ฝ้า เป็นความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีเมลานิ นใต้ผิวหนัง เห็นเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือเทา เกิดที่แก้มหน้าผาก จมูกและคาง มักจะเป็นเท่า ๆ กันทั้ง 2 ข้าง ผิวหนังบริเวณที่เป็น จะเป็นปกติไม่มีการอักเสบ ไม่มีขุย มักพบในผู้หญิง จากลักษณะการกระจายของฝ้าแบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ
1. centrofacial pattern เป็นรอยฝ้าบริเวณแก้ม หน้าผาก หนวด จมูก และคาง พบประมาณร้อยละ 63
2. malar pattern เป็นรอยฝ้าที่แก้มและจมูก พบประมาณร้อยละ 21
3. mandibular pattern เป็นรอยฝ้าบริเวณด้านข้างของคาง ขากรรไกรล่าง พบประมาณร้อยละ 16
ลักษณะการกระจายของฝ้าทั้ง 3 แบบ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอายุผู้ป่วย ลักษณะผิว การกินยาคุมหรือการตั้งครรภ์
ปกติ เซลล์สร้างเม็ดสีจะอยู่ในผิวชั้นหนัง กำพร้าเท่านั้น แต่ในตัวผิวชั้นหนังกำพร้าเอง ก็ยังมีชั้นย่อยอีกหลายชั้น เมลานินอาจจะอยู่ชั้นใดชั้นหนึ่งที่ลึก ตื้น ไม่เท่ากันในแต่ละคน อาจจะอยู่กระจุก กระจาย แตกต่างกันไป ทำให้ฝ้าแต่ละคนเข้มไม่เท่ากัน เราเรียกฝ้าที่เกิดจากการเพิ่มต้วของเมลานินในชั้นหนังกำพร้านี้ว่า " ฝ้าตื้น (epidermal type) หรือ Epidermal Melasma " ฝ้าชนิดนี้จะตอบสนองดีต่อ whitening หรือการทำไอออนโตผลักไวเทนนิ่งหรือตัวยาอื่นๆเข้าผิวหนัง
ฝ้า อีกประเภทที่ควรทราบ " ฝ้าลึก (dermal type) หรือ Dermal melasma " เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นจากการมีเซลล์เม็ดสีที่ชื่อ " melanophage" อยู่ในผิวชั้นหนังแท้ (ชั้น dermis) รอบๆหลอดเลือด ฝ้าชนิดนี้รักษายาก ไม่ตอบสนองต่อไวเทนนิ่งที่ทาภายนอก หรือแม้แต่การใช้หัตถการทางการแพทย์ก็มักจะได้ผลไม่ดีนัก ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้ครีมรักษาฝ้า ยังไงก็ไม่ได้ผล อาจจะเป็นไปได้ว่า ฝ้าที่เป็นอยู่ เป็นฝ้าลึก
บาง คนอาจจะเป็นผสมทั้งฝ้าลึกและฝ้าตื้น (mixed type) พอ ใช้ครีม เซรั่มรักษาฝ้า ก็จะดูตอบสนองดีในช่วงแรกๆ เพราะฝ้าตื้นได้รับการรักษา แต่ฝ้าลึกมันลึกเกินกว่าครีมทาภายนอกจะซึมเข้าไปถึง ก็พลอยทำให้หลายๆคนคิดว่าครีมที่ใช้มันไม่ work อีกต่อไป
การ แยกฝ้าตื้นและฝ้าลึก ไม่สามารถแยกได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้ wood's lamp ส่อง หมอผิวหนังที่เชี่ยวชาญจะสามารถวินิจฉัยประเภทฝ้าได้ ถ้าใครเป็นฝ้าลึก แพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ยารักษาฝ้าชนิดแรง เช่น กรดวิตามินเอ ไฮโดรควิโนน laser โดยอยู่ในความควบคุมของแพทย์ ไม่ควรรักษาฝ้าลึกด้วยตนเอง อาจจะทำให้เป็นฝ้าถาวรหรือผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีขาว (ด่างขาว เหมือนคนเผือก) ถาวรได้คะ
สาเหตุของฝ้า
สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่ามีสาเหตุหลักจาก 3 ปัจจัยคือ
1. แสงแดด ที่ สำคัญคือรังสี Ultraviolet ทำให้เกิด peroxidation ของ lipids ใน cellular membranes เกิด free radicals ซึ่งไปกระตุ้น melanocytes ให้สร้าง melanin มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ultraviolet-B (290-320 nm) หรือ ultraviolet-A และ visible radiation (320-700 nm) สามารถกระตุ้น melanocytes ได้ทั้งสิ้น แต่ UVB มีพลังงานสูงจึงทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายสุด
รังสี ยูวีเอ บี มีผลในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดสีโดยตรง คนที่อยู่กลางแดดนานๆ เช่น ชาวไร่ชาวนา กรรมกรก่อสร้าง ก็จะมีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าคนที่อยู่ในร่ม แสงแดดยังทำให้ฝ้าที่เป็นอยู่ เข้มขึ้น จางลงตามปริมาณแดดที่สัมผัสด้วย
2. ฮอร์โมนเอสโตรเจน เมื่อ ไรก็ตามที่ระดับฮอร์โมนนี้ในร่างกายขึ้นสูง ก็จะสามารถกระตุ้นเซลล์สร้างสีเมลาโนไซท์ให้เกิดฝ้าขึ้น ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีมากในเพศหญิง และจะเพิ่มขึ้นสูงในระยะตั้งครรภ์ และขึ้นลงในวัยหมดประจำเดือน หรือคนที่ระบบประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ เราจึงพบว่าฝ้ามักพบในคนที่ตั้งครรภ์หรือช่วงอายุสี่-ห้าสิบปี หรือคนที่ประจำเดือนผิดปกติ นอกจากนี้ยังพบฮอร์โมนนี้ ในยาคุมกำเนิดทั้งหลายทุกยี่ห้อ เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นกลไกสำคัญในการคุมกำเนิด จะสังเกตได้ว่าคนที่ทานยาคุมกำเนิดตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป มักมีปัญหาเรื่องฝ้า บางคนเพียง 1 – 2 แผง ร่วมกับการตากแดดมากก็มีฝ้าขึ้นแล้ว เข้าใจว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสมดุลย์ของฮอร์โมน ซึ่งยังไม่ทราบว่าตัวใด อาจจะเป็น estrogen หรือ progesterone ที่มีอยู่ในยาคุมกำเนิด
จาก การศึกษาการเกิดฝ้าในสตรีที่รับ ประทานยาคุมชนิด sequential (ยาคุมรุ่นเก่า เช่น แอนนา วันเดย์ ยาคุมกลุ่มนี้จะมีราคาถูก 15-20 บาท/ แผง ใน 15 เม็ดแรกจะมีส่วนผสมของโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว อีก 6 เม็ดที่เหลือเป็นเอสโตรเจน) เปรียบเทียบกับชนิด combine pills (ยาคุมรุ่นหลังที่ในแต่ละเม็ดจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจน+โปรเจสเตอโรนในเม็ดเดียว กัน) พบว่าทั้ง 2 กลุ่มไม่ต่างกัน จึงบอกไม่ได้ว่าระหว่าง ฮอร์โมนเอสโตรเจน และ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนใน ตัวใดกันแน่ที่ทำให้เกิดฝ้า
ฮอร์โมน อีกตัวที่มีบทบาทต่อการเกิดฝ้า คือ MeSH หรือ melanocyte stimulating hormone เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมองส่วนกลาง สร้างจากเซลล์เมลาโนไซท์ (melanotropic cell) เป็นตัวกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสีเมลานิน(melanin pigment ) ที่ผิวหนัง โดยกระตุ้นการกระจาย ของเมลานิน (melanin) ในเมลาโนไซท์ถ้าขาด MSH ผิวหนังจะซีดขาว ถ้า MSH มากเกินไปผิวหนังจะเข้มดำ
ฮอร์โมน เอสโตรเจนกลายเป็นผู้ร้ายที่ถูกกล่าว หามาตลอด ทั้งที่จริงแล้ว ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดจากฮอร์โมนตัวใด ลำพังฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียวไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นฝ้าได้ อย่างฮอร์โมนทดแทนที่ให้สตรีวัยหมดประจำเดือนซึ่งมีส่วนผสมของเอสโตรเจน เพียวๆ ก็ไม่ทำให้คนที่รับประทานเป็นฝ้าแต่อย่างใด
ถ้า ใครเป็นฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน = ฝ้าเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ เป็นฝ้าช่วงที่รับประทานยาคุมกำเนิด เมื่อหมดการกระตุ้นจากฮอร์โมน ได้แก่ ระยะหลังคลอด หรือหลังหยุดยา ฝ้าที่เป็นอยู่มีโอกาสหายขาดไปได้มากกว่าฝ้าฮอร์โมนแบบอื่น (ฝ้าที่เกิดจาก การแกว่งขึ้นลงของฮอร์โมนในรอบเดือนปกติของแต่ละคน)
ฮอร์โมน เอสโตรเจนมีมากในเพศหญิง ชายมีน้อยกว่า ผู้ชายก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องฝ้า เว้นแต่ผู้ที่ถูกแดดมากๆ เช่น ทหาร ตำรวจชายแดน ก็อาจจะพัฒนาไปเป็นฝ้าได้เช่นกันคะ
3. พันธุกรรม เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีรายงานว่าคนในครอบครัวเดียวกันจะเป็นฝ้าเหมือนกันได้ถึง 30 – 50% และยังพบฝ้าได้บ่อยในคน Hipanics และ Asian อย่างไรก็ตาม อุบัติการณ์ดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากพันธุกรรม หรือเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม แสงแดด ยังไม่สามารถยืนยันได้
สาเหตุอื่นๆ เช่น แพ้เครื่องสำอาง ยา phenytoin (ชื่อการค้า Dilantin อาจทำให้เกิดผื่นดำดูคล้ายฝ้า) ขาดวิตามินบี 12
ปัจจุบันนิยมรักษาด้วยเลเซอร์
Laser จัดเป็นนวัตกรรมในการลดเลือนจุดด่างดำ โดยเฉพาะกระฝ้า และกระตุ้นหน้าขาวใส สามารถเห็นผลว่าดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกของการรักษา มีประสิทธิภาพเหนือกว่า IPL และเลเซอร์ตัวอื่นๆ โดย Spectra Laser ที่ความยาวคลื่น 1064 nm ซึ่งมีความจำเพาะกับเม็ดสี เมลานิน จึงทำให้ผิวหน้าขาว กระจ่างใส กระชับรูขุมขน โดยไม่มีแผลตกสะเก็ตใดๆ นอกจากฝ้าแล้ว Spectra Laser ยังมีความสามารถในการรักษาริ้วรอยต่างๆ ในกลุ่มรอยคล้ำอื่นๆได้ดี ทั้ง กระตื้น กระลึก กระแดด และริ้วรอยจากสิว โดนเลเซอร์ที่จำเพาะเจาะจงลงไปที่รอยดำโดยตรง และเลเซอร์นี้จะทำลายเม็ดสี และเซลล์สีให้แตกออก จากนั้นเม็ดเลือดขาวก็จะมาเก็บและกำจัดซากสีเหล่านั้น
ที่มาของข้อมูล :
http://www.vertexclinic.com/skin-cosmetic/skin-treatment/Spectra-Laser
http://ouitragoon.spaces.live.com/blog/cns!9321C46701970B66!1081.entry
http://ramalaser.rama-alumni.com/know/facial-pigment-1.htm
http://www.vichaiyut.co.th/forum/index.php?topic=40.0
http://www.mmc.co.th/mmcj/index.php?option=com_content&view=article&id=90:2009-06-16-09-24-22&catid=42:2009-05-16-00-59-18&Itemid=29
ฝ้าเกิดจากอะไร และต้องรักษาด้วยวิธีไหน ?
1. centrofacial pattern เป็นรอยฝ้าบริเวณแก้ม หน้าผาก หนวด จมูก และคาง พบประมาณร้อยละ 63
2. malar pattern เป็นรอยฝ้าที่แก้มและจมูก พบประมาณร้อยละ 21
3. mandibular pattern เป็นรอยฝ้าบริเวณด้านข้างของคาง ขากรรไกรล่าง พบประมาณร้อยละ 16
ลักษณะการกระจายของฝ้าทั้ง 3 แบบ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอายุผู้ป่วย ลักษณะผิว การกินยาคุมหรือการตั้งครรภ์
ปกติ เซลล์สร้างเม็ดสีจะอยู่ในผิวชั้นหนัง กำพร้าเท่านั้น แต่ในตัวผิวชั้นหนังกำพร้าเอง ก็ยังมีชั้นย่อยอีกหลายชั้น เมลานินอาจจะอยู่ชั้นใดชั้นหนึ่งที่ลึก ตื้น ไม่เท่ากันในแต่ละคน อาจจะอยู่กระจุก กระจาย แตกต่างกันไป ทำให้ฝ้าแต่ละคนเข้มไม่เท่ากัน เราเรียกฝ้าที่เกิดจากการเพิ่มต้วของเมลานินในชั้นหนังกำพร้านี้ว่า " ฝ้าตื้น (epidermal type) หรือ Epidermal Melasma " ฝ้าชนิดนี้จะตอบสนองดีต่อ whitening หรือการทำไอออนโตผลักไวเทนนิ่งหรือตัวยาอื่นๆเข้าผิวหนัง
ฝ้า อีกประเภทที่ควรทราบ " ฝ้าลึก (dermal type) หรือ Dermal melasma " เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นจากการมีเซลล์เม็ดสีที่ชื่อ " melanophage" อยู่ในผิวชั้นหนังแท้ (ชั้น dermis) รอบๆหลอดเลือด ฝ้าชนิดนี้รักษายาก ไม่ตอบสนองต่อไวเทนนิ่งที่ทาภายนอก หรือแม้แต่การใช้หัตถการทางการแพทย์ก็มักจะได้ผลไม่ดีนัก ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้ครีมรักษาฝ้า ยังไงก็ไม่ได้ผล อาจจะเป็นไปได้ว่า ฝ้าที่เป็นอยู่ เป็นฝ้าลึก
บาง คนอาจจะเป็นผสมทั้งฝ้าลึกและฝ้าตื้น (mixed type) พอ ใช้ครีม เซรั่มรักษาฝ้า ก็จะดูตอบสนองดีในช่วงแรกๆ เพราะฝ้าตื้นได้รับการรักษา แต่ฝ้าลึกมันลึกเกินกว่าครีมทาภายนอกจะซึมเข้าไปถึง ก็พลอยทำให้หลายๆคนคิดว่าครีมที่ใช้มันไม่ work อีกต่อไป
การ แยกฝ้าตื้นและฝ้าลึก ไม่สามารถแยกได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้ wood's lamp ส่อง หมอผิวหนังที่เชี่ยวชาญจะสามารถวินิจฉัยประเภทฝ้าได้ ถ้าใครเป็นฝ้าลึก แพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ยารักษาฝ้าชนิดแรง เช่น กรดวิตามินเอ ไฮโดรควิโนน laser โดยอยู่ในความควบคุมของแพทย์ ไม่ควรรักษาฝ้าลึกด้วยตนเอง อาจจะทำให้เป็นฝ้าถาวรหรือผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีขาว (ด่างขาว เหมือนคนเผือก) ถาวรได้คะ
สาเหตุของฝ้า
สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่ามีสาเหตุหลักจาก 3 ปัจจัยคือ
1. แสงแดด ที่ สำคัญคือรังสี Ultraviolet ทำให้เกิด peroxidation ของ lipids ใน cellular membranes เกิด free radicals ซึ่งไปกระตุ้น melanocytes ให้สร้าง melanin มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ultraviolet-B (290-320 nm) หรือ ultraviolet-A และ visible radiation (320-700 nm) สามารถกระตุ้น melanocytes ได้ทั้งสิ้น แต่ UVB มีพลังงานสูงจึงทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายสุด
รังสี ยูวีเอ บี มีผลในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดสีโดยตรง คนที่อยู่กลางแดดนานๆ เช่น ชาวไร่ชาวนา กรรมกรก่อสร้าง ก็จะมีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าคนที่อยู่ในร่ม แสงแดดยังทำให้ฝ้าที่เป็นอยู่ เข้มขึ้น จางลงตามปริมาณแดดที่สัมผัสด้วย
2. ฮอร์โมนเอสโตรเจน เมื่อ ไรก็ตามที่ระดับฮอร์โมนนี้ในร่างกายขึ้นสูง ก็จะสามารถกระตุ้นเซลล์สร้างสีเมลาโนไซท์ให้เกิดฝ้าขึ้น ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีมากในเพศหญิง และจะเพิ่มขึ้นสูงในระยะตั้งครรภ์ และขึ้นลงในวัยหมดประจำเดือน หรือคนที่ระบบประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ เราจึงพบว่าฝ้ามักพบในคนที่ตั้งครรภ์หรือช่วงอายุสี่-ห้าสิบปี หรือคนที่ประจำเดือนผิดปกติ นอกจากนี้ยังพบฮอร์โมนนี้ ในยาคุมกำเนิดทั้งหลายทุกยี่ห้อ เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นกลไกสำคัญในการคุมกำเนิด จะสังเกตได้ว่าคนที่ทานยาคุมกำเนิดตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป มักมีปัญหาเรื่องฝ้า บางคนเพียง 1 – 2 แผง ร่วมกับการตากแดดมากก็มีฝ้าขึ้นแล้ว เข้าใจว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสมดุลย์ของฮอร์โมน ซึ่งยังไม่ทราบว่าตัวใด อาจจะเป็น estrogen หรือ progesterone ที่มีอยู่ในยาคุมกำเนิด
จาก การศึกษาการเกิดฝ้าในสตรีที่รับ ประทานยาคุมชนิด sequential (ยาคุมรุ่นเก่า เช่น แอนนา วันเดย์ ยาคุมกลุ่มนี้จะมีราคาถูก 15-20 บาท/ แผง ใน 15 เม็ดแรกจะมีส่วนผสมของโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว อีก 6 เม็ดที่เหลือเป็นเอสโตรเจน) เปรียบเทียบกับชนิด combine pills (ยาคุมรุ่นหลังที่ในแต่ละเม็ดจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจน+โปรเจสเตอโรนในเม็ดเดียว กัน) พบว่าทั้ง 2 กลุ่มไม่ต่างกัน จึงบอกไม่ได้ว่าระหว่าง ฮอร์โมนเอสโตรเจน และ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนใน ตัวใดกันแน่ที่ทำให้เกิดฝ้า
ฮอร์โมน อีกตัวที่มีบทบาทต่อการเกิดฝ้า คือ MeSH หรือ melanocyte stimulating hormone เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมองส่วนกลาง สร้างจากเซลล์เมลาโนไซท์ (melanotropic cell) เป็นตัวกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสีเมลานิน(melanin pigment ) ที่ผิวหนัง โดยกระตุ้นการกระจาย ของเมลานิน (melanin) ในเมลาโนไซท์ถ้าขาด MSH ผิวหนังจะซีดขาว ถ้า MSH มากเกินไปผิวหนังจะเข้มดำ
ฮอร์โมน เอสโตรเจนกลายเป็นผู้ร้ายที่ถูกกล่าว หามาตลอด ทั้งที่จริงแล้ว ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดจากฮอร์โมนตัวใด ลำพังฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียวไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นฝ้าได้ อย่างฮอร์โมนทดแทนที่ให้สตรีวัยหมดประจำเดือนซึ่งมีส่วนผสมของเอสโตรเจน เพียวๆ ก็ไม่ทำให้คนที่รับประทานเป็นฝ้าแต่อย่างใด
ถ้า ใครเป็นฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน = ฝ้าเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ เป็นฝ้าช่วงที่รับประทานยาคุมกำเนิด เมื่อหมดการกระตุ้นจากฮอร์โมน ได้แก่ ระยะหลังคลอด หรือหลังหยุดยา ฝ้าที่เป็นอยู่มีโอกาสหายขาดไปได้มากกว่าฝ้าฮอร์โมนแบบอื่น (ฝ้าที่เกิดจาก การแกว่งขึ้นลงของฮอร์โมนในรอบเดือนปกติของแต่ละคน)
ฮอร์โมน เอสโตรเจนมีมากในเพศหญิง ชายมีน้อยกว่า ผู้ชายก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องฝ้า เว้นแต่ผู้ที่ถูกแดดมากๆ เช่น ทหาร ตำรวจชายแดน ก็อาจจะพัฒนาไปเป็นฝ้าได้เช่นกันคะ
3. พันธุกรรม เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีรายงานว่าคนในครอบครัวเดียวกันจะเป็นฝ้าเหมือนกันได้ถึง 30 – 50% และยังพบฝ้าได้บ่อยในคน Hipanics และ Asian อย่างไรก็ตาม อุบัติการณ์ดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากพันธุกรรม หรือเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม แสงแดด ยังไม่สามารถยืนยันได้
สาเหตุอื่นๆ เช่น แพ้เครื่องสำอาง ยา phenytoin (ชื่อการค้า Dilantin อาจทำให้เกิดผื่นดำดูคล้ายฝ้า) ขาดวิตามินบี 12
ปัจจุบันนิยมรักษาด้วยเลเซอร์
Laser จัดเป็นนวัตกรรมในการลดเลือนจุดด่างดำ โดยเฉพาะกระฝ้า และกระตุ้นหน้าขาวใส สามารถเห็นผลว่าดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกของการรักษา มีประสิทธิภาพเหนือกว่า IPL และเลเซอร์ตัวอื่นๆ โดย Spectra Laser ที่ความยาวคลื่น 1064 nm ซึ่งมีความจำเพาะกับเม็ดสี เมลานิน จึงทำให้ผิวหน้าขาว กระจ่างใส กระชับรูขุมขน โดยไม่มีแผลตกสะเก็ตใดๆ นอกจากฝ้าแล้ว Spectra Laser ยังมีความสามารถในการรักษาริ้วรอยต่างๆ ในกลุ่มรอยคล้ำอื่นๆได้ดี ทั้ง กระตื้น กระลึก กระแดด และริ้วรอยจากสิว โดนเลเซอร์ที่จำเพาะเจาะจงลงไปที่รอยดำโดยตรง และเลเซอร์นี้จะทำลายเม็ดสี และเซลล์สีให้แตกออก จากนั้นเม็ดเลือดขาวก็จะมาเก็บและกำจัดซากสีเหล่านั้น
ที่มาของข้อมูล :
http://www.vertexclinic.com/skin-cosmetic/skin-treatment/Spectra-Laser
http://ouitragoon.spaces.live.com/blog/cns!9321C46701970B66!1081.entry
http://ramalaser.rama-alumni.com/know/facial-pigment-1.htm
http://www.vichaiyut.co.th/forum/index.php?topic=40.0
http://www.mmc.co.th/mmcj/index.php?option=com_content&view=article&id=90:2009-06-16-09-24-22&catid=42:2009-05-16-00-59-18&Itemid=29