เป็นอีกก้าวของการปฏิรูปเพื่อ “คืนความสุขแก่นักท่องเที่ยว” ที่ต้องชูจั๊กแร้เชียร์...กับเรื่องที่ “บิ๊กจิน-พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง” รมว.คมนาคม อยากให้มีการเพิ่มผู้ประกอบกิจการร้านปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) ในสนามบินมากกว่า 1 ราย จากปัจจุบันที่ผูกขาดอยู่เพียงรายเดียวคือ คิงเพาเวอร์ดิวตี้ฟรี โดยที่ประชุมฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการศึกษาและวางกรอบเรื่องดังกล่าวไปแล้ว
สอดคล้องกับที่ก่อนหน้า กรมศุลกากรก็เพิ่งอนุมัติให้ใบอนุญาตกิจการปลอดภาษี “ดิวตี้ฟรี”นอกสนามบิน ที่จังหวัดหนองคาย ประเดิมเป็นแห่งแรกของประเทศไปแล้ว โดยได้อนุมัติให้บริษัท ฟอร์จูน โลจิสติกส์ จำกัด เป็นผู้ประกอบกิจการดิวตี้ฟรีแห่งแรก ตั้งอยู่ริมถนนบายพาส ห่างจากด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ไม่ถึง 1 กิโลเมตร จำหน่ายสินค้าบุหรี่ สุรา และไวน์ ชั้นบนจะเป็นสินค้าประเภทเครื่องหนัง เข็มขัด กระเป๋า และเสื้อผ้าส่วนบริเวณรอบๆ จะเปิดบริการร้านอาหารและร้านกาแฟใช้เงินลงทุนไป 22 ล้านบาท
นายอัสนี เรืองบุญ นายด่านศุลกากรหนองคายกล่าวว่า ร้านหนองคายดิวตี้ฟรีนี้ ถือเป็นร้านค้าปลอดอากรในเมือง เหมือนร้านปลอดอากรของ “คิง เพาเวอร์” ที่ซอยรางน้ำ กรุงเทพฯ เป็นการอนุญาตตามกฎหมายศุลกากร โดยหลักการคือสินค้าที่จะนำเข้ามาขายภายในร้านจะถูกควบคุมโดยสำนักสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และจะมีการตรวจสอบสต๊อกสินค้าอย่างเข้มงวด ลูกค้าที่จะซื้อสินค้าได้ต้องเป็นคนที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ หรือมีโครงการจะเดินทางไปต่างประเทศเวลาซื้อต้องมีหนังสือเดินทางไปด้วย และต้องไปรับสินค้าที่จุดส่งสินค้า Pick up Point ขาออกหลังจากผ่านขั้นตอนทาง ตม.แล้ว
เห็นกรมศุลกากรคืนความสุขให้นักท่องเที่ยวในหัวเมืองในต่างจังหวัดนำร่อง ขณะที่ “บิ๊กจิน”เองก็ออกมาขานรับนโยบายที่จะเพิ่มผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีเพื่อลดการผูกขาดแล้ว ก็อยากถือโอกาสนี้หนุนให้รัฐได้ปฏิรูปร้านปลอดภาษีไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ให้เป็นรูปธรรมด้วยเสียเลย
เพราะอย่างที่ทุกฝ่ายรู้แก่ใจกันดี วันนี้ทั่วโลกต่างเปิดเสรีกิจการดิวตี้ฟรีกันไปหมดแล้ว ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้อย่างฮ่องกง สิงคโปร์ หรือญี่ปุ่น มีการผุดร้านปลอดภาษีกันขึ้นมาเป็นย่านการค้าปลอดภาษีโดยตรง อย่างย่านอากิฮาบาร่าของญี่ปุ่น หรือมงก๊กของฮ่องกง เออร์ชาร์ดโร้ดของสิงคโปร์ ยิ่งกับดินแดนตะวันออกกลางอย่าง “ดูไบ” นั้นแทบจะเรียกได้ว่า ขายความเป็นเมืองท่า “ฟรีพอร์ต” ปลอดภาษีทั้งประเทศที่ผู้คนจะต้องไปเยือน
แต่สำหรับประเทศไทย กิจการปลอดภาษีกลับถูก “ปิดประตูลั่นดาน” ผูกขาดโดยกลุ่มทุนการเมืองกลุ่มเดียวมานานนับทศวรรษ โดยไม่มีใครบอกได้ว่า เหตุใดรัฐถึงให้อภิสิทธิ์กลุ่มทุนการเมืองรายหนึ่งผูกขาดการประกอบกิจการดิวตี้ฟรีในเมืองไทยโดยไม่มีคู่แข่ง
ทั้งที่หัวเมืองในต่างจังหวัดที่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ที่เป็นที่รู้จักของนักนักท่องเที่ยวนั้นต่างมีศักยภาพที่จะจัดตั้งร้านค้าปลอดภาษีได้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ด่านชายแดนปาร์ดังเบซา หรือย่านช็อปปิ้งสตรีทที่เชียงใหม่ เชียงราย หรือด่านสิงขรของกาญจนบุรี ที่นายกฯตู่เพิ่งไปเยือนมา หรือแม้แต่จังหวัดบุรีรัมย์ที่กำลังตีฆ้องจะปลุกปั้นสนามแข่งฟอร์มูลล่าร์วันในระดับอินเตอร์อยู่นั้น หากมีการผุดร้านปลอดภาษีเสริมเข้าไปอีกจะยิ่งเป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดการท่องเที่ยวยิ่งขึ้นไปอีก
ยิ่งย่านร้านค้าราชประสงค์ ชิดลม พญาไทย ซึ่งมีผู้ประกอบการที่มีศักยภาพมากมาย และเป็น 1 ในข้อเรียกร้องที่ผู้ประกอบการเรียกร้องต่อรัฐมาโดยตลอด แต่อุปสรรคไปอยู่ที่นโยบายภาครัฐเองที่ไม่เปิดกว้าง ปกป้องผลประโยชน์ของเอกชนกลุ่มทุนการเมืองเป็นกลุ่มเดียว คิงเพาเวอร์ คิงออฟดิวตี้ฟรี ทั้งที่รายอื่นๆ ที่มีศักยภาพก็ยังมีอยู่มาก และจะทำให้เมืองไทยเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว นักช็อปปิ้งได้ไม่ยาก
บริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท.ก็แค่จัดตั้งศูนย์ Pick up Center ในสนามบินเพื่อเป็นจุดรับส่งสินค้าปลอดภาษีก่อนขึ้นเครื่อง ได้ค่าเช่า หรือหากรัฐจะจัดเก็บค่าต๋ง ค่าสัมปทานก็ไม่ผิดกติกา เพราะปลอดภาษีไม่ได้ปลอดค่าธรรมเนียมค่าสัมปทาน ทุกรายการที่ขายออกไปหากจัดออนไลน์ เรียกเก็บค่าธรรมเนียม 15% ย่อมทำได้อยู่แล้ว
ถ้าจะทำก็ต้องทำในรัฐบาล คสช.ชุดนี้แหละท่านนายกฯตู่ที่เคารพ! เพราะเชื่อมือว่าไม่ได้ตีเกราะเคาะกะลาหรือเอื้อประโยชน์แก่ใคร หรือปกป้องผลประโยชน์กลุ่มทุนการเมืองใดจะไปหวังรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่! แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของ “บิ๊กจิน” จะกล้า “หักดิบ” ทุบขุมทรัพย์ดิวตี้ฟรีที่ว่านี้ได้แน่หรือ เพราะใครต่อใครที่ได้ยินกิติศัพท์ “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” ต่างก็ขยาดไม่อยากจะไปตอแยด้วย
บิ๊กหรือไม่บิ๊ก ก็ขนาดบอร์ด ทอท.ที่ถือได้ว่าเป็น “ขุมทรัพย์” ทัพฟ้ามาแต่อ้อนแต่ออก วันนี้ประธานบอร์ดที่ถูกส่งข้ามห้วยเข้ามาปาดหน้าเค้กก็ยังเป็นสายตรงที่ถูกส่งข้ามห้วยมาจากซอยรางน้ำ แล้วนับประสาอะไรกับการจะไปไล่เบี้ยสัมปทาน “ดิวตี้ฟรี”
ปฏิรูปสัมปทานดิวตี้ฟรี! โจทย์หินในมือ “บิ๊กจิน”
สอดคล้องกับที่ก่อนหน้า กรมศุลกากรก็เพิ่งอนุมัติให้ใบอนุญาตกิจการปลอดภาษี “ดิวตี้ฟรี”นอกสนามบิน ที่จังหวัดหนองคาย ประเดิมเป็นแห่งแรกของประเทศไปแล้ว โดยได้อนุมัติให้บริษัท ฟอร์จูน โลจิสติกส์ จำกัด เป็นผู้ประกอบกิจการดิวตี้ฟรีแห่งแรก ตั้งอยู่ริมถนนบายพาส ห่างจากด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ไม่ถึง 1 กิโลเมตร จำหน่ายสินค้าบุหรี่ สุรา และไวน์ ชั้นบนจะเป็นสินค้าประเภทเครื่องหนัง เข็มขัด กระเป๋า และเสื้อผ้าส่วนบริเวณรอบๆ จะเปิดบริการร้านอาหารและร้านกาแฟใช้เงินลงทุนไป 22 ล้านบาท
นายอัสนี เรืองบุญ นายด่านศุลกากรหนองคายกล่าวว่า ร้านหนองคายดิวตี้ฟรีนี้ ถือเป็นร้านค้าปลอดอากรในเมือง เหมือนร้านปลอดอากรของ “คิง เพาเวอร์” ที่ซอยรางน้ำ กรุงเทพฯ เป็นการอนุญาตตามกฎหมายศุลกากร โดยหลักการคือสินค้าที่จะนำเข้ามาขายภายในร้านจะถูกควบคุมโดยสำนักสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และจะมีการตรวจสอบสต๊อกสินค้าอย่างเข้มงวด ลูกค้าที่จะซื้อสินค้าได้ต้องเป็นคนที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ หรือมีโครงการจะเดินทางไปต่างประเทศเวลาซื้อต้องมีหนังสือเดินทางไปด้วย และต้องไปรับสินค้าที่จุดส่งสินค้า Pick up Point ขาออกหลังจากผ่านขั้นตอนทาง ตม.แล้ว
เห็นกรมศุลกากรคืนความสุขให้นักท่องเที่ยวในหัวเมืองในต่างจังหวัดนำร่อง ขณะที่ “บิ๊กจิน”เองก็ออกมาขานรับนโยบายที่จะเพิ่มผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีเพื่อลดการผูกขาดแล้ว ก็อยากถือโอกาสนี้หนุนให้รัฐได้ปฏิรูปร้านปลอดภาษีไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ให้เป็นรูปธรรมด้วยเสียเลย
เพราะอย่างที่ทุกฝ่ายรู้แก่ใจกันดี วันนี้ทั่วโลกต่างเปิดเสรีกิจการดิวตี้ฟรีกันไปหมดแล้ว ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้อย่างฮ่องกง สิงคโปร์ หรือญี่ปุ่น มีการผุดร้านปลอดภาษีกันขึ้นมาเป็นย่านการค้าปลอดภาษีโดยตรง อย่างย่านอากิฮาบาร่าของญี่ปุ่น หรือมงก๊กของฮ่องกง เออร์ชาร์ดโร้ดของสิงคโปร์ ยิ่งกับดินแดนตะวันออกกลางอย่าง “ดูไบ” นั้นแทบจะเรียกได้ว่า ขายความเป็นเมืองท่า “ฟรีพอร์ต” ปลอดภาษีทั้งประเทศที่ผู้คนจะต้องไปเยือน
แต่สำหรับประเทศไทย กิจการปลอดภาษีกลับถูก “ปิดประตูลั่นดาน” ผูกขาดโดยกลุ่มทุนการเมืองกลุ่มเดียวมานานนับทศวรรษ โดยไม่มีใครบอกได้ว่า เหตุใดรัฐถึงให้อภิสิทธิ์กลุ่มทุนการเมืองรายหนึ่งผูกขาดการประกอบกิจการดิวตี้ฟรีในเมืองไทยโดยไม่มีคู่แข่ง
ทั้งที่หัวเมืองในต่างจังหวัดที่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ที่เป็นที่รู้จักของนักนักท่องเที่ยวนั้นต่างมีศักยภาพที่จะจัดตั้งร้านค้าปลอดภาษีได้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ด่านชายแดนปาร์ดังเบซา หรือย่านช็อปปิ้งสตรีทที่เชียงใหม่ เชียงราย หรือด่านสิงขรของกาญจนบุรี ที่นายกฯตู่เพิ่งไปเยือนมา หรือแม้แต่จังหวัดบุรีรัมย์ที่กำลังตีฆ้องจะปลุกปั้นสนามแข่งฟอร์มูลล่าร์วันในระดับอินเตอร์อยู่นั้น หากมีการผุดร้านปลอดภาษีเสริมเข้าไปอีกจะยิ่งเป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดการท่องเที่ยวยิ่งขึ้นไปอีก
ยิ่งย่านร้านค้าราชประสงค์ ชิดลม พญาไทย ซึ่งมีผู้ประกอบการที่มีศักยภาพมากมาย และเป็น 1 ในข้อเรียกร้องที่ผู้ประกอบการเรียกร้องต่อรัฐมาโดยตลอด แต่อุปสรรคไปอยู่ที่นโยบายภาครัฐเองที่ไม่เปิดกว้าง ปกป้องผลประโยชน์ของเอกชนกลุ่มทุนการเมืองเป็นกลุ่มเดียว คิงเพาเวอร์ คิงออฟดิวตี้ฟรี ทั้งที่รายอื่นๆ ที่มีศักยภาพก็ยังมีอยู่มาก และจะทำให้เมืองไทยเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว นักช็อปปิ้งได้ไม่ยาก
บริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท.ก็แค่จัดตั้งศูนย์ Pick up Center ในสนามบินเพื่อเป็นจุดรับส่งสินค้าปลอดภาษีก่อนขึ้นเครื่อง ได้ค่าเช่า หรือหากรัฐจะจัดเก็บค่าต๋ง ค่าสัมปทานก็ไม่ผิดกติกา เพราะปลอดภาษีไม่ได้ปลอดค่าธรรมเนียมค่าสัมปทาน ทุกรายการที่ขายออกไปหากจัดออนไลน์ เรียกเก็บค่าธรรมเนียม 15% ย่อมทำได้อยู่แล้ว
ถ้าจะทำก็ต้องทำในรัฐบาล คสช.ชุดนี้แหละท่านนายกฯตู่ที่เคารพ! เพราะเชื่อมือว่าไม่ได้ตีเกราะเคาะกะลาหรือเอื้อประโยชน์แก่ใคร หรือปกป้องผลประโยชน์กลุ่มทุนการเมืองใดจะไปหวังรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่! แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของ “บิ๊กจิน” จะกล้า “หักดิบ” ทุบขุมทรัพย์ดิวตี้ฟรีที่ว่านี้ได้แน่หรือ เพราะใครต่อใครที่ได้ยินกิติศัพท์ “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” ต่างก็ขยาดไม่อยากจะไปตอแยด้วย
บิ๊กหรือไม่บิ๊ก ก็ขนาดบอร์ด ทอท.ที่ถือได้ว่าเป็น “ขุมทรัพย์” ทัพฟ้ามาแต่อ้อนแต่ออก วันนี้ประธานบอร์ดที่ถูกส่งข้ามห้วยเข้ามาปาดหน้าเค้กก็ยังเป็นสายตรงที่ถูกส่งข้ามห้วยมาจากซอยรางน้ำ แล้วนับประสาอะไรกับการจะไปไล่เบี้ยสัมปทาน “ดิวตี้ฟรี”