายเข้ากลีบเมฆ” ไปแล้ว จะเพราะอะไรนั้นก็ให้น่าแปลกใจ
หากจะถามว่ามีธุรกิจใดบ้างที่ทำแผนลงทุนทั้งโครงการเอาไว้แค่ 400 ล้านบาทเศษ แต่กลับสร้างกำรี้กำไรให้แก่เจ้าของเป็นกอบเป็นกำฟันกำไรปีละนับหมื่นล้านบาทได้ ก็คงต้องบอกว่า ก็สัมปทาน “ดิวตี้ฟรี” ที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันนี่แหล่ะท่านประธานซุปเปอร์บอร์ด!
กำไรมหาศาลแค่ไหนนั้น ก็ขนาดซื้อสโมสรฟุตบอลใหญ่ในพรีเมียร์ลีกมาครองได้ก็แล้วกัน!
..........
ในช่วงรัฐบาล คมช.ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หลังการปฏิวัติเมื่อปี 2549 นั้น กระทรวงคมนาคมและบอร์ด ทอท.เคยตั้งคณะทำงานขึ้นตรวจสอบไล่เบี้ยสัมปทานดิวตี้ฟรีในสนามบินสุวรรณภูมินี้อย่างถึงพริกถึงขิง และถึงขั้นจะยกเลิกสัมปทานกันมาหนแล้ว
เพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดสัมปทานดิวตี้ฟรีที่มีวงเงินหมุนเวียนนับพันล้าน เฉพาะผลตอบแทนที่จ่ายแก่รัฐคือ ทอท.ก็สูงนับหมื่นล้านบาทแล้ว แต่กลับไม่เข้าข่ายโครงการสัมปทานตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 2535
ในเวลานั้นฝ่ายบริหาร ทอท.ต่างออกโรงยืนยัน นั่งยันว่าโครงการนี้ไม่เข้าข่ายโครงการสัมปทาน เพราะมีวงเงินลงทุนทั้งโครงการเพียง 800 ล้านบาทเศษเท่านั้น เป็นส่วนที่ ทอท.ลงทุนคือพื้นที่สัมปทาน 5,000 ตร.ม. 405 ล้านบาท และส่วนของบริษัทเอกชนที่ลงทุนด้านคลังสินค้าประกอบการอีกราว 400 ล้านบาทเศษ จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 35 ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะ “เกี้ยเซี๊ยะ” เจรจารามือกันไป!
บร๊ะเจ้า! เอกชนผู้รับสัมปทานร้านปลอดภาษีใน 4 สนามบินของ ทอท.ลงทุนแค่ 408 ล้านบาท แต่กลับสามารถสร้างดอกผลกำรี้กำไรให้แก่เจ้าของปีละนับหมื่นล้าน!
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายบริหาร ทอท.พากัน “ปกปิด” สังคมมาโดยตลอดก็คือการประเคนสัมปทานประกอบการร้านปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินในภูมิภาคอีก 3 แห่งของ ทอท.คือ เชียงใหม่ หาดใหญ่ และภูเก็ตนั้น มีรายการ “หมกเม็ด” ให้ “สัมปทานบิน” เอาไว้ด้วย
เพราะสัมปทานดิวตี้ฟรีแต่เดิมนั้นตั้งอยู่ในสนามบินดอนเมืองเท่านั้น แต่กลับมีการสุมหัวทำเรื่องขอต่อสัมปทานข้ามห้วย มาฮุบกิจการดิวตี้ฟรีในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เป็นคนละนิติบุคคลและหาใช่กิจการของ ทอท.แต่อย่างใด เพราะในเวลานั้นสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด หรือ บทม.ซึ่งเป็นคนละนิติบุคคลกันชัดเจน
เรียกได้ว่าเป็นการมั่วนิ่มให้ “สัมปทานบิน” กันโดยตรงเลยก็ว่าได้ แต่เรื่องดังกล่าวกลับไม่มีหน่วยงานใดล้วงลูกเข้ามาตรวจสอบ เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็มีการสุมหัวยุบเลิกบริษัท บทม.โอนกิจการสนามบินสุวรรณภูมิกลับมาอยู่ในอ้อมอก ทอท.เพื่อไม่ให้มีใครขุดคุ้ยเรื่องอื้อฉาวนี้กันได้อีก!
“สัมปทานบิน” สุดอื้อฉาวที่มีการ “ซุกไต้พรหม” กันไว้แบบนี้ รัฐบาล คสช.และโดยเฉพาะคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่เอาแต่ตีปี๊บรณรงค์ให้ผู้คนทุกภาคส่วนได้ร่วมกันตรวจสอบการดำเนินโครงการต่างๆ ไม่คิดจะล้วงลูกเข้ามาตรวจสอบและปลดล็อคโซ่ตรวนเพื่อคืนความสุขให้แก่นักท่องเที่ยวกันบ้างหรือ?