เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมทำธุรกิจของตัวเอง มิได้ขึ้นอยู่ด้วยอำนาจของใคร
และก็สามารถพึ่งลำแข้งตัวเองมาได้ โดยไม่ต้องกู้ยืมเงินใครมามาก่อตั้งธุรกิจ หรือ เงินทุนหมุนเวียน
เรียกว่า จบออกมาก็เป็นเจ้าของกิจการกันเลยทีเดียว ไม่ได้เคยเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน
รู้ว่าพวกลูกจ้างคิดอะไร ยังไง ก็จาก คนที่เคยเรียนด้วยกันมา หรือ คนที่เราจ้าง
และแล้ววันหนึ่งก็เลยต้องการที่จะซื้อรถยนต์ขึ้นมาครับ(จริงๆก็กะจะซื้อสด อีกนั่นแหละ)
เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็หาข้อมูล อยากลองดูว่ารถรุ่นไหนเป็นยังไง
เมื่อได้ซื้อไปแล้วจะได้ไม่ผิดหวัง ที่เล็งๆไว้ก็เป็น BMW Diesel แต่ว่าจะเอา serie 3 หรือ 5 ดี
เอะ รึว่า จะเอา Nissan Teana ไปก่อน ก็ดูดีใช้ได้
หาข้อมูลไปว่า ก็คิดว่า 10 ปากว่า ไม่เท่าตาเห็น "ต้องลอง"
แต่จะให้ไปซื้อมือสองมาลอง ถ้าไม่ใช่ก็ขายต่อ มันก็จะลงทุนเกินไป
ก็เลยกะว่าจะไปเช่ารถดีกว่า หาข้อมูลไปมาก็พบว่า ต้องมีบัตรเครดิต บริษัทเช่ารถหลักๆ จึงจะปล่อย
คราวนี้ล่ะครับ ที่เรื่องราวต่างๆ จึงเริ่มขึ้น
ก่อนหน้านี้ ผมไม่รู้จักบัตรเครดิจมาก่อน เพราะว่า ไม่มีใครโทรมาหาขอให้ทำ และก็ไม่ค่อยได้ต้องการสักเท่าไหร่
พอไปหาพนักงานธนาคาร ถามว่า ต้องการจะทำบัตรเครดิต พนักงานก็ถามว่า จดทะเบียนหรือไม่ เปิดมากี่ปีแล้ว ตามระเบียบ
เล่าอย่างย่อๆ สรุปคือ ผมส่งไป 2-3 ธนาคาร ระหว่างส่งเอกสารไปก็ได้ข้อมูลจากพนักงานแต่ละที่ อย่างละหน่อย
เอกสารที่ใช้ ต้องไปคัดมาจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เสียไป 600 บาท ครับ (หน้าละ 50 บาท)
ผมส่งรายละเอียดเอกสารของบริษัทที่เปิดมา 5 ปี กับ เดินบัญชีส่วนตัว 6 เดือน เงินเข้าเฉลี่ย เดือนละ 2 แสน
ปรากฏออกมาว่า ไม่ผ่านครับ , มีอยู่ธนาคารนึงให้บัตร ผ่อนสินค้ามา วงเงิน 2 หมื่นครับ
คิดๆแล้วคือ ผมเงินเข้าเดือนละ 2 แสนนะครับ(เป็นกำไรเกือบทั้งหมด) แล้ว 2 หมื่น ยังต้องผ่อนอีกเหรอ
แล้วจะให้มาทำไม ให้มาแค่นี้ มันไม่ make sense เลยครับ
และระหว่างที่ กรอก เอกสาร ส่ง ผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของชนชั้น
ผมมีความรู้สึกว่า พวกบัตรเครดิต อะไรนี่ ดูเขาจะต้อนรับพวกลูกจ้าง ดีเป็นพิเศษ
เงินเดือน 2 หมื่นหน่อยๆ ก็ดูเหมือนจะสมัครได้ชัวร์ๆ
แต่นี่ ผมเงินเดือนมากกว่า เป็น 10 เท่า เลยนะครับ แต่การปฏิบัติ และ การอนุมัติ ดูเลือกปฏิบัติครับ
ราวกลับว่า ผู้ประกอบการ เป็นพลเมืองชั้น 2 ยังไง ยังงั้น
ผมมองไปนี่คิดในใจ ระดับคุณนี่มันพนักงานระดับล่างมากนะเนี่ย เงินเดือนเท่าไหร่ จบมาจากไหน
ถ้าอยู่ในบริษัทผมนี่ ไม่มีโอกาสได้มาคุยตรงๆ กับระดับเจ้าของอย่างนี้ นะเนี่ย
คือ ระบบความคิดของเขา ดูจะเข้าใจแต่ระบบความคิด การตีค่า ที่ธนาคาร หรือ รุ่นพี่บริษัท
บอกแนววิเคราะห์สินเชื่อมาเท่านั้น การตีมูลค่าในสกุลอื่นๆ ที่มีมูลค่ามากกว่านี้เหมือนไม่รู้ว่ามันมีอยู่ในโลก
และที่รู้สึกได้อีกหลายๆอย่างจากการไปธนาคารบ่อยๆ ช่วงนี้ก็คือ เหมือนว่า พนักงานธนาคาร เนี่ย
แผนกบุคคล จะจงใจรับคนที่หน้าตาดูดี หรือ บุคลิกดี เป็นหลักนะครับ ส่วนเรื่องความคิดนี่คือ คิดไม่ได้เลยครับ
คือ จะต้องทำตาม process หรือ ลำดับขั้นที่มีคนวางไว้ให้อย่างเดียว อย่ามาถามเหตุผล อย่ามาบอกให้คิด
ไม่เข้าใจ (โดยเฉพาะธนาคารสีน้ำเงินนะครับ ผมเห็นมีพนักงานฝึกใหม่ หน้าตาดีๆๆๆๆ มาให้เห็นได้ตลอด
ผมนี่แอบคิดในใจเลยว่า เด็กป๋ารึเปล่า บางคนนี่หน้าตาคล้ายๆดาราดังบางคนเลยนะครับ)
สรุปคือ ตอนนี้ได้บัตรเครดิตและวงเงินตามที่จะสามารถเช่ารถได้มาแล้วครับ (ถ้าไม่ได้กะว่าจะใช้แบบเงินค้ำประกัน)
แต่ช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนที่ไปทำเรื่องกับธนาคารต่างๆ มานี่แหละครับ ได้ความรู้สึกว่า เราไม่ใช่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเขา รึเปล่า ?
ชีวิตอันรันทดของผู้ประกอบการ เมื่อต้องการบัตรเครดิตสักใบ
และก็สามารถพึ่งลำแข้งตัวเองมาได้ โดยไม่ต้องกู้ยืมเงินใครมามาก่อตั้งธุรกิจ หรือ เงินทุนหมุนเวียน
เรียกว่า จบออกมาก็เป็นเจ้าของกิจการกันเลยทีเดียว ไม่ได้เคยเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน
รู้ว่าพวกลูกจ้างคิดอะไร ยังไง ก็จาก คนที่เคยเรียนด้วยกันมา หรือ คนที่เราจ้าง
และแล้ววันหนึ่งก็เลยต้องการที่จะซื้อรถยนต์ขึ้นมาครับ(จริงๆก็กะจะซื้อสด อีกนั่นแหละ)
เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็หาข้อมูล อยากลองดูว่ารถรุ่นไหนเป็นยังไง
เมื่อได้ซื้อไปแล้วจะได้ไม่ผิดหวัง ที่เล็งๆไว้ก็เป็น BMW Diesel แต่ว่าจะเอา serie 3 หรือ 5 ดี
เอะ รึว่า จะเอา Nissan Teana ไปก่อน ก็ดูดีใช้ได้
หาข้อมูลไปว่า ก็คิดว่า 10 ปากว่า ไม่เท่าตาเห็น "ต้องลอง"
แต่จะให้ไปซื้อมือสองมาลอง ถ้าไม่ใช่ก็ขายต่อ มันก็จะลงทุนเกินไป
ก็เลยกะว่าจะไปเช่ารถดีกว่า หาข้อมูลไปมาก็พบว่า ต้องมีบัตรเครดิต บริษัทเช่ารถหลักๆ จึงจะปล่อย
คราวนี้ล่ะครับ ที่เรื่องราวต่างๆ จึงเริ่มขึ้น
ก่อนหน้านี้ ผมไม่รู้จักบัตรเครดิจมาก่อน เพราะว่า ไม่มีใครโทรมาหาขอให้ทำ และก็ไม่ค่อยได้ต้องการสักเท่าไหร่
พอไปหาพนักงานธนาคาร ถามว่า ต้องการจะทำบัตรเครดิต พนักงานก็ถามว่า จดทะเบียนหรือไม่ เปิดมากี่ปีแล้ว ตามระเบียบ
เล่าอย่างย่อๆ สรุปคือ ผมส่งไป 2-3 ธนาคาร ระหว่างส่งเอกสารไปก็ได้ข้อมูลจากพนักงานแต่ละที่ อย่างละหน่อย
เอกสารที่ใช้ ต้องไปคัดมาจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เสียไป 600 บาท ครับ (หน้าละ 50 บาท)
ผมส่งรายละเอียดเอกสารของบริษัทที่เปิดมา 5 ปี กับ เดินบัญชีส่วนตัว 6 เดือน เงินเข้าเฉลี่ย เดือนละ 2 แสน
ปรากฏออกมาว่า ไม่ผ่านครับ , มีอยู่ธนาคารนึงให้บัตร ผ่อนสินค้ามา วงเงิน 2 หมื่นครับ
คิดๆแล้วคือ ผมเงินเข้าเดือนละ 2 แสนนะครับ(เป็นกำไรเกือบทั้งหมด) แล้ว 2 หมื่น ยังต้องผ่อนอีกเหรอ
แล้วจะให้มาทำไม ให้มาแค่นี้ มันไม่ make sense เลยครับ
และระหว่างที่ กรอก เอกสาร ส่ง ผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของชนชั้น
ผมมีความรู้สึกว่า พวกบัตรเครดิต อะไรนี่ ดูเขาจะต้อนรับพวกลูกจ้าง ดีเป็นพิเศษ
เงินเดือน 2 หมื่นหน่อยๆ ก็ดูเหมือนจะสมัครได้ชัวร์ๆ
แต่นี่ ผมเงินเดือนมากกว่า เป็น 10 เท่า เลยนะครับ แต่การปฏิบัติ และ การอนุมัติ ดูเลือกปฏิบัติครับ
ราวกลับว่า ผู้ประกอบการ เป็นพลเมืองชั้น 2 ยังไง ยังงั้น
ผมมองไปนี่คิดในใจ ระดับคุณนี่มันพนักงานระดับล่างมากนะเนี่ย เงินเดือนเท่าไหร่ จบมาจากไหน
ถ้าอยู่ในบริษัทผมนี่ ไม่มีโอกาสได้มาคุยตรงๆ กับระดับเจ้าของอย่างนี้ นะเนี่ย
คือ ระบบความคิดของเขา ดูจะเข้าใจแต่ระบบความคิด การตีค่า ที่ธนาคาร หรือ รุ่นพี่บริษัท
บอกแนววิเคราะห์สินเชื่อมาเท่านั้น การตีมูลค่าในสกุลอื่นๆ ที่มีมูลค่ามากกว่านี้เหมือนไม่รู้ว่ามันมีอยู่ในโลก
และที่รู้สึกได้อีกหลายๆอย่างจากการไปธนาคารบ่อยๆ ช่วงนี้ก็คือ เหมือนว่า พนักงานธนาคาร เนี่ย
แผนกบุคคล จะจงใจรับคนที่หน้าตาดูดี หรือ บุคลิกดี เป็นหลักนะครับ ส่วนเรื่องความคิดนี่คือ คิดไม่ได้เลยครับ
คือ จะต้องทำตาม process หรือ ลำดับขั้นที่มีคนวางไว้ให้อย่างเดียว อย่ามาถามเหตุผล อย่ามาบอกให้คิด
ไม่เข้าใจ (โดยเฉพาะธนาคารสีน้ำเงินนะครับ ผมเห็นมีพนักงานฝึกใหม่ หน้าตาดีๆๆๆๆ มาให้เห็นได้ตลอด
ผมนี่แอบคิดในใจเลยว่า เด็กป๋ารึเปล่า บางคนนี่หน้าตาคล้ายๆดาราดังบางคนเลยนะครับ)
สรุปคือ ตอนนี้ได้บัตรเครดิตและวงเงินตามที่จะสามารถเช่ารถได้มาแล้วครับ (ถ้าไม่ได้กะว่าจะใช้แบบเงินค้ำประกัน)
แต่ช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนที่ไปทำเรื่องกับธนาคารต่างๆ มานี่แหละครับ ได้ความรู้สึกว่า เราไม่ใช่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเขา รึเปล่า ?