ดิฉันได้เข้ารับการผ่าตัดริดสีดวงทวาร 8 พย 2557 คุณหมอสายพิณ รพ จุฬารัตน์ 9 เพื่อผ่าขยายหูรูด ตัดแผลเรื้อรังที่ด้านหลังบริเวณหูรูดทวารและริดสีดวงภายในขนาดใหญ่ ขนาดประมาณ 2-3ซม บล็อกหลัง ผ่าตัด 45 นาที เสร็จแล้วย้ายมาที่ห้องพักรวมหญิง
9 พย มีการเยี่ยมผู้ป่วยด้วยคุณหมออีกคนชื่อคุณหมอสงคราม มาขอดูแผลเพราะหมอไม่ได้เป็นผ่าตัดเองไม่รู้ว่าหมออีกคนทำอะไรบ้าง ระหว่างนั้นก้อนอน กินยา แช่ก้น เช้า กลางวัน เย็น ปวดแผลบ้าง แต่อยู่ในระดับที่ทนได้
10 พย หมอสงคราม มาเยี่ยมแล้วบอกว่าแผลไม่มีอะไร คือมีเลือด มีน้ำเหลืองไหลคืออาการที่มันควรจะเป็น ให้กลับบ้านได้ แล้วแต่คนไข้นะ ระหว่างรอกลับบ้าน มีพยาบาลเดินมาแนะนำยา เราถามว่าขออยู่ต่อได้ไหม เนื่องจากเกรงว่าอาจจะไม่สามารถดูแลแผลได้ดีเท่ากับการอยู่ในโรงพยาบาล พยาบาลตอบว่า หมอให้กลับบ้านค่ะ
13 พย หลังจากถ่ายรู้สึกปวดมากจึงกลับมาที่ รพ คุณหมอสถิตวงศ์ ให้แอดมิดเพื่อให้ยา เพราะแผลติดเขื้อ นอน รพ เพื่อให้ยาฆ่าเชื้อทางสายน้ำเกลือเป็นแบบขวดแก้วและแบบขวดยางเหมือนน้ำเกลือ
16 พย เข้าห้องน้ำเวลาประมาณ 5.30 น มีเลือดไหลออกมา หลังจากทำความสะอาดจึงมานอนที่เตียง ปรากฏว่ามีเลือดไหลอีก จึงเดินไปเข้าห้องน้ำอีกรอบ เลือกไหลออกมาไม่หยุดจึงแจ้งพยาบาล ถาม ผช พยาบาล ว่าต้องทำอย่างไร คำตอบคือไม่ทราบ ถามพยาบาลที่เป็นซีเนียร์หน่อยที่รับเรื่อง บอกว่าแจ้งหมอแล้ว ให้รอหมอมาตรวจเวร ประมาณไม่เกิน 10 โมงเช้า ระหว่างนั้นเราประเมินสถานการณ์แล้วว่า ดีสุดหมอมา 7 โมง เลือดไหล 1.5 ชม จึงตั้งสมมติฐาน 1นาที@10cc 1 ชม 600cc 1.5 ชม 900 cc เราต้องแย่แน่ๆ จึงกดออดเรียกพยาบาลว่ามันออกเยอะแล้วนะ ต้องทำอะไรสักอย่าง พยาบาลบอกว่าหมอให้เจาะเลือดเช็คเลือดจาง รอผลเลือดก่อนแจ้งหมออีกครั้ง ระหว่างนั้นเราคิดว่าแบบนี้เราแย่แน่ๆ จึงโทรหาสามี แจ้งญาติ เพื่อนที่ติดต่อได้ ให้รีบมาดูเราหน่อยเราแย่แล้ว เกือบ 7 โมง เพื่อนมาถึง ตอนนั้นอาการเราแย่ลง เริ่มเพลีย เพื่อนพยายามปรึกษาพยาบาลว่าต้องทำยังไงให้เลือดหยุดไหล พยาบาลแจ้งว่าต้องรอหมอ อีกไม่นานเราเริ่มหน้ามืด หายใจไม่สะดวก ตัวเกร็ง แขนขา ขยับไม่ได้ รู้สึกได้ว่ามีคนมารุมเยอะไปหมด แต่เราไม่มีความเชื่อในพยายาลเหล่านี้เลยว่าจะช่วยรักษาชีวิตเราได้ หมอมาถึงประมาณ 7 โมงกว่าตอนนั้นเราแย่แล้ว หมอดึงไหมออก 1 เส้น แล้วเผ้าก้อสอุตไว้ที่แผลตรงรูทวาร ตอนนั้น เพลีย หมดแรงมากๆ มีเครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดชีพจร น้ำเกลือ ระโยงระยางไปหมด ตอนนั้นหมดความเชื่อในโรงพยาบาลว่านี่หรือที่เราฝากความหวังให้ช่วยรักษาเรา ทำไมปล่อยให้เราหมดสติ ทั้งที่เราเร่งพยาบาลให้มาช่วยเราตลอดเวลา ตอนสายคุณหมอสงคราม มาดู ได้ยินพูดเช่นเดิมว่าเป็นอาการปกติหลังผ่าตัดซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ว่าจะมีเลือดคั่งอยู่ด้านในและไหลออกมา แต่ไม่ได้ชี้แจงอะไรเป็นพิเศษเนื่องจากคงเห็นว่าอาการเราแย่ ต้องพักผ่อน
ได้สอบถามกับพยาบาล คำอธิบายขัดแย้งกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เนื่องจากอาการหน้ามืด เกิดจากการเสียเลือดมาก หากประเมินจากสายตาน่าจะเกือบ 2 ถุงน้ำเกลือหรือ 2000 ML เลย ถ้าเลือดคั่งอยู่ด้านในมากขนาดนี้ น่าจะขับออกมาก่อนหน้านี้ตามกระบวนการขับถ่ายและคงจะหน้ามืดตั้งแต่แรกที่มันออกไม่ต้องรอ 2 ชม
หลังจากแจ้งพยาบาล หมอให้พยาบาลตรวจเลือดทันที ซึ่งไม่พบเลือดจาง ทำไมจึงเร่งตรวจเลือดที่เป็นปลายเหตุ ณ เวลานั้นเพื่อวินิจฉัย ก่อนการห้ามเลือด
ครั้งแรก 16 พย ช่วงเช้าประมาณ 6 น ไม่พบเลือดจาง
ครั้งที่ 2 16 พย 8 น พบเลือดจาง 3%
ครั้งที่ 3 17 พย 10 น พบเลือดจาง 22% ต่ำกว่ามาตรฐาน ต้องให้เลือด
อาการหมดสติเนื่องจากเสียเลือดมากเป็นเวลา 2 ชม ตั้งแต่ 5.30-7.30 โดยประมาณของผู้ป่วยถือได้ว่าเป็น error จากการทำงานของเจ้าหน้าที่ใช่หรือไม่
นอนหลับจนถึงเที่ยงวัน จึงฟื้น พยาบาลให้อึ/ฉี่บนเตียง เพราะกลัวหน้ามืด คุยกับพยาบาลอีกท่านถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าการช่วยเหลือมาช้าเกินไป พยาบาลก็ชี้แจงว่าทำงานเป็นลำดับขั้นตอน คุณหมอติดเคสอื่น ต้องรอคิว คุณหมอกำลังอาบน้ำอยู่ ติดต่อไม่ได้ พยาบาลเองไม่ได้นิ่งนอนใจ พยาบาลและหมอทุกคน พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว
18 พย มีอาการเพลียและหมดแรงอย่างมาก จึงตัดสินใจให้เลือดจากทางโรงพยาบาล ซึ่งพยาบาลแนะนำว่ามีการตรวจสอบแล้วว่าปราศจากเชื้อโรคและ HIV
19 พย พบหมอตอนเช้าและหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ โดยจะนัดพบหมอสายพินผู้ที่ทำการผ่าตัดในวันที่ 22 พย อีกที
ขณะนี้ข้าพเจ้ามีอาการอ่อนแรงตลอดเวลา และหากข้าพเจ้าได้รับเชื้อโรคซึ่งติดมากับเลือด ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ สามารถเอาผิดกับโรงพยาบาลได้หรือไม่ อย่างไรคะ
สอบถามผู้รู้ค่ะ หากการรักษาพยาลทำให้สุขภาพจิตและร่างกายแย่ลง สามารถร้องเรียนอย่างไรได้บ้างคะ
9 พย มีการเยี่ยมผู้ป่วยด้วยคุณหมออีกคนชื่อคุณหมอสงคราม มาขอดูแผลเพราะหมอไม่ได้เป็นผ่าตัดเองไม่รู้ว่าหมออีกคนทำอะไรบ้าง ระหว่างนั้นก้อนอน กินยา แช่ก้น เช้า กลางวัน เย็น ปวดแผลบ้าง แต่อยู่ในระดับที่ทนได้
10 พย หมอสงคราม มาเยี่ยมแล้วบอกว่าแผลไม่มีอะไร คือมีเลือด มีน้ำเหลืองไหลคืออาการที่มันควรจะเป็น ให้กลับบ้านได้ แล้วแต่คนไข้นะ ระหว่างรอกลับบ้าน มีพยาบาลเดินมาแนะนำยา เราถามว่าขออยู่ต่อได้ไหม เนื่องจากเกรงว่าอาจจะไม่สามารถดูแลแผลได้ดีเท่ากับการอยู่ในโรงพยาบาล พยาบาลตอบว่า หมอให้กลับบ้านค่ะ
13 พย หลังจากถ่ายรู้สึกปวดมากจึงกลับมาที่ รพ คุณหมอสถิตวงศ์ ให้แอดมิดเพื่อให้ยา เพราะแผลติดเขื้อ นอน รพ เพื่อให้ยาฆ่าเชื้อทางสายน้ำเกลือเป็นแบบขวดแก้วและแบบขวดยางเหมือนน้ำเกลือ
16 พย เข้าห้องน้ำเวลาประมาณ 5.30 น มีเลือดไหลออกมา หลังจากทำความสะอาดจึงมานอนที่เตียง ปรากฏว่ามีเลือดไหลอีก จึงเดินไปเข้าห้องน้ำอีกรอบ เลือกไหลออกมาไม่หยุดจึงแจ้งพยาบาล ถาม ผช พยาบาล ว่าต้องทำอย่างไร คำตอบคือไม่ทราบ ถามพยาบาลที่เป็นซีเนียร์หน่อยที่รับเรื่อง บอกว่าแจ้งหมอแล้ว ให้รอหมอมาตรวจเวร ประมาณไม่เกิน 10 โมงเช้า ระหว่างนั้นเราประเมินสถานการณ์แล้วว่า ดีสุดหมอมา 7 โมง เลือดไหล 1.5 ชม จึงตั้งสมมติฐาน 1นาที@10cc 1 ชม 600cc 1.5 ชม 900 cc เราต้องแย่แน่ๆ จึงกดออดเรียกพยาบาลว่ามันออกเยอะแล้วนะ ต้องทำอะไรสักอย่าง พยาบาลบอกว่าหมอให้เจาะเลือดเช็คเลือดจาง รอผลเลือดก่อนแจ้งหมออีกครั้ง ระหว่างนั้นเราคิดว่าแบบนี้เราแย่แน่ๆ จึงโทรหาสามี แจ้งญาติ เพื่อนที่ติดต่อได้ ให้รีบมาดูเราหน่อยเราแย่แล้ว เกือบ 7 โมง เพื่อนมาถึง ตอนนั้นอาการเราแย่ลง เริ่มเพลีย เพื่อนพยายามปรึกษาพยาบาลว่าต้องทำยังไงให้เลือดหยุดไหล พยาบาลแจ้งว่าต้องรอหมอ อีกไม่นานเราเริ่มหน้ามืด หายใจไม่สะดวก ตัวเกร็ง แขนขา ขยับไม่ได้ รู้สึกได้ว่ามีคนมารุมเยอะไปหมด แต่เราไม่มีความเชื่อในพยายาลเหล่านี้เลยว่าจะช่วยรักษาชีวิตเราได้ หมอมาถึงประมาณ 7 โมงกว่าตอนนั้นเราแย่แล้ว หมอดึงไหมออก 1 เส้น แล้วเผ้าก้อสอุตไว้ที่แผลตรงรูทวาร ตอนนั้น เพลีย หมดแรงมากๆ มีเครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดชีพจร น้ำเกลือ ระโยงระยางไปหมด ตอนนั้นหมดความเชื่อในโรงพยาบาลว่านี่หรือที่เราฝากความหวังให้ช่วยรักษาเรา ทำไมปล่อยให้เราหมดสติ ทั้งที่เราเร่งพยาบาลให้มาช่วยเราตลอดเวลา ตอนสายคุณหมอสงคราม มาดู ได้ยินพูดเช่นเดิมว่าเป็นอาการปกติหลังผ่าตัดซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ว่าจะมีเลือดคั่งอยู่ด้านในและไหลออกมา แต่ไม่ได้ชี้แจงอะไรเป็นพิเศษเนื่องจากคงเห็นว่าอาการเราแย่ ต้องพักผ่อน
ได้สอบถามกับพยาบาล คำอธิบายขัดแย้งกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เนื่องจากอาการหน้ามืด เกิดจากการเสียเลือดมาก หากประเมินจากสายตาน่าจะเกือบ 2 ถุงน้ำเกลือหรือ 2000 ML เลย ถ้าเลือดคั่งอยู่ด้านในมากขนาดนี้ น่าจะขับออกมาก่อนหน้านี้ตามกระบวนการขับถ่ายและคงจะหน้ามืดตั้งแต่แรกที่มันออกไม่ต้องรอ 2 ชม
หลังจากแจ้งพยาบาล หมอให้พยาบาลตรวจเลือดทันที ซึ่งไม่พบเลือดจาง ทำไมจึงเร่งตรวจเลือดที่เป็นปลายเหตุ ณ เวลานั้นเพื่อวินิจฉัย ก่อนการห้ามเลือด
ครั้งแรก 16 พย ช่วงเช้าประมาณ 6 น ไม่พบเลือดจาง
ครั้งที่ 2 16 พย 8 น พบเลือดจาง 3%
ครั้งที่ 3 17 พย 10 น พบเลือดจาง 22% ต่ำกว่ามาตรฐาน ต้องให้เลือด
อาการหมดสติเนื่องจากเสียเลือดมากเป็นเวลา 2 ชม ตั้งแต่ 5.30-7.30 โดยประมาณของผู้ป่วยถือได้ว่าเป็น error จากการทำงานของเจ้าหน้าที่ใช่หรือไม่
นอนหลับจนถึงเที่ยงวัน จึงฟื้น พยาบาลให้อึ/ฉี่บนเตียง เพราะกลัวหน้ามืด คุยกับพยาบาลอีกท่านถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าการช่วยเหลือมาช้าเกินไป พยาบาลก็ชี้แจงว่าทำงานเป็นลำดับขั้นตอน คุณหมอติดเคสอื่น ต้องรอคิว คุณหมอกำลังอาบน้ำอยู่ ติดต่อไม่ได้ พยาบาลเองไม่ได้นิ่งนอนใจ พยาบาลและหมอทุกคน พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว
18 พย มีอาการเพลียและหมดแรงอย่างมาก จึงตัดสินใจให้เลือดจากทางโรงพยาบาล ซึ่งพยาบาลแนะนำว่ามีการตรวจสอบแล้วว่าปราศจากเชื้อโรคและ HIV
19 พย พบหมอตอนเช้าและหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ โดยจะนัดพบหมอสายพินผู้ที่ทำการผ่าตัดในวันที่ 22 พย อีกที
ขณะนี้ข้าพเจ้ามีอาการอ่อนแรงตลอดเวลา และหากข้าพเจ้าได้รับเชื้อโรคซึ่งติดมากับเลือด ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ สามารถเอาผิดกับโรงพยาบาลได้หรือไม่ อย่างไรคะ