ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
สุรเกียรติ ธำรงสัตย์ มหาเศรษฐีหลายหมื่นล้าน นักธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักร ในชุดสูทสีเทาเข้มภูมิฐาน นั่งอยู่หัวโต๊ะอาหารหรูหราขนาดสี่สิบที่ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ซ้ายมือของเขาคือศรีภรรยา คุณหญิงโสภา ธำรงสัตย์และขวามือคือลูกสาวแสนสวยวัยยี่สิบสี่ตาโตผมหยักศกคนโปรด นัทธิกา ธำรงสัตย์ ภายในห้องทานอาหารตกแต่งอย่างวิจิตรทั้งยังเสริมบารมีด้วยแม่บ้านสี่คนยืนเรียงแถวแต่งกายชุดสีดำขลิบขาวสไตล์ยุโรปรอรับใช้
“ตอนนี้มันอยู่ไหน” สุรเกียรติเอ่ยถามขึ้นลอยๆแล้วหันมองลูกสาว
“เอ่อ ใครคะ” เงาะถามพ่อกลับแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“จะใครอีกล่ะ ก็ไอ้พี่ชายตัวดีของเรายังไง” สุรเกียรติถามเสียงดุ
“เห็นว่าไปส่งของที่ไหนพี่โจไม่ได้บอกหนูค่ะ” เงาะอ้อมแอ้มตอบ
“คุณหญิงล่ะ” สุรเกียรติพูดหันไปมองศรีภรรยา
โสภาไม่ตอบเธอบรรจงยิ้มหวานให้สามีเป็นความหมายว่าไม่ทราบเช่นกัน
“แล้วเราไม่คิดจะถามไถ่มันบ้างรึยังไง” สุรเกียรติหันมาถามลูกสาวเสียงดุ
“ขอโทษค่ะคุณพ่อ” เงาะแกล้งทำหน้าเง้าแบบเด็กลากเสียงออดอ้อนตอบพ่อ
“เออ ดี” สุรเกียรติพูดแบบปลง
“ถามจริงๆเถอะ ส่งมันไปเรียนอเมริกาให้มันมารับช่วงงานต่อ มันกลับแหกคอกไปเรียนเป็นช่างเครื่องบิน เอ๊ะ ที่ไหนนะ นอร์ทรอป ใช่มั้ย ไม่บอกไม่กล่าวไม่ขออนุญาต มีใครรู้เหตุผลของมันบ้าง” สุรเกียรติถามเสียงเข้ม
โสภากับลูกสาวมองหน้ากันเป็นเชิงว่าใครจะตอบ
“ว่าไง” สุรเกียรติทำเสียงดุเพื่อให้ใครสักคนตอบ
“ก็เคยเล่าให้หนูฟังบ้างค่ะ” เงาะตอบ
“ก็รีบเล่ามาซิ” สุรเกียรติดุลูก เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
“เค้าเล่าว่ามีเพื่อนเค้าคนนึงที่นั่น มีเครื่องบินเล็กๆเป็นของตัวเอง แล้วใช้ทำอาชีพบินรับส่งพัสดุไปรษณีย์ตามที่กันดารระหว่างอเมริกากับแม็กซิโก” เงาะหยุดมองหน้าพ่อเพื่อสังเกตการรับฟัง
“แล้วไงต่อ” สุรเกียรติถามขณะกอดอกนิ่งฟัง
“พี่โจเค้าบอกว่ามันน่าสนใจ ได้ผจญภัยไปในอาชีพด้วย ได้อยู่สูงๆบนฟ้า” เงาะเล่าแล้วหยุดมองพ่อ
“แล้วทำไมมันไม่เรียนเป็นนักบิน” สุรเกียรติถามลูกสาวต่อ
“หนูก็ถาม เค้าบอกว่าถ้าเค้าซ่อมได้เค้าก็คงฝึกบินทีหลังได้สำหรับเครื่องบินเล็กๆที่ต้องดูแลเอง” เงาะเล่า
“แต่ถ้าเค้าเข้าเรียนเป็นนักบินก็คงต้องใช้เงินส่วนตัวมากกว่าที่เค้ามีอยู่น่ะค่ะ”
“และ..ถ้าพี่โจเค้าออกปากขอ พ่อจะอนุญาตจริงๆเหรอคะ” เงาะเลิกคิ้วถามกลับโดยไม่กล้าสบตา
สุรเกียรติเป็นคนฉลาดหลักแหลมสุขุมและมีเหตุผล รักลูกรักเมียเอื้อเฟื้ออาทรต่อคนรอบข้างเสมอนั่นเองที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในอาชีพ เขาฟังสิ่งที่ลูกสาวคนโปรดเล่าถึงพี่ชายแล้วก็รู้สึกว่าส่วนหนึ่งของเรื่องราวนั้นมีเหตุมีผล สิ่งที่ลูกชายคนเดียวของเขาตัดสินใจทำก็ไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระ สุรเกียรติหวนคิดถึงความทรงจำเมื่อลูกชายยังเป็นเด็ก เขามักแยกชิ้นส่วนของเล่นจนเสียหายชอบปีนชอบป่ายและชอบนอนมองท้องฟ้า นั่นกระมังคือตัวตนของลูกแต่ในหัวอกของคนเป็นพ่อแล้วใครเลยอยากให้ลูกไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายบินไปบินมาตามป่าเขาอย่างนั้น
“แล้วเรารู้ได้ยังไงว่าพ่อจะเซย์โน” สุรเกียรติตอบอย่างจงใจติดคำฝรั่งส่งยิ้มในดวงตาให้ภรรยาและลูกสาวเพื่อบอกทั้งสองให้รู้ว่าเขารู้สึกดีขึ้น เงาะได้แต่ยิ้มๆกับคำถามที่พ่อก็รู้ว่าเธอตอบไม่ได้
“เรือบินนั่นก็ไปซื้อจากตลาดนัดมาไม่ใช่เหรอ” สุรเกียรติหันไปหาโสภาแล้วแกล้งพูด
“คุณล่ะก็แกล้งว่าลูก ตลาดนัดที่ไหนมีขาย” โสภาค้อนสามีแล้วเริ่มพูดบ้างหลังจากที่นิ่งฟังอยู่นาน
“ก็จั๊งค์จอดขายเครื่องบินเก่ากลางทะเลทรายนั่นมันก็เหมือนกันนั่นแหละ” “แล้วมันจะทนทานใช้งานมายังไง เท้าพ้นจากพื้นน่ะเรื่องใหญ่นะคุณหญิง” สุรเกียรติบอกภรรยา
“ก็พูดแบบให้พรบ้างซิคะ คำพ่อคำแม่นะคะ” โสภาติงสามีของเธอ
“เท่าไหร่” เขาหันมาถามภรรยา
“ราคาก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ รถยายเงาะยังแพงกว่าเลย” โสภาตอบทำเอาลูกสาวสะดุ้งส่งค้อนขวับไปที่แม่
“อืม นี่ก็ได้พี่ไกรช่วยติดต่อทำเรื่องนำเข้าให้ดูแลหางานให้ก็เบาใจไปหน่อย” สุรเกียรติพูด
“แล้วเราล่ะ ได้ยินแม่เค้าว่าจะไปไหน” สุรเกียรติหันไปถามลูกสาวเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไปฝรั่งเศสกับอินเดียสักสองอาทิตย์ค่ะ” เงาะตอบ
“แล้วงานที่บริษัทล่ะ” พ่อถาม
“ฝากคุณพ่อไว้แล้วค่ะ” เงาะตอบทันที
“พ่อไหน” สุรเกียรติเลิกคิ้วถามลูก
“ก็พ่อสุรเกียรติไงคะ” เงาะตอบทำเสียงทะเล้น
“มะเหงกแน่ะ แผนกวิศวกรรมไม่ใช่เรื่องเล่นนะเว้ย” สุรเกียรติพูด
“ล้อเล่นค่ะ วิศวกรของเราเก่งๆทั้งนั้นเตรียมการไว้หมดแล้ว” เงาะพูดให้พ่อคลายกังวล
เงาะหรือ นัทธิกา ธำรงสัตย์ ลูกสาวคนเก่งของสุรเกียรติเธอเป็นหนึ่งในเวิร์คกิ้งวูแม่นรุ่นใหม่อันเป็นที่ยอมรับในวงการ ด้วยดีกรีปริญญาโททางวิศวกรรมจากเยอรมันและโทบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐในประเทศ เธอจึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของพ่อและเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่สุรเกียรติพอจะให้เวลาโจลูกชายไปตามฝันของเขาได้
“ไปทำอะไรที่นั่น” สุรเกียรติถามลูกสาว
“พอดีพี่เหมียวเพื่อนหนูเค้าชวนไปดูอะไรเกี่ยวกับเรื่องโยคะฟลายค่ะ” เงาะตอบ
“อะไร โยคะฟลาย” สุรเกียรติขมวดคิ้วถาม
เงาะเหลือบมองหน้าแม่เป็นเชิงให้ตอบแทน
“ก็เป็นการผสมผสานกันระหว่างโยคะกับบัลเล่ย์บนผืนผ้าที่ห้อยลงมาจากด้านบนน่ะค่ะคุณ” โสภาตอบสามี
“อืม แล้วเหมียวนี่ใคร พ่อรู้จักมั้ย” สุรเกียรติหันไปถามลูกสาว
“เคยมาบ้านเราสองสามครั้งกับพวกเพื่อนๆคุณพ่อคงจำไม่ได้กระมังคะ” “เป็นลูกครึ่งพ่อไทยแม่ปารีเซียงเค้าฝึกโยคะฟลายจนจัดว่าเก่งทีเดียวค่ะ” เงาะอธิบาย
“เก่งแล้วต้องไปดูงานอะไรอีกล่ะ” สุรเกียรติตั้งคำถามต่อ
“เค้ากลับไปเยี่ยมแม่เค้าแล้วขากลับจะแวะดูเรื่องโยคะที่มุมไบเลยชวนหนูไปเป็นเพื่อน” เงาะตอบพ่อ
“เค้ากลัวผีเหรอถึงต้องให้เราไปเป็นเพื่อน” สุรเกียรติยิ้มถามหยอกลูกสาว
“ก็เค้าเป็นเพื่อนหนู หนูก็เลยไป เพื่อเป็นเพื่อน เค้าไงคะแหมคุณพ่อนี่” เงาะย้ำคำเพื่อเป็นเพื่อนแล้วตวัดค้อนพ่อ
การสนทนาหยุดลงเมื่อมีเสียงพูดคุยทักทายกันหน้าคฤหาสน์
“คุณโจกับคุณพีมาเจ้าค่ะ ดิฉันเรียนแล้วว่าท่านอยู่ห้องทานอาหารเจ้าค่ะ” แม่บ้านเข้ามารายงาน
สุรเกียรติขยับตัวจัดเสื้อสูทเปลี่ยนสีหน้าทำทีเคร่งขรึมวางมาด คุณหญิงโสภาสีหน้ายิ้มแย้มมองไปที่ประตูแล้วหันมาค้อนสามีอย่างหมั่นไส้เล็กๆ เงาะรีบลุกขึ้นจะเดินไปต้อนรับพี่ชายแต่โจและพีก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูเสียก่อน
“สวัสดีครับคุณพ่อสวัสดีครับคุณแม่” ทั้งโจและพีไหว้และกล่าวสวัสดีพร้อมกัน
“ไงเงาะ นั่งด้วยนะ” โจกล่าวทักทายแล้วนั่งลงข้างๆน้องสาว
“นั่งซิลูกพี มานั่งข้างแม่นี่ทานข้าวด้วยกัน” คุณหญิงโสภาเรียกพีที่ยืนยิ้มรอคำเชิญอยู่
“ขอบพระคุณครับคุณแม่” พีตอบรับแล้วนั่งลงข้างๆ
“กำลังคิดถึงอยู่เลย” เงาะหันไปพูดกับพี่ชายโดยแสร้งไม่มองอีกคน
“มีอะไรมาฝากบ้าง” เงาะถามแล้วทำท่าแบมือขอจากพี่ชาย
“เอ่อ” โจทำท่าอึดอัดไม่ทันตั้งตัวว่าน้องสาวจะทวงตอนนี้เพราะของฝากนั้นอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเจ้าเพื่อนที่หามาฝากแฟน แต่มันดันนั่งทำหน้านิ่งไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกมา
“อ๋อ ขอโทษทีลืมไว้ที่ห้องน่ะ เดี๋ยวพี่จะรีบกลับไปเอามาให้ นะนะ” โจหาทางออกได้ทัน
“อย่างเนี่ย” เงาะแกล้งทำตาเขียวใส่พี่ชาย แต่เธอแน่ใจว่าต้องมีของฝากของเธออยู่กับชายหนุ่มอีกคนแน่นอน
“วันนี้คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ” โจถามพ่อเพื่อชวนคุย
“อืม ก็สบายดี” สุรเกียรติตอบลูกชายสั้นๆแล้วมองแวบหนึ่ง
“แล้วพวกแกล่ะ ไปไหนมา” สุรเกียรติเอ่ยถามทั้งสองหนุ่ม
“ไปส่งของให้คุณลุงไกรครับ ขึ้นไปทางอีสาน” โจตอบ
“ของแบบไหน” สุรเกียรติถามหันมองทั้งสองหนุ่ม
“ก็เป็นพวกของจำเป็นสำหรับยังชีพของคนอยู่ที่กันดารห่างไกลน่ะครับ พวกชนกลุ่มน้อย” พีชิงตอบก่อนเพราะอยากพูดอะไรออกมาบ้าง
“พี่ผาใช่มั้ย” สุรเกียรติถามไม่ได้มองหน้าใคร
สองหนุ่มมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ “คุณพ่อรู้จักด้วยหรือครับ” โจถามพ่อ
“อ้าว แล้วชั้นเป็นอะไรกับลุงไกรของพวกแกล่ะ” สุรเกียรติย้อนถามโจเสียงดุ
“ก็ดี แล้วบินกันยังไงมิกซ์มันไม่สอยร่วงเอา” พ่อถาม
“เลาะไปตามช่องเขาหลบเรด้าร์ไปครับ ทางนี้เค้าก็คอยมอนิเตอร์ให้อยู่ว่าพวกนั้นเห็นเรารึยัง ถ้ามีการเคลื่อนไหวเค้าก็แจ้งบอกให้เราหาที่หลบครับ” พีตอบ
“ไปบ่อยมั้ย” สุรเกียรติถาม
“สองเดือนครั้งครับ นอกนั้นก็บินส่งที่นั่นบ้างที่นี่บ้างก็พอค่าใช้จ่ายอยู่ครับ” โจตอบ
“อืม ทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลัง หากไปเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงใหญ่โตขึ้นมาจะแก้กันไม่ไหว” สุรเกียรติเตือนสองหนุ่มแล้วขยับตัวลุกขึ้น “ไปล่ะวันนี้มีประชุมลูกค้า คุยกันไปก่อน” “ผมไปนะ” สุรเกียรติหันไปบอกโสภาแล้วก้มลงหอมที่ขมับขวาของเธอ
“ค่ะ” โสภายิ้มตอบรับ
สุรเกียรติกำลังจะเดินออกประตูไปพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงหันกลับมามองพีแล้วพูด
“เออ เชียรกับแสงดาวเค้าโทรหาพ่อหลายครั้งแล้วถามว่าลูกเค้าอยู่ไหน กลับบ้านรึยังเรา”
“ยังเลยครับคุณพ่อเพิ่งกลับมาถึงครับ” พีตอบ
“แล้วโทรหาเค้ารึยัง” สุรเกียรติถามต่อ
“เอ่อ ยังเลยครับ” พีอ้อมแอ้มตอบ
“อืม พอกัน” สุรเกียรติส่ายหน้าแล้วเดินออกจากห้องไป
พ่อเลี้ยงวิเชียรและแม่หญิงแสงดาว บุพการีผู้ให้กำเนิด พีรสรรพ์ ลูกชายทโมนที่ทั้งคู่ปวดเศียรเวียนศีรษะมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ซนแก่นไม่สมกันกับที่โตมาเป็นหนุ่มผิวขาวตาเรียวสะโอดสะอง พีและโจคบหากันมาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนประถมเมื่อสุรเกียรติและโสภาตัดสินใจส่งลูกชายเข้าโรงเรียนประจำฝรั่งมีชื่อที่เชียงใหม่ด้วยเหตุผลที่วิเชียรพูดกับพวกเขาว่า “ก็ตอนเด็กกูพลัดที่มาเรียนกรุงเทพฯอยู่บ้านแล้ว ตานี้ส่งลูกไปให้กูเลี้ยงบ้าง” เป็นเหตุผลที่ฟังเรียบง่ายแต่แฝงนัยที่ลึกซึ้งอันเกิดแต่สัมพันธภาพของพวกเขา นั่นเองที่ทำให้ทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันอย่างมาก นั่นเองที่ทำให้พวกเขาส่งลูกไปเรียนต่อที่อเมริกาพร้อมกัน และนั่นเองที่สองหนุ่มคบคิดกันทำเรื่องคุณเป็ดน้ำ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารคลายความเป็นทางการลงหลังจากที่สุรเกียรติเดินออกไป การทานอาหารและสนทนากันไปมาระหว่างทั้งสี่คนดำเนินไปครู่ใหญ่
“จะสายแล้วหนูไปทำงานล่ะเดี๋ยวคุณพ่อตัดเงินเดือน” เงาะพูดขยับตัวหยิบข้าวของ
“นั่งคุยต่ออีกนิดก็ได้ นานๆจะได้ทานข้าวกับพี่ๆเค้า” โสภาบอกลูก
“นั่นซิครับ” พีพูดมองหน้าเงาะยิ้มแหย
“ก็ได้ มีอะไรคุยอีก” เงาะนั่งลงทำท่าปั้นปึ่ง
“พอดีผมมีของมาฝากคุณแม่กับน้องเงาะน่ะครับ” พีพูดพลางหยิบถุงผ้าเล็กๆสองถุงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“อันนี้ของคุณแม่ครับ” พีส่งก้อนวัตถุสีเหลืองเหลือบลายส่งให้โสภาอย่างนอบน้อม
“อะไรนี่ลูกพี” โสภาถาม
ธารทิพย์ บทที่ 2
สุรเกียรติ ธำรงสัตย์ มหาเศรษฐีหลายหมื่นล้าน นักธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักร ในชุดสูทสีเทาเข้มภูมิฐาน นั่งอยู่หัวโต๊ะอาหารหรูหราขนาดสี่สิบที่ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ซ้ายมือของเขาคือศรีภรรยา คุณหญิงโสภา ธำรงสัตย์และขวามือคือลูกสาวแสนสวยวัยยี่สิบสี่ตาโตผมหยักศกคนโปรด นัทธิกา ธำรงสัตย์ ภายในห้องทานอาหารตกแต่งอย่างวิจิตรทั้งยังเสริมบารมีด้วยแม่บ้านสี่คนยืนเรียงแถวแต่งกายชุดสีดำขลิบขาวสไตล์ยุโรปรอรับใช้
“ตอนนี้มันอยู่ไหน” สุรเกียรติเอ่ยถามขึ้นลอยๆแล้วหันมองลูกสาว
“เอ่อ ใครคะ” เงาะถามพ่อกลับแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“จะใครอีกล่ะ ก็ไอ้พี่ชายตัวดีของเรายังไง” สุรเกียรติถามเสียงดุ
“เห็นว่าไปส่งของที่ไหนพี่โจไม่ได้บอกหนูค่ะ” เงาะอ้อมแอ้มตอบ
“คุณหญิงล่ะ” สุรเกียรติพูดหันไปมองศรีภรรยา
โสภาไม่ตอบเธอบรรจงยิ้มหวานให้สามีเป็นความหมายว่าไม่ทราบเช่นกัน
“แล้วเราไม่คิดจะถามไถ่มันบ้างรึยังไง” สุรเกียรติหันมาถามลูกสาวเสียงดุ
“ขอโทษค่ะคุณพ่อ” เงาะแกล้งทำหน้าเง้าแบบเด็กลากเสียงออดอ้อนตอบพ่อ
“เออ ดี” สุรเกียรติพูดแบบปลง
“ถามจริงๆเถอะ ส่งมันไปเรียนอเมริกาให้มันมารับช่วงงานต่อ มันกลับแหกคอกไปเรียนเป็นช่างเครื่องบิน เอ๊ะ ที่ไหนนะ นอร์ทรอป ใช่มั้ย ไม่บอกไม่กล่าวไม่ขออนุญาต มีใครรู้เหตุผลของมันบ้าง” สุรเกียรติถามเสียงเข้ม
โสภากับลูกสาวมองหน้ากันเป็นเชิงว่าใครจะตอบ
“ว่าไง” สุรเกียรติทำเสียงดุเพื่อให้ใครสักคนตอบ
“ก็เคยเล่าให้หนูฟังบ้างค่ะ” เงาะตอบ
“ก็รีบเล่ามาซิ” สุรเกียรติดุลูก เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
“เค้าเล่าว่ามีเพื่อนเค้าคนนึงที่นั่น มีเครื่องบินเล็กๆเป็นของตัวเอง แล้วใช้ทำอาชีพบินรับส่งพัสดุไปรษณีย์ตามที่กันดารระหว่างอเมริกากับแม็กซิโก” เงาะหยุดมองหน้าพ่อเพื่อสังเกตการรับฟัง
“แล้วไงต่อ” สุรเกียรติถามขณะกอดอกนิ่งฟัง
“พี่โจเค้าบอกว่ามันน่าสนใจ ได้ผจญภัยไปในอาชีพด้วย ได้อยู่สูงๆบนฟ้า” เงาะเล่าแล้วหยุดมองพ่อ
“แล้วทำไมมันไม่เรียนเป็นนักบิน” สุรเกียรติถามลูกสาวต่อ
“หนูก็ถาม เค้าบอกว่าถ้าเค้าซ่อมได้เค้าก็คงฝึกบินทีหลังได้สำหรับเครื่องบินเล็กๆที่ต้องดูแลเอง” เงาะเล่า
“แต่ถ้าเค้าเข้าเรียนเป็นนักบินก็คงต้องใช้เงินส่วนตัวมากกว่าที่เค้ามีอยู่น่ะค่ะ”
“และ..ถ้าพี่โจเค้าออกปากขอ พ่อจะอนุญาตจริงๆเหรอคะ” เงาะเลิกคิ้วถามกลับโดยไม่กล้าสบตา
สุรเกียรติเป็นคนฉลาดหลักแหลมสุขุมและมีเหตุผล รักลูกรักเมียเอื้อเฟื้ออาทรต่อคนรอบข้างเสมอนั่นเองที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในอาชีพ เขาฟังสิ่งที่ลูกสาวคนโปรดเล่าถึงพี่ชายแล้วก็รู้สึกว่าส่วนหนึ่งของเรื่องราวนั้นมีเหตุมีผล สิ่งที่ลูกชายคนเดียวของเขาตัดสินใจทำก็ไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระ สุรเกียรติหวนคิดถึงความทรงจำเมื่อลูกชายยังเป็นเด็ก เขามักแยกชิ้นส่วนของเล่นจนเสียหายชอบปีนชอบป่ายและชอบนอนมองท้องฟ้า นั่นกระมังคือตัวตนของลูกแต่ในหัวอกของคนเป็นพ่อแล้วใครเลยอยากให้ลูกไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายบินไปบินมาตามป่าเขาอย่างนั้น
“แล้วเรารู้ได้ยังไงว่าพ่อจะเซย์โน” สุรเกียรติตอบอย่างจงใจติดคำฝรั่งส่งยิ้มในดวงตาให้ภรรยาและลูกสาวเพื่อบอกทั้งสองให้รู้ว่าเขารู้สึกดีขึ้น เงาะได้แต่ยิ้มๆกับคำถามที่พ่อก็รู้ว่าเธอตอบไม่ได้
“เรือบินนั่นก็ไปซื้อจากตลาดนัดมาไม่ใช่เหรอ” สุรเกียรติหันไปหาโสภาแล้วแกล้งพูด
“คุณล่ะก็แกล้งว่าลูก ตลาดนัดที่ไหนมีขาย” โสภาค้อนสามีแล้วเริ่มพูดบ้างหลังจากที่นิ่งฟังอยู่นาน
“ก็จั๊งค์จอดขายเครื่องบินเก่ากลางทะเลทรายนั่นมันก็เหมือนกันนั่นแหละ” “แล้วมันจะทนทานใช้งานมายังไง เท้าพ้นจากพื้นน่ะเรื่องใหญ่นะคุณหญิง” สุรเกียรติบอกภรรยา
“ก็พูดแบบให้พรบ้างซิคะ คำพ่อคำแม่นะคะ” โสภาติงสามีของเธอ
“เท่าไหร่” เขาหันมาถามภรรยา
“ราคาก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ รถยายเงาะยังแพงกว่าเลย” โสภาตอบทำเอาลูกสาวสะดุ้งส่งค้อนขวับไปที่แม่
“อืม นี่ก็ได้พี่ไกรช่วยติดต่อทำเรื่องนำเข้าให้ดูแลหางานให้ก็เบาใจไปหน่อย” สุรเกียรติพูด
“แล้วเราล่ะ ได้ยินแม่เค้าว่าจะไปไหน” สุรเกียรติหันไปถามลูกสาวเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไปฝรั่งเศสกับอินเดียสักสองอาทิตย์ค่ะ” เงาะตอบ
“แล้วงานที่บริษัทล่ะ” พ่อถาม
“ฝากคุณพ่อไว้แล้วค่ะ” เงาะตอบทันที
“พ่อไหน” สุรเกียรติเลิกคิ้วถามลูก
“ก็พ่อสุรเกียรติไงคะ” เงาะตอบทำเสียงทะเล้น
“มะเหงกแน่ะ แผนกวิศวกรรมไม่ใช่เรื่องเล่นนะเว้ย” สุรเกียรติพูด
“ล้อเล่นค่ะ วิศวกรของเราเก่งๆทั้งนั้นเตรียมการไว้หมดแล้ว” เงาะพูดให้พ่อคลายกังวล
เงาะหรือ นัทธิกา ธำรงสัตย์ ลูกสาวคนเก่งของสุรเกียรติเธอเป็นหนึ่งในเวิร์คกิ้งวูแม่นรุ่นใหม่อันเป็นที่ยอมรับในวงการ ด้วยดีกรีปริญญาโททางวิศวกรรมจากเยอรมันและโทบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐในประเทศ เธอจึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของพ่อและเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่สุรเกียรติพอจะให้เวลาโจลูกชายไปตามฝันของเขาได้
“ไปทำอะไรที่นั่น” สุรเกียรติถามลูกสาว
“พอดีพี่เหมียวเพื่อนหนูเค้าชวนไปดูอะไรเกี่ยวกับเรื่องโยคะฟลายค่ะ” เงาะตอบ
“อะไร โยคะฟลาย” สุรเกียรติขมวดคิ้วถาม
เงาะเหลือบมองหน้าแม่เป็นเชิงให้ตอบแทน
“ก็เป็นการผสมผสานกันระหว่างโยคะกับบัลเล่ย์บนผืนผ้าที่ห้อยลงมาจากด้านบนน่ะค่ะคุณ” โสภาตอบสามี
“อืม แล้วเหมียวนี่ใคร พ่อรู้จักมั้ย” สุรเกียรติหันไปถามลูกสาว
“เคยมาบ้านเราสองสามครั้งกับพวกเพื่อนๆคุณพ่อคงจำไม่ได้กระมังคะ” “เป็นลูกครึ่งพ่อไทยแม่ปารีเซียงเค้าฝึกโยคะฟลายจนจัดว่าเก่งทีเดียวค่ะ” เงาะอธิบาย
“เก่งแล้วต้องไปดูงานอะไรอีกล่ะ” สุรเกียรติตั้งคำถามต่อ
“เค้ากลับไปเยี่ยมแม่เค้าแล้วขากลับจะแวะดูเรื่องโยคะที่มุมไบเลยชวนหนูไปเป็นเพื่อน” เงาะตอบพ่อ
“เค้ากลัวผีเหรอถึงต้องให้เราไปเป็นเพื่อน” สุรเกียรติยิ้มถามหยอกลูกสาว
“ก็เค้าเป็นเพื่อนหนู หนูก็เลยไป เพื่อเป็นเพื่อน เค้าไงคะแหมคุณพ่อนี่” เงาะย้ำคำเพื่อเป็นเพื่อนแล้วตวัดค้อนพ่อ
การสนทนาหยุดลงเมื่อมีเสียงพูดคุยทักทายกันหน้าคฤหาสน์
“คุณโจกับคุณพีมาเจ้าค่ะ ดิฉันเรียนแล้วว่าท่านอยู่ห้องทานอาหารเจ้าค่ะ” แม่บ้านเข้ามารายงาน
สุรเกียรติขยับตัวจัดเสื้อสูทเปลี่ยนสีหน้าทำทีเคร่งขรึมวางมาด คุณหญิงโสภาสีหน้ายิ้มแย้มมองไปที่ประตูแล้วหันมาค้อนสามีอย่างหมั่นไส้เล็กๆ เงาะรีบลุกขึ้นจะเดินไปต้อนรับพี่ชายแต่โจและพีก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูเสียก่อน
“สวัสดีครับคุณพ่อสวัสดีครับคุณแม่” ทั้งโจและพีไหว้และกล่าวสวัสดีพร้อมกัน
“ไงเงาะ นั่งด้วยนะ” โจกล่าวทักทายแล้วนั่งลงข้างๆน้องสาว
“นั่งซิลูกพี มานั่งข้างแม่นี่ทานข้าวด้วยกัน” คุณหญิงโสภาเรียกพีที่ยืนยิ้มรอคำเชิญอยู่
“ขอบพระคุณครับคุณแม่” พีตอบรับแล้วนั่งลงข้างๆ
“กำลังคิดถึงอยู่เลย” เงาะหันไปพูดกับพี่ชายโดยแสร้งไม่มองอีกคน
“มีอะไรมาฝากบ้าง” เงาะถามแล้วทำท่าแบมือขอจากพี่ชาย
“เอ่อ” โจทำท่าอึดอัดไม่ทันตั้งตัวว่าน้องสาวจะทวงตอนนี้เพราะของฝากนั้นอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเจ้าเพื่อนที่หามาฝากแฟน แต่มันดันนั่งทำหน้านิ่งไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกมา
“อ๋อ ขอโทษทีลืมไว้ที่ห้องน่ะ เดี๋ยวพี่จะรีบกลับไปเอามาให้ นะนะ” โจหาทางออกได้ทัน
“อย่างเนี่ย” เงาะแกล้งทำตาเขียวใส่พี่ชาย แต่เธอแน่ใจว่าต้องมีของฝากของเธออยู่กับชายหนุ่มอีกคนแน่นอน
“วันนี้คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ” โจถามพ่อเพื่อชวนคุย
“อืม ก็สบายดี” สุรเกียรติตอบลูกชายสั้นๆแล้วมองแวบหนึ่ง
“แล้วพวกแกล่ะ ไปไหนมา” สุรเกียรติเอ่ยถามทั้งสองหนุ่ม
“ไปส่งของให้คุณลุงไกรครับ ขึ้นไปทางอีสาน” โจตอบ
“ของแบบไหน” สุรเกียรติถามหันมองทั้งสองหนุ่ม
“ก็เป็นพวกของจำเป็นสำหรับยังชีพของคนอยู่ที่กันดารห่างไกลน่ะครับ พวกชนกลุ่มน้อย” พีชิงตอบก่อนเพราะอยากพูดอะไรออกมาบ้าง
“พี่ผาใช่มั้ย” สุรเกียรติถามไม่ได้มองหน้าใคร
สองหนุ่มมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ “คุณพ่อรู้จักด้วยหรือครับ” โจถามพ่อ
“อ้าว แล้วชั้นเป็นอะไรกับลุงไกรของพวกแกล่ะ” สุรเกียรติย้อนถามโจเสียงดุ
“ก็ดี แล้วบินกันยังไงมิกซ์มันไม่สอยร่วงเอา” พ่อถาม
“เลาะไปตามช่องเขาหลบเรด้าร์ไปครับ ทางนี้เค้าก็คอยมอนิเตอร์ให้อยู่ว่าพวกนั้นเห็นเรารึยัง ถ้ามีการเคลื่อนไหวเค้าก็แจ้งบอกให้เราหาที่หลบครับ” พีตอบ
“ไปบ่อยมั้ย” สุรเกียรติถาม
“สองเดือนครั้งครับ นอกนั้นก็บินส่งที่นั่นบ้างที่นี่บ้างก็พอค่าใช้จ่ายอยู่ครับ” โจตอบ
“อืม ทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลัง หากไปเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงใหญ่โตขึ้นมาจะแก้กันไม่ไหว” สุรเกียรติเตือนสองหนุ่มแล้วขยับตัวลุกขึ้น “ไปล่ะวันนี้มีประชุมลูกค้า คุยกันไปก่อน” “ผมไปนะ” สุรเกียรติหันไปบอกโสภาแล้วก้มลงหอมที่ขมับขวาของเธอ
“ค่ะ” โสภายิ้มตอบรับ
สุรเกียรติกำลังจะเดินออกประตูไปพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงหันกลับมามองพีแล้วพูด
“เออ เชียรกับแสงดาวเค้าโทรหาพ่อหลายครั้งแล้วถามว่าลูกเค้าอยู่ไหน กลับบ้านรึยังเรา”
“ยังเลยครับคุณพ่อเพิ่งกลับมาถึงครับ” พีตอบ
“แล้วโทรหาเค้ารึยัง” สุรเกียรติถามต่อ
“เอ่อ ยังเลยครับ” พีอ้อมแอ้มตอบ
“อืม พอกัน” สุรเกียรติส่ายหน้าแล้วเดินออกจากห้องไป
พ่อเลี้ยงวิเชียรและแม่หญิงแสงดาว บุพการีผู้ให้กำเนิด พีรสรรพ์ ลูกชายทโมนที่ทั้งคู่ปวดเศียรเวียนศีรษะมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ซนแก่นไม่สมกันกับที่โตมาเป็นหนุ่มผิวขาวตาเรียวสะโอดสะอง พีและโจคบหากันมาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนประถมเมื่อสุรเกียรติและโสภาตัดสินใจส่งลูกชายเข้าโรงเรียนประจำฝรั่งมีชื่อที่เชียงใหม่ด้วยเหตุผลที่วิเชียรพูดกับพวกเขาว่า “ก็ตอนเด็กกูพลัดที่มาเรียนกรุงเทพฯอยู่บ้านแล้ว ตานี้ส่งลูกไปให้กูเลี้ยงบ้าง” เป็นเหตุผลที่ฟังเรียบง่ายแต่แฝงนัยที่ลึกซึ้งอันเกิดแต่สัมพันธภาพของพวกเขา นั่นเองที่ทำให้ทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันอย่างมาก นั่นเองที่ทำให้พวกเขาส่งลูกไปเรียนต่อที่อเมริกาพร้อมกัน และนั่นเองที่สองหนุ่มคบคิดกันทำเรื่องคุณเป็ดน้ำ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารคลายความเป็นทางการลงหลังจากที่สุรเกียรติเดินออกไป การทานอาหารและสนทนากันไปมาระหว่างทั้งสี่คนดำเนินไปครู่ใหญ่
“จะสายแล้วหนูไปทำงานล่ะเดี๋ยวคุณพ่อตัดเงินเดือน” เงาะพูดขยับตัวหยิบข้าวของ
“นั่งคุยต่ออีกนิดก็ได้ นานๆจะได้ทานข้าวกับพี่ๆเค้า” โสภาบอกลูก
“นั่นซิครับ” พีพูดมองหน้าเงาะยิ้มแหย
“ก็ได้ มีอะไรคุยอีก” เงาะนั่งลงทำท่าปั้นปึ่ง
“พอดีผมมีของมาฝากคุณแม่กับน้องเงาะน่ะครับ” พีพูดพลางหยิบถุงผ้าเล็กๆสองถุงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“อันนี้ของคุณแม่ครับ” พีส่งก้อนวัตถุสีเหลืองเหลือบลายส่งให้โสภาอย่างนอบน้อม
“อะไรนี่ลูกพี” โสภาถาม