ช่วงนี้เห็นกระทู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเยอะเลย
อย่างน้อยเราก็อยากบอกเล่าเรื่องราวของเราให้คนอื่นฟังบ้าง
เราอายุ 24 ปี กำลังศึกษาป.โท ดูแลสุขภาพกินผัก กินน้ำสมุนไพร ออกกำลังกายบ้าง วิ่งบ้าง ไม่เคยป่วยเป็นโรครุนแรงที่ต้องเข้ารพ.เลย
อย่างมากแค่ท้องผูก เป็นหวัด
จนปลายปี 56 มีเลือดหยดใสๆออกมาที่ไม่ใช่เมนส์
เลยลองไปตรวจภายใน หมอให้ติดตามอาการเป็นไปได้ว่า
จะเครียด ฮอร์โมนเปลี่ยนหรือเปล่า
พออีกเดือนก็ปกติ ไม่มีเลือด เลยไม่ได้นัดตรวจเพิ่มเติม
ผ่านไปอีกเดือน ขณะที่นอนราบหลังกินบุฟเฟ่ต์มา
เอ่ ทำไมพุงเรามันนูนไม่เท่ากันหวา
ข้างซ้ายมันปูดกว่าขวา เว้ย
กดๆ ดันๆ ไม่ใช่ถุงน้ำ เป็นเนื้อแฮะ ดันไม่ขยับด้วย
แหน่ะ ไปตรวจดีกว่า
คราวนี้ หมอจับอัลตราซาวน์
บอกว่าเป็นก้อนเนื้อ ลักษณะเนื้อเยื่อเรียงตัวไม่ดีเลย
ต้องพิจารณาให้ตัดออกพร้อมรังไข่ข้างซ้าย
เพื่อนำไปวิเคราะห์ว่าเป็นเนื้อชนิดอะไร
ก็นัดคิวกว่าจะได้ มกรา 57 จ้า
เพราะติดม็อบ หึหึ
เนื่องจากรพ.อยู่แถวอนุเสารีย์ชัยฯ
เพื่อความปลอดภัยเลยต้องเลื่อนมาไกลนิดนึง
ตอนนั้นยอมรับเลยว่า ฟังหมอแล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆค่ะๆ
ตกลงตามนั้น ผ่าเลยหนูโอเค
แต่พอกลับมาทำงานต่อที่ม.เท่านั้น
มันแอบเศร้านะ
ยังไม่ทันใช้งานเล้ยยยยย
ถูกตัดซะละ ลูกแม่ก๊าบบ แต่เอาวะยังเหลืออีกข้างมันยังใช้ได้
ช่วงระหว่างรอผ่า เราใช้ชีวิตแฮปปี้มาก
นัดเพื่อนกินข้าว เที่ยว ฉลองปีใหม่
และด้วยความที่มันนัดผ่าห่างนานมาก
วันที่ผ่าตัดหมออัลตราซาวน์เช็คขนาดอีกรอบ
ปรากฏว่ามันโตจาก 10 cm -> 25 cm คือมันบานเต็มท้องเราแล้ว
มิน่าทำไมเราถึงปวดท้อง กินได้น้อย ดูผอมซูบ(เพื่อนทัก)
ทั้งที่น้ำหนักเท่าเดิมตลอด
และแล้วก็แอดมิดรอผ่าตัดวันรุ่งขึ้น คิวแรก
เค้าก็เตรียมให้ล้างตัวสระผมให้สะอาด คลีนลำไส้ด้วยยาถ่าย
เพื่อป้องกันการติดเชื้อ (รสชาตินี่ขนลุกสุดติ่งกระดิ่งแมว ~ swift 2 ขวด ) ถ่ายจนเป็นน้ำ แถมเป็นลมเพราะเราถ่ายจนหมดแรง
จนพยาบาลต้องเอาแพมเพิสมาใส่ให้เลย เขิลมาก
ตลอดทั้งคืน ก็จะมีหมอแผนกต่างๆมาคอยถามเราเรื่อย
วันรุ่งขึ้น ไปคิวแรกเลย 8 โมง ให้เตรียมตัวเปลี่ยนชุด
ให้น้ำเกลือ แล้วก็เข้าห้องผ่าตัดรมยา
ฟื้นมาอีกที เค้าปลุกเราเพื่อเช็คว่าเราแพ้ยาไหม มีสติโอเคไหม
จนเข็นกลับมาห้องพัก ก็เปลี่ยนชุดแล้วหลับต่อ
ตื่นมาอีกทีก็เกือบเย็นแล้ว ตอนนั้นปวดแผลแต่เค้าจะต่อยาระงับปวดไว้ให้เรากดเอง
เราก็พยายามไม่กดกลัวติด จนพยาบาลกับหมอดุเลย
บอกว่าให้กดๆไปเลย กลัวติดทำไม ฮ่าๆ
คำพูดแรกที่พูดตอนเจอหน้าพ่อกับเพื่อน คือ
นี่ๆ พุงแฟ่บแล้วนะ ไม่มีก้อนแล้ว จับสิๆ
ก็แอดมิดรอดูอาการประมาณ 4-5 วัน
ในวันแรกที่ฟื้น ต้องพยายามพลิกขยับตัว
วันที่สอง ต้องลุกขึ้นนั่งให้ได้
วันที่สามต้องลุกลงมานั่งข้างเตียง พยายามเดิน
คือทุกวันต้องพัฒนา ไม่อย่างนั้นจะยิ่งปวดแผล ติดเตียง หายช้า ยิ่งเห็นเตียงข้างๆไม่ยอมทำอะไร
ยิ่งหายช้ากว่าเราอีก
ต้องทนเจ็บให้ได้ แล้วมันจะดีขึ้นจริงๆ
จากนั้นรอผลการวิเคราะห์ก้อนเนื้อ 1 เดือน ตุ๊มๆต่อมๆ
เมื่อฉันป่วยเป็นมะเร็งรังไข่
อย่างน้อยเราก็อยากบอกเล่าเรื่องราวของเราให้คนอื่นฟังบ้าง
เราอายุ 24 ปี กำลังศึกษาป.โท ดูแลสุขภาพกินผัก กินน้ำสมุนไพร ออกกำลังกายบ้าง วิ่งบ้าง ไม่เคยป่วยเป็นโรครุนแรงที่ต้องเข้ารพ.เลย
อย่างมากแค่ท้องผูก เป็นหวัด
จนปลายปี 56 มีเลือดหยดใสๆออกมาที่ไม่ใช่เมนส์
เลยลองไปตรวจภายใน หมอให้ติดตามอาการเป็นไปได้ว่า
จะเครียด ฮอร์โมนเปลี่ยนหรือเปล่า
พออีกเดือนก็ปกติ ไม่มีเลือด เลยไม่ได้นัดตรวจเพิ่มเติม
ผ่านไปอีกเดือน ขณะที่นอนราบหลังกินบุฟเฟ่ต์มา
เอ่ ทำไมพุงเรามันนูนไม่เท่ากันหวา
ข้างซ้ายมันปูดกว่าขวา เว้ย
กดๆ ดันๆ ไม่ใช่ถุงน้ำ เป็นเนื้อแฮะ ดันไม่ขยับด้วย
แหน่ะ ไปตรวจดีกว่า
คราวนี้ หมอจับอัลตราซาวน์
บอกว่าเป็นก้อนเนื้อ ลักษณะเนื้อเยื่อเรียงตัวไม่ดีเลย
ต้องพิจารณาให้ตัดออกพร้อมรังไข่ข้างซ้าย
เพื่อนำไปวิเคราะห์ว่าเป็นเนื้อชนิดอะไร
ก็นัดคิวกว่าจะได้ มกรา 57 จ้า
เพราะติดม็อบ หึหึ
เนื่องจากรพ.อยู่แถวอนุเสารีย์ชัยฯ
เพื่อความปลอดภัยเลยต้องเลื่อนมาไกลนิดนึง
ตอนนั้นยอมรับเลยว่า ฟังหมอแล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆค่ะๆ
ตกลงตามนั้น ผ่าเลยหนูโอเค
แต่พอกลับมาทำงานต่อที่ม.เท่านั้น
มันแอบเศร้านะ
ยังไม่ทันใช้งานเล้ยยยยย
ถูกตัดซะละ ลูกแม่ก๊าบบ แต่เอาวะยังเหลืออีกข้างมันยังใช้ได้
ช่วงระหว่างรอผ่า เราใช้ชีวิตแฮปปี้มาก
นัดเพื่อนกินข้าว เที่ยว ฉลองปีใหม่
และด้วยความที่มันนัดผ่าห่างนานมาก
วันที่ผ่าตัดหมออัลตราซาวน์เช็คขนาดอีกรอบ
ปรากฏว่ามันโตจาก 10 cm -> 25 cm คือมันบานเต็มท้องเราแล้ว
มิน่าทำไมเราถึงปวดท้อง กินได้น้อย ดูผอมซูบ(เพื่อนทัก)
ทั้งที่น้ำหนักเท่าเดิมตลอด
และแล้วก็แอดมิดรอผ่าตัดวันรุ่งขึ้น คิวแรก
เค้าก็เตรียมให้ล้างตัวสระผมให้สะอาด คลีนลำไส้ด้วยยาถ่าย
เพื่อป้องกันการติดเชื้อ (รสชาตินี่ขนลุกสุดติ่งกระดิ่งแมว ~ swift 2 ขวด ) ถ่ายจนเป็นน้ำ แถมเป็นลมเพราะเราถ่ายจนหมดแรง
จนพยาบาลต้องเอาแพมเพิสมาใส่ให้เลย เขิลมาก
ตลอดทั้งคืน ก็จะมีหมอแผนกต่างๆมาคอยถามเราเรื่อย
วันรุ่งขึ้น ไปคิวแรกเลย 8 โมง ให้เตรียมตัวเปลี่ยนชุด
ให้น้ำเกลือ แล้วก็เข้าห้องผ่าตัดรมยา
ฟื้นมาอีกที เค้าปลุกเราเพื่อเช็คว่าเราแพ้ยาไหม มีสติโอเคไหม
จนเข็นกลับมาห้องพัก ก็เปลี่ยนชุดแล้วหลับต่อ
ตื่นมาอีกทีก็เกือบเย็นแล้ว ตอนนั้นปวดแผลแต่เค้าจะต่อยาระงับปวดไว้ให้เรากดเอง
เราก็พยายามไม่กดกลัวติด จนพยาบาลกับหมอดุเลย
บอกว่าให้กดๆไปเลย กลัวติดทำไม ฮ่าๆ
คำพูดแรกที่พูดตอนเจอหน้าพ่อกับเพื่อน คือ
นี่ๆ พุงแฟ่บแล้วนะ ไม่มีก้อนแล้ว จับสิๆ
ก็แอดมิดรอดูอาการประมาณ 4-5 วัน
ในวันแรกที่ฟื้น ต้องพยายามพลิกขยับตัว
วันที่สอง ต้องลุกขึ้นนั่งให้ได้
วันที่สามต้องลุกลงมานั่งข้างเตียง พยายามเดิน
คือทุกวันต้องพัฒนา ไม่อย่างนั้นจะยิ่งปวดแผล ติดเตียง หายช้า ยิ่งเห็นเตียงข้างๆไม่ยอมทำอะไร
ยิ่งหายช้ากว่าเราอีก
ต้องทนเจ็บให้ได้ แล้วมันจะดีขึ้นจริงๆ
จากนั้นรอผลการวิเคราะห์ก้อนเนื้อ 1 เดือน ตุ๊มๆต่อมๆ