ทำไมผู้ชายไม่ติดเชื้อhivหลังจากมีอะไรโดยไม่ป้องกัน

ดิฉันก็เป็นผู้หญิงคนนึงซึ่งโหยหารักแท้มาโดยตลอดชีวิตซึ่งรักแท้ที่พยายามหานั้นต้องมาจากผู้ชายเท่านั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร?? แต่ชีวิตนี้ก็ไม่เคยได้เจอรักแท้กับเขาสักทีจนมาพบว่าที่ตัวเองตามหารักแท้นั้นกับมาได้รับเชื้อไวรัสที่หลายๆคนรังเกลียดมาแทน...ดิฉันติดเชื้อhiv positive มาได้ก็หลายปีมากแล้ว จำได้ว่าไปตรวจเจอครั้งแรกเลยซึ่งก็ไม่คิดอะไรไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะเป็นเพราะป้องกันมาโดยตลอดในการใส่ถุงยางอนามัย แต่มีอยู่ครั้งเดียวเท่านั้นเองที่ถุงยางแตกและไม่คิดว่ามันจะติดเราไปตรวจทุกสามเดือนตั้งแต่เกิดเหตุการนั้นก็ไม่เป็น negative มาโดยตลอดจนเดือนกุมภาพันของปี2002 เราได้ไปตรวจอีกครั้งและหมอก็เรียกไปนั่งคุยและถามเราว่าเรามีความเสี่ยงบ่อยไหมมีไข้มีอาการผิดปกติของร่างกายไหมเราบอกไม่มีก็ปกติดี แต่คุณหมอค่ะผลเลือดหนูเป็นยังไง พอคุณหมอบอกมาเท่านั้นแหละ ตัวชาไปหมดเลยความหวังหลายๆอย่างพังทลาย น้ำตาร่วงโดยไม่ได้ตั้งตัวร้องไห้โหเลย หมอบอกให้กลับกรุงเทพไปหาหมอที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ เราตอนแรกเราไม่รู้ว่าเราจะพูดให้ใครฟังดีเราอยากจะระบายอยากร้องไห้ให้ใครสักคนฟัง ผลคือเราเลือกที่จะโทรไปหาเพื่อนที่เรารักคนแรกนั้นซึ่งเป็นผู้หญิง เราร้องไห้และบอกเพื่อนเราว่าเราไปตรวจมา เพื่อนบอกคำแรกเลยว่า อย่าบอกกูนะว่าเป็นเอดส์ เราก็ร้องไห้ตลอดกลับมากรุงเทพ ก็ให้เพื่อนพาไปคลีนิคนิรนามเพื่อไปตรวจอีกครั้งผลคือบวก และให้เราเจาะcd4 ซึ่งตอนนั้นเราคงได้รับเชื้อมาใหม่ๆcd4 เราเลย 690  ซึ่งคุณหมอบอกว่าคนปกติก็จะมีภูมิคุ้มกันระดับนี้ไปจนถึงพัน เลยยังไม่ได้กินยาต้าน เราใช้ชีวิตโดยไม่มีจุดหมายมาโดยตลอด เราไม่มีการศึกษาสูงเราเลยไม่ได้ทำงานบริษัทใหญ่ๆก็แค่โรงงานทั่วไป เงินก็ไม่พอเลี้ยงลูก(ลืมเล่าไปว่าเรามีลูกสองคน) ลูกๆตอนนั้นก็เด็กมากคนเล็กแค่สองขวบ เราจะทำยังไงดี นั้นคือโจทย์ของเรา
ตอนนั้นไม่รู้ว่าบุญหรือกรรมให้เราได้ไปเจอชายชาวแคนนาดาซึ่ง เขาแก่กว่าเราสิบสองปี ตอนแรกเราปิดเขาเพราะไม่อยากสูญเสียเขาไป จนหนึ่งปีผ่านไปที่คบกับเขา และผู้ชายคนนี้ค่อนข้างขี้หึงเพราะอายุเราต่างกันมาก จนเราจะเลิกกันเราเลยบอกความจริงกับเขา เรารู้ว่านั้นคือความเห็นแก่ตัวแต่เพราะเรากลัวการสูญเสียเขาไป แต่แปลกพอบอกความจริงกับเขาแล้วเขากับมาดีกับเราให้ความรักกับเรา และเราพาเขาไปตรวจที่คลีนิคนิรนามเหมือนเคยซึ่งผลออกมาคือลบเราดีใจมากเลย
แต่ก็แปลกที่ว่าหลังจากเขาไปตรวจเลือดแล้วเขากับไม่เคยใช้ถุงยางกับเราเลย...ด้วยความไม่เข้าใจกันทางเรื่องภาษาอยู่กันได้แค่สองปีก็เลิกกัน
ในวันนั้นเองที่เราพยายามฆ่าตัวตาย ทั้งที่ตอนที่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อก็ไม่เคยคิดที่จะตายเลยดันกลับกลัวการตายอีกตางหาก พยายามขอให้แฟนคนแคนนาดากลับแต่เขาไม่กลับ
การฆ่าตัวตายในวันนั้นไม่ได้ต้องการเรียกร้องความสนใจนะคือต้องการตายจริงๆ โดยการที่เรากินยาเบื่อหนูซึ่งเป็นชนิดเม็ดคนขายบอกรสช็อกโกแลต แต่แปลกแฮะตอนกินมันเข้าไปไม่ยักมีกลิ่นช็อกโกแล็ตเลย
ตอนนั้นเราทำงานที่ร้านขายกาแฟเล็กๆ นั่งกินมันตรงนั้นเลยคิดว่าชีวิตตัวเองไม่มีค่าอะไรแล้ว มารู้ตัวอีกทีทั้งสายน้ำเกลือทั้งสายเลือดเต็มไปหมด
คนแรกที่เราเห็นคืนแฟนเราคนแคนาดาคำแรกที่ได้ยินคืน why did you do that? why you must hurt some body else? why you always make problem? why why?? ตลกจริงๆฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคนอื่นเลยแต่ไม่ตั้งใจจะอยู่ตางหาก และวันนั้นก็ผ่านไปโดยที่แฟนคนแคนาดาได้ไปประเทศsingapore และไม่ได้ห่วงเราเลย
แม่และลูกๆและน้องมารับเรากลับบ้านจากโรงพยาบาล หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีคลื่นยักษ์สึนามิแฟนเราเงียบหายไปและส่งข่าวมาว่าไปช่วยเพื่อนที่อินโดนิเซีย
พอเขากลับมาเราสองคนก็ทะเลาะกันอีก จนตอนนั้นแตกหักและเลิกจริงๆ เราก็ประชดเขาโดยการกินยาแก้ปวดและแก้หวัดจนหมดกระปุก ผลคือล้างท้องและกลับบ้าน แฟนเราไปรับที่โรงพยาบาลมาพร้อมกับลูกๆของเรามาอยู่ที่โรงแรมแห่งนึงของถนนเพรชบุรีตัดใหม่ในเช้าวันนั้นเรายังมีอาการเพลียและหน้ามึดเพราะยาอยู่
ลูกๆพากันเล่นเสียดังเข้าห้องปิดประตูดังเข้าไปเคาะประตูห้องข้างๆพอเราลืมตามาปุ๊บคำแรกที่เขาพูดคือทำให้ลูกๆเธอหยุดเสียงดังไม่งั้นฉันจะฆ่าพวกเขาซะ
ยังไม่ทันได้บอกลูกเลยเขากระชากเราลงจากเตียงและกระทืบฉันต่อหน้าลูกๆฉันเขาบอกว่าอยากตายใช่ไหมไปโดดตึกเลยจะได้ตายสมใจ
ตรงนี้เองที่ทำให้ความคิดเปลี่ยนที่ว่าถ้าเราตายไปแล้วใครจะเลี้ยงลูกเรา
ตั้งสติได้คว้าเอาลูกสองคนมากอดไม่เอาอะไรทั้งสิ้นแม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้ใส่ พาลูกกลับมาบ้านที่ชานเมืองและร้องไห้มาตลอดทาง
..กลับไปที่คำถามเดิมคือทำไมแฟนเรามีอะไรกับเราแล้วไม่ติดจากเรา?? ตอนนี้เห็นเขาในเฟสบุ๊กได้ติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราวเขามีครอบครัวใหม่แล้วมีลูกสามคนแฟนเขาเป็นอดีตพยาบาลซึ่งเป็นคนไทย  
  พอปี2007เราก็ได้แฟนใหม่เป็นคนเยอรมันแต่เขาก็เป็นลบเหมือนกันเราก็บอกเขาตั้งแต่เริ่มแรกเลยที่รู้จักกับเขาก่อนจะมีอะไรกัน
เขามีแฟนคนไทยแล้วอยู่ด้วยกันมา7ปีไม่มีลูก และระหองระแหงกันจนเขามาเจอเราเข้าที่ร้านอาหาร ได้คุยกัน และเขาก็มีอะไรด้วย
จนเขาเริ่มรักเรา และเราก็มาเป็นเมียเก็บของเขาอีกคนซึ่งแฟนเขายังไม่รู้
จนอยู่กันมาจะปีหนึงแล้วในการแอบคบหากัน จนแฟนเขาจับได้และบอกว่ายกสามีให้ หลังจากนั้นมาไม่กี่เดือนเขาขอเราหมั้น
ครั้งแรกในชีวิตที่มีผู้ชายมาขอหมั้นด้วยแหวนเพชรซึ่งก็ไม่แพงหรอกหาแบบรีบๆแค่สี่หมื่นบาทเอง
เราและแฟนคนนี้อยู่ด้วยกันมาปีกว่าและวันที่ไม่น่าคิดว่าจะเกิดก็เกิดอีก คืนแฟนเก่าของแฟนเราโทรมาบอกว่าแฟนเราไปนอนกับผู้หญิงอื่นซึ่งเขารับไม่ได้

จนวันนั้นในวันแตกหักอีกทั้งรักทั้งแค้นทำอย่างไงได้ล่ะ ทำอะไรไม่ได้ เลยไปถือศิลแปด และวันที่คุณยายที่ประเทศเยอรมันของเขาเสีย เขาต้องกลับเยอรมัน
วันนั้นพอเรารู้เราก็กะจะไปทำเซอร์ไพร์เขาโดยการไปหาเขาที่แอร์พอตร์ ผลคืนเขาเอาผู้หญิงคนใหม่มาด้วย เราตรงเข้าไปกอดเขาและขอให้เขากลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม แต่เปล่าวเลยเขาบอกว่าเขาไม่ต้องการเราแล้ว
ณนาทีนั้นเราเดินไปหาผู้หญิงของเขาและเราบอกผู้หญิงว่าเราเป็นเอดส์ ผู้หญิงบอกว่าฉันไม่กลัวเรารักกัน แฟนเรารีบเข้ามาบอกว่าเขาไม่ได้เป็น เราร้องไห้และกอดเขาอย่างแรง ผลคือเขาบอกว่าอย่ามาดาร์มา่กับเขา
จบคำนั้นเองวิณญาณของตัวอะไรเข้าสิงเราไม่รู้ทั้งตบทั้งข่วนแฟนเราที่airportเลย จนตำรวจที่นั้นต้องมาลากตัวเราออกมานั่งคุมสติตัวเอง
และแล้วคนนี้ก็จบอย่างไม่สวยจนทุกวันนี้เขาก็อยู่ดีไม่ติดเชื้อ
..มาคนนี้คนที่สามคือเป็นคนสวีเดน แต่คนนี้พอรู้ว่าเราเป็น คือตั้งแต่วันแรกที่คบกันเราป้องกันมาตลอด เขาจะเดินทางมาเมืองไทยทุกเดือน ตัวเราก็ไม่ต่างจากเมียเช่าก็คือมาอยู่แค่อาทิตย์เดียวในแต่ล่ะเดือนก็กลับสวีเดน อยู่อย่างนี้มาได้สองปีเต็มๆ จนวันนึงเขาเริ่มห่างหายไป คือช่วงปีหลังๆพอเขามาทุกครั้งเราจะมีเลือดออกทุกครั้งเลยเหมือนมีประจำเดือน จนไม่สามารถให้ความสุขเขาได้ เขาได้หายไปพร้อมทั้งไม่ติดต่อและไม่ส่งเงินมาเลย
จากที่เคยมีงานทำพอเจอแฟนเขาไม่อยากให้ทำเพราะเราต้องกินเหล้าและเลิกงานดึก คือเราทำไนท์คลับ เขาเลยจ้างให้เราอยู่บ้านกับลูกด้วยเงินเดือนสองหมื่น
หลังจากนั้นที่ออกก็ไม่กล้ากลับไปทำที่เดิมอีกเพราะอาย จนไปทำที่ร้านอาหารเกย์แห่งนึงย่านสีลมทำได้ยังไม่ถึงห้าเดือนเลย เราเอาวันหยุดเราไปตรวจดูโรคว่าทำไมเรามีเลือดออกบ่อย ผลของการตรวจออกมาคือเราเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่สอง ไม่รู้ว่าเวรหรือกรรมหรือเราทำบาปอะไรไว้ชาติไหนหรือบรรดาเมียของแฟนเก่าเราทั้งหลายสาปแช่งไว้ก็ไม่รู้..ค่ะมะเร็งปากมดลูก ต้องเข้าฉายแสงถึง28ครั้ง ไปทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ นั้นคืองานเราก็ไม่ได้ทำเลย เพราะโรงพยาบาลและบ้านและที่ทำงานอยู่ไกลกันมาก ที่ทำงานเข้างานบ่ายสามโมงเลิกตีหนึ่ง กลับถึงบ้านเราทุกวันตีสี่ ผลคือภูมิต่ำลง ไม่สามารถผ่าเอามะเร็งออกได้และไม่สามารถใช้คีโมบำบัดได้ ต้องใช้การฉายแสงแทนให้เยอะกว่าคนอื่นและฝังแร่อีก5ครั้ง  พอครบจากการรักษาทุกขั้นตอนแล้ว หลังจากเลิกกับแฟนคนสวีเดนมาก็สองปี และไม่เคยมีใครเขามาในชีวิตอีกเลย จนวันนึงได้ไปสมัครงานในเว็ปไซร์และได้ไปทำงานที่เกาะแห่งนึง ความรู้ก็น้อยซึ่งนั้นคือประถมหกเองแต่เราสมัครได้เป็นรีเซฟชั่น ซึ่งทางโรงแรมนั้นเจ้าของเป็นฝรั่งเพื่อนร่วมงานมีทั้งหมดแปดคนด้วยกัน เพราะเป็นกะ ทุกคนจบปริญญาตรีหรือสูงกว่านั้นสาขาการโรงแรมหมดเลย มีเราคนเดียวที่ไม่มีวุติอะไรแค่มีประสบการณ์ในการพูดภาษาอังกฤษเท่านั้นเอง...ตั้งแต่ทำงานมาที่นั้นเราคิดว่าเราทำได้แต่ช้ากว่าคนอื่นและเขาก็ไม่ให้โอกาสเราเลย เราไม่เคยมีปัญหากับลูกค้าเลยมีแต่กับเพื่อนร่วมงาน ภาษาเราก็ได้ไม่ได้เยอะคิดไปแค่สามสิบเปอร์เซ็นเอง สนุกกับการต้อนรับลูกค้าแต่ไม่สนุกกับการทำบัญชีและexcel เราไม่ได้เก่งคอมพิวเตอร์เลย และตัวเลขอีกผิดพลาดมาก็ว่าเรา ไม่สนุกเลย จากcd4ที่เคยขึ้นมาตลอดตอนที่กินยา(เราเริ่มยาตอนcd4ลงเหลือ250)พอกินยามาได้ห้าปีและภูมิเราก็ขึ้นมาตลอด จนน้ำหนักตัว65กิโล พอแฟนทิ้งไปน้ำหนักเหลือ55กิโลพอเป็นมะเร็งน้ำหนักลดเหลือ52กิโลพอ ไปได้งานเป็นรีเซฟชั้นเท่านั้นเองน้ำหนักเหลือ47กิโลเป็นเองลดเองโดยอัตโนมัติเพราะเอนโดฟินไม่เหลือเลยและแล้วสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขขึ้นมาได้นั้นคือมีผู้ชายคนหนึ่งอายุน้อยกว่าเราถึงสิบปีมาจีบเราซึ่งเราพยายามปฏิเสธมาโดยตลอดและพยายามอ้างว่าเราเป็นมะเร็งปากมดลูกไม่สามารถให้ความสุขเขาได้ ผู้ชายคนนี้คือชายไทยนะ ซึ่งเราก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตเราจะได้เจอผู้ชายไทยอีกหลังจากพ่อของลูก จนวันนึงด้วยความเหงาและความโดดเดี่ยวและปัญหาจากที่ทำงาน จนทำให้เราและเด็กน้อยได้มีอะไรโดยไม่ป้องกันเรารู้สึกผิดมาก ตอนแรกเราพยายามห้ามเขาแล้วแต่ด้วยแรงของผู้ชายและเราไม่กล้าบอกเขา เพราะว่าเรายังทำงานอยู่ที่นั้น เรากลัวเขาเอาไปพูดที่ทำงานเรา เราเลยไม่บอกและปล่อยเลยตามเลย มีแค่ครั้งและครั้งที่สองที่ไม่ป้องกัน พอวันที่เราต้องมีนัดตรวจมะเร็งอีกครั้งและรับยาต้านเราได้ไปแจ้งที่ทำงานเพื่อจะกลับกรุงเทพ แต่เนื่องด้วยมีลูกค้าเข้ามาพักเยอะมากและเจ้านายบอกให้รอหลังไฮซีซันถึงจะให้หยุดได้ เราเลยบอกเจ้านายไปว่าเราจะกลับมาตรวจมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเราได้เป็นอยู่แล้วก่อนที่จะมาทำงาน ผลคือเจ้านายให้ออกเลยเหตุผลคือทุกสามเดือนเราต้องกลับกรุงเทพ เกาะที่เราไปอยู่ อยู่ใต้สุดเลย ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางเป็นวันและถ้าไม่ขึ้นเครื่องก็หลายวัน...นี่ขนาดไม่ได้บอกว่าเป็นเอดส์นะยังถูกเลิกจ้างเลยผลคือเจ้านายจ้างออกหนึ่งเดือน และเราก็กลับกรุงเทพมาพร้อมกับแฟนหนุ่ม ซึ่งเราได้ขอร้องเขาให้ไปตรวจเลือดกับเราที่กรุงเทพ เขาถามเหตุผลเราและในที่สุดเราได้บอกความจริงกับเขา อย่างแรกที่เขาทำคือกอดเราไว้แน่นและบอกว่าสงสัยเขาเคยทำกรรมกับเราไว้มั้งเลยต้องมาใช้คืน หลังจากที่รู้เขาก็มีอะไรกับเราโดยไม่ป้องกันซึ่งเราก็พยายามบอกเขาให้เขาได้ป้องกันเอาไว้ แต่เขาก็ไม่ฟังและบอกว่าเขาไม่กลัวมัน จนมากรุงเทพและเราทั้งสองคนได้ตกงาน เงินก็หมดทำอย่างไรดีล่ะ เราบอกเขาว่านอนกอดกันอย่างนี้มีหวังอดตายกันอย่างเดียว เชื่อไหมว่าเขามากรุงเทพโดยไม่มีเงินสักบาทเดียว ใช่เงินเราอยู่บ้านเราแม่เราน้องเราพี่เราก็รักเขา เพราะเขารับเราได้
จนเขาได้ไปหางานทำที่ภูเก็ต และได้ไปทำร้านอาหารของญาติเขา เขาเพิ่งไปอยู่ภูเก็ตวันที่26สิงหาคม และวันที่30สิงหาคมเขาก็ไปนอนกับแคชเชียร์ และวันต่อมาก็นอนกับเด็กเสริฟ ที่เรารู้ข้อมูลเพราะเราตามเขาไปทำงานด้วย และจับได้ เราเลยถามผู้หญิงและเราก็ได้บอกผู้หญิงไปว่าเราเป็นhivมาได้12ปีแล้วอยากให้เขาทั้งคู่ไปตรวจ แฟนเราเขาโกรธเรามากเขาพูดออกมาเลยว่าเขาไปตรวจแล้ว เขาไม่เป็นเลยมามีอะไรกับสองคนนี้

ค่ะนี้คือเรื่องราวชีวิตรันทดและvery dramatic มากๆของฉัน และเราก็จบกันที่นั้นที่ภูเก็ต และไม่คิดที่จะมีผู้ชายไทยอีกต่อไปในชีวิตนี้
ก็อย่างที่บอกแหละว่าตามหารักแท้มาโดยตลอดแต่ไม่เคยเจอเลย ตอนนี้งานก็ไม่มี แฟนก็ไม่มี เงินก็ไม่มี และกลับไปที่คำถามเดิมที่ว่า เหล่าผู้ชายทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วนั้นไม่มีใครติดจากเราเลยสักคน เราดีใจนะที่เขาไม่ติด แต่ก็แค่แปลกใจและอยากรู้เท่านั้นเอง...ขอโทษค่ะเขียนมาเยอะเชียว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่