สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ หลุดพ้นแล้วจากรูป เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้นามว่า “สัมมาสัมพุทธะ”.
ภิกษุ ท. ! แม้ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์ ก็หลุดพ้นแล้วจากรูป เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด
ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้นามว่า “ปัญญาวิมุตต์”
ภิกษุ ท. ! เมื่อเป็นผู้หลุดพ้นจากรูป เป็นต้น ด้วยกันทั้งสองพวกแล้ว, อะไรเป็นความผิดแผกแตกต่างกันอะไรเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน อะไรเป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับ ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์ ?
ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น,
ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ ให้มีคนรู้, ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าว ให้เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว,
ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค), เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค), เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค);
ภิกษุ ท.! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้ เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค) เป็นผู้ตามมาในภายหลัง.
ภิกษุ ท. ! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกันเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์.
------------------------------------------------------------
ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครจะโง่หรือฉลาดในเรื่องใด
เพราะไม่ได้มีปกติ เพ่งเล็งใครว่าโง่หรือฉลาด
เพื่อนำมาเทียบกับตนเองว่าฉลาดกว่า หรือโง่กว่าใคร
แต่ตามหัวข้อของ จขกท ผมมีความคิดอย่างนี้ว่า
คำสอนของสาวกใดๆ ก็ตามในกาลนี้
ที่กล่าวตรงกับพระผู้มีพระภาค หรือนำคำพระผู้มีพระภาคมาสอน
ย่อมเสมือนหนึ่งคำของพระผู้มีพระภาค เช่นกัน
แต่หากคำสอนใดเกินเลยนอกเหนือจากคำสอนของพระผู้มีพระภาค
เข้ากันไม่ได้ ลงกันไม่ได้ ย่อมสมควรแล้วที่จะละทิ้งเสีย ตามหลักมหาปะเทศ ๔
มิได้คิดว่า ถ้าเป็นคำสาวกแล้วจะไม่ฟังเอาเสียเลย
ภิกษุ ท. ! แม้ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์ ก็หลุดพ้นแล้วจากรูป เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด
ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้นามว่า “ปัญญาวิมุตต์”
ภิกษุ ท. ! เมื่อเป็นผู้หลุดพ้นจากรูป เป็นต้น ด้วยกันทั้งสองพวกแล้ว, อะไรเป็นความผิดแผกแตกต่างกันอะไรเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน อะไรเป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับ ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์ ?
ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น,
ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ ให้มีคนรู้, ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าว ให้เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว,
ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค), เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค), เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค);
ภิกษุ ท.! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้ เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค) เป็นผู้ตามมาในภายหลัง.
ภิกษุ ท. ! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกันเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์.
------------------------------------------------------------
ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครจะโง่หรือฉลาดในเรื่องใด
เพราะไม่ได้มีปกติ เพ่งเล็งใครว่าโง่หรือฉลาด
เพื่อนำมาเทียบกับตนเองว่าฉลาดกว่า หรือโง่กว่าใคร
แต่ตามหัวข้อของ จขกท ผมมีความคิดอย่างนี้ว่า
คำสอนของสาวกใดๆ ก็ตามในกาลนี้
ที่กล่าวตรงกับพระผู้มีพระภาค หรือนำคำพระผู้มีพระภาคมาสอน
ย่อมเสมือนหนึ่งคำของพระผู้มีพระภาค เช่นกัน
แต่หากคำสอนใดเกินเลยนอกเหนือจากคำสอนของพระผู้มีพระภาค
เข้ากันไม่ได้ ลงกันไม่ได้ ย่อมสมควรแล้วที่จะละทิ้งเสีย ตามหลักมหาปะเทศ ๔
มิได้คิดว่า ถ้าเป็นคำสาวกแล้วจะไม่ฟังเอาเสียเลย
ความคิดเห็นที่ 6
ความคิดเห็นที่ 2...............สมาชิกหมายเลข 1475871 (ธาตุดำ สำนักชีช้าง)
1 จริงแล้ว สำนึกคึกฤทธิ์ เขาก็อยากสร้างขั้วอำนาจใหม่
เขาแสดงตนชัดเจน ไม่ต้องการขึ้นกับ มหาเถระ พูดในประเด็น สมัยพุทธกาลก็ไม่มี
แต่ก็แอ๊บไปกราบสมเด็จที่วัดปากน้ำ
พระสงฆ์มีอำนาจด้วยหรือครับ พระไม่เหมือนชีนะครับ ที่สั่งให้ลูกศิษย์แก้ผ้าได้
แล้วเรื่องพระเถระหรือสมเด็จ เขาก็บอกอยู่ทนโท่ว่า เรื่องธรรมแล้วไม่ฟังคำสาวก
แบบนี้แล้วธาตุดำยังจะโยงเรื่องว่าพระคึกฤทธิ์ไปกราบสมเด็จเพราะเชื่อธรรมของสมเด็จหรือ
เขาไปกราบในฐานะอะไร กราบในฐานะพระอาวุโสหรือเปล่า
กราบในฐานะของคนที่รู้จักเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า........หาเรื่องเขาก็โยงมันได้ทุกเรื่อง
นี่ถ้าเป็นศาลไคฟง โดนท่านเปาตบปากฉีกแน่
2 ไม่ให้ฟังคำคนอื่น แต่พูดทีไร ใส่ความเห็นตนเองเสมอๆ
ไอ้ที่บอก"ความเห็น" พระคึกฤทธิ์บอกเองหรือเปล่า ก็เขาบอกเองว่า ที่เขาพูดเอามาจาก"พุทธวจนะ"
ส่วนมันจะใช่หรือไม่มันก็เป็นอีกเรื่อง มันไม่ต้องให้คนที่ยังงมงายกับการแก้ผ้าแก้กรรมมาชี้ "ถูกผิด"
จะใส่ความใครเอาให้มันเนียนกว่านี่หน่อยธาตุดำ เอาแบบนี้เลยดีกว่า ท้าให้พระคึกฤทธิ์ไปหาชีช้าง
ให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย
3 บาลี แปลผิดๆถูกๆ เขาตำหนิ ก้ไม่เคยออกมาขอโทษ
คนตำหนิเป็นเจ้าของภาษาหรือเปล่า ทั้งหมดทั้งมวลมันก็คนไทย เกิดมาพร้อมกับภาษาไทย
ดันมาชี้ถูกชี้ผิดภาษาของคนอื่น เรื่องตื้นๆแค่นี้ยังไม่รู้
แล้วชาวพุทะทุกคนเขารู้กันทั้งโลกว่า ห้ามเปลี่ยนแปลงตัดทอนต่อเติมพุทธพจน์
ตัวเองบอกว่าบาลีที่ตัวอ่านเป็นพุทธพจน์ แต่เวลาแปลบาลีเป็นไทย ดันทลึ่งไปเปลี่ยนบาลีเขาหน้าตาเฉย
ตลกกับพวกนี้จริงๆ
4 ไปหลอกมหาจุฬา ขอยืมสถานที่เขา หลอกคนสร้างภาพถ่ายรูป พอสุดท้ายก็หลอกด่ามหาจุฬา สอนเดรัจฉานวิชา
ข้อนี้ไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าธาตุดำนี้มันอันธพาลไร้กึ๋น จะเอาเรื่องมาดิสเครดิตเขา
เอาที่มันเป็นสาระให้มันตรงประเด็นที่โจมตีเขาหน่อย ไม่ใช่เอาเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมาว่าเขา
ธาตุดำประเด็นมันอยู่ที่"ไม่เอาคำของสาวก" ตั้งสติแล้วจำใส่หัวไว้ด้วยครับคุณธาตุดำ
1 จริงแล้ว สำนึกคึกฤทธิ์ เขาก็อยากสร้างขั้วอำนาจใหม่
เขาแสดงตนชัดเจน ไม่ต้องการขึ้นกับ มหาเถระ พูดในประเด็น สมัยพุทธกาลก็ไม่มี
แต่ก็แอ๊บไปกราบสมเด็จที่วัดปากน้ำ
พระสงฆ์มีอำนาจด้วยหรือครับ พระไม่เหมือนชีนะครับ ที่สั่งให้ลูกศิษย์แก้ผ้าได้
แล้วเรื่องพระเถระหรือสมเด็จ เขาก็บอกอยู่ทนโท่ว่า เรื่องธรรมแล้วไม่ฟังคำสาวก
แบบนี้แล้วธาตุดำยังจะโยงเรื่องว่าพระคึกฤทธิ์ไปกราบสมเด็จเพราะเชื่อธรรมของสมเด็จหรือ
เขาไปกราบในฐานะอะไร กราบในฐานะพระอาวุโสหรือเปล่า
กราบในฐานะของคนที่รู้จักเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า........หาเรื่องเขาก็โยงมันได้ทุกเรื่อง
นี่ถ้าเป็นศาลไคฟง โดนท่านเปาตบปากฉีกแน่
2 ไม่ให้ฟังคำคนอื่น แต่พูดทีไร ใส่ความเห็นตนเองเสมอๆ
ไอ้ที่บอก"ความเห็น" พระคึกฤทธิ์บอกเองหรือเปล่า ก็เขาบอกเองว่า ที่เขาพูดเอามาจาก"พุทธวจนะ"
ส่วนมันจะใช่หรือไม่มันก็เป็นอีกเรื่อง มันไม่ต้องให้คนที่ยังงมงายกับการแก้ผ้าแก้กรรมมาชี้ "ถูกผิด"
จะใส่ความใครเอาให้มันเนียนกว่านี่หน่อยธาตุดำ เอาแบบนี้เลยดีกว่า ท้าให้พระคึกฤทธิ์ไปหาชีช้าง
ให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย
3 บาลี แปลผิดๆถูกๆ เขาตำหนิ ก้ไม่เคยออกมาขอโทษ
คนตำหนิเป็นเจ้าของภาษาหรือเปล่า ทั้งหมดทั้งมวลมันก็คนไทย เกิดมาพร้อมกับภาษาไทย
ดันมาชี้ถูกชี้ผิดภาษาของคนอื่น เรื่องตื้นๆแค่นี้ยังไม่รู้
แล้วชาวพุทะทุกคนเขารู้กันทั้งโลกว่า ห้ามเปลี่ยนแปลงตัดทอนต่อเติมพุทธพจน์
ตัวเองบอกว่าบาลีที่ตัวอ่านเป็นพุทธพจน์ แต่เวลาแปลบาลีเป็นไทย ดันทลึ่งไปเปลี่ยนบาลีเขาหน้าตาเฉย
ตลกกับพวกนี้จริงๆ
4 ไปหลอกมหาจุฬา ขอยืมสถานที่เขา หลอกคนสร้างภาพถ่ายรูป พอสุดท้ายก็หลอกด่ามหาจุฬา สอนเดรัจฉานวิชา
ข้อนี้ไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าธาตุดำนี้มันอันธพาลไร้กึ๋น จะเอาเรื่องมาดิสเครดิตเขา
เอาที่มันเป็นสาระให้มันตรงประเด็นที่โจมตีเขาหน่อย ไม่ใช่เอาเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมาว่าเขา
ธาตุดำประเด็นมันอยู่ที่"ไม่เอาคำของสาวก" ตั้งสติแล้วจำใส่หัวไว้ด้วยครับคุณธาตุดำ
แสดงความคิดเห็น
"พระสารีบุตร พระอานนท์ และพระอรหันต์ท่านอื่น" vs คนที่บอกว่าพระพุทธเจ้าห้ามฟังคำสาวก ใครฉลาดใครโง่กันแน่ครับ
ก่อนการสังคายนา พระอรหันต์ทั้ง 500 ลงมติว่า
ธรรมวินัย พระศาสดาบัญญัติไว้ดีแล้ว สงฆ์จะไม่เพิ่ม ไม่ตัดทอน ไม่แก้ไข
แล้วหลังจากนั้นก็ระบุว่า ปาฏิโมกข์มี 227 ข้อ (หารายละเอียดเพิ่มเติมเองนะครับ)
ระหว่างพระอรหันต์500 ที่สวดปาฏิโมกข์ กันทุกครึ่งเดือน ปีละ 24 ครั้ง สวดกับเป็นสิบๆปี ก็หลายร้อยครั้ง
กับบางคนที่บอกว่าปาฏิโมกข์มีแค่ 150 จากพระสูตรยุคกึ่งพุทธกาล (โดยไม่คิดว่าวินัยบัญญัติเพิ่มไปเรื่อยๆตามความผิดสงฆ์)
คิดว่า พระอรหันต์ที่เพิ่งบอกไปหยกๆว่าจะไม่ลดไม่เพิ่มไม่แก้ไข ธรรมวินัย ไม่รู้เชียวเหรอว่าหลายร้อยครั้งที่สวดมา เป็นปาฏิโมกข์หรือไม่
คิดว่าพระอานนท์ และพระอุบาลี พระมหากัสสปะและพระอรหันต์ท่านอื่น" vs คนที่บอกว่าสิกขาบทมีแค่ 150 ใครฉลาดใครโง่กันแน่ครับ
กรณีพระพุทธเจ้าห้ามฟังคำสาวก
พระอานนท์เรียนธรรมจากพระสารีบุตรมากมาย ไหนจะมหานิเทส ไหนจะจุฬนิเทส ไหนจะปฏิสัมภิทามรรค etc
ยังมีเคสพระสารีบุตรสอบถามธรรมจากพระปุณณมันตานีบุตร
ยังมีเคสพระสารีบุตรอธิบายธรรมแก่พระอนุรุทธะจนบรรลุอรหัตตผล
เคสเหล่านี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรับรองด้วย
เป็นไปได้ไหมว่า ที่บอกว่าห้ามฟังคำสาวก ให้ฟังแต่คำพระพุทธเจ้าท่านพระอานนท์ พระสารีบุตร พระปุณณมันตานีบุตร etc ไม่เข้าใจ
แต่ลุงชุ/พระคึกฤทธิ์/สาวกวัดนาแอ๊บ ฉลาดกว่าพระอริยะเหล่านี้ จึงเข้าใจชัดเจนกว่าว่าห้ามฟังคำสาวก?
พระอานนท์ เลยยังไปเรียนกับพระสารีบุตร ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าห้ามไว้
พระสารีบุตร จึงสอบถามธรรมจากพระปุณณมันตานีบุตร ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าห้ามไว้
พระอนุรุทธะจึงขอคำแนะนำจากพระสารีบุตร ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าห้ามไว้
คิดว่า "พระสารีบุตร พระอานนท์ และพระอรหันต์ท่านอื่น" vs คนที่บอกว่าพระพุทธเจ้าห้ามฟังคำสาวก ใครฉลาดใครโง่กันแน่ครับ