มีพระนักปริยัติบางรูป ท่านค้นคว้าตามตำรา เพราะได้เรียนมามาก อาตมาว่าทดลองดูเถอะ การกางแบบกางตำรานี่ ถึงเวลาเรียน ๆ ตามแบบ แต่เวลารบ ๆ นอกแบบ ไปรบตามแบบมันสู้ข้าศึกไม่ไหว ถ้าเอากันจริงจังแล้วต้องรบนอกแบบ
ผู้ที่เรียนปริยัติ และผู้ปฏิบัติธรรมมักจะเข้าใจกันผิด ผู้เรียนปริยัติมักจะพูดว่า "พระที่เอาแต่ปฏิบัตินั้นท่านว่าตามความเห็นของท่าน"
เขาพูดเช่นนั้น โดยไม่มีหลักฐานอะไร
ที่จริงแล้วในความหมายหนึ่ง ทั้งสองอย่างก็เป็นอันเดียวกัน เราจะเข้าใจดีขึ้น ถ้าเปรียบเทียบกับฝ่ามือและหลังมือ
เมื่อเรายื่นมือออกมารู้สึกคล้ายกับว่าฝ่ามือหายไป ที่จริงมันไม่ได้หายไปไหน มันแค่ซ่อนอยู่ข้างใต้เท่านั้น
ทำนองเดียวกันเมื่อหงายมือขึ้น หลังมือก็หายไป ความจริงมันไม่ได้หายไปไหน แต่อยู่ข้างใต้นั้นเอง
ควรจำเรื่องนี้ไว้ใช้ในการพิจารณาการปฏิบัติ ถ้าคิดว่ามันหายไปแล้ว เราก็หยุดการศึกษาและหวังให้ได้ผล
แต่ไม่ว่าเราจะศึกษาธรรมะมากเพียงไรก็ตาม เราจะไม่เข้าใจเพราะเรายังไม่รู้ตามความเป็นจริง
ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติที่แท้ของธรรมะแล้ว เราก็จะเริ่มปล่อยวาง
อันนี้เป็นการยอมรื้อถอนความยึดมั่นออก ไม่ยึดติดอะไรอีกแล้ว หรือหากจะยึด มันก็จะน้อยลง ๆ
นี่คือ ความแตกต่างของปริยัติและปฏิบัติ"
หลวงปู่ชา สุภัทโท
...ปริยัติและปฏิบัติ... หลวงปู่ชา
ผู้ที่เรียนปริยัติ และผู้ปฏิบัติธรรมมักจะเข้าใจกันผิด ผู้เรียนปริยัติมักจะพูดว่า "พระที่เอาแต่ปฏิบัตินั้นท่านว่าตามความเห็นของท่าน"
เขาพูดเช่นนั้น โดยไม่มีหลักฐานอะไร
ที่จริงแล้วในความหมายหนึ่ง ทั้งสองอย่างก็เป็นอันเดียวกัน เราจะเข้าใจดีขึ้น ถ้าเปรียบเทียบกับฝ่ามือและหลังมือ
เมื่อเรายื่นมือออกมารู้สึกคล้ายกับว่าฝ่ามือหายไป ที่จริงมันไม่ได้หายไปไหน มันแค่ซ่อนอยู่ข้างใต้เท่านั้น
ทำนองเดียวกันเมื่อหงายมือขึ้น หลังมือก็หายไป ความจริงมันไม่ได้หายไปไหน แต่อยู่ข้างใต้นั้นเอง
ควรจำเรื่องนี้ไว้ใช้ในการพิจารณาการปฏิบัติ ถ้าคิดว่ามันหายไปแล้ว เราก็หยุดการศึกษาและหวังให้ได้ผล
แต่ไม่ว่าเราจะศึกษาธรรมะมากเพียงไรก็ตาม เราจะไม่เข้าใจเพราะเรายังไม่รู้ตามความเป็นจริง
ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติที่แท้ของธรรมะแล้ว เราก็จะเริ่มปล่อยวาง
อันนี้เป็นการยอมรื้อถอนความยึดมั่นออก ไม่ยึดติดอะไรอีกแล้ว หรือหากจะยึด มันก็จะน้อยลง ๆ
นี่คือ ความแตกต่างของปริยัติและปฏิบัติ"
หลวงปู่ชา สุภัทโท