ถ้าวันนึง คนที่คุณรักที่สุด บอกกับคุณว่า. เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง3เดือน คุณจะรู้สึกยังไง จะทำอะไรบ้าง จะเศร้าแค่ไหน? ชีวิตจะเป็นยังไงในอีก3เดือนที่เหลือ?
คำถามนี้ วนเวียนอยู่ในหัว เมื่อวันที่พ่อโทร.มาบอกว่า 'หมอบอกว่า ป๊าจะอยู่ได้อีก3เดือน'.
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ3ปีก่อนค่ะ. (ขอเรียกพ่อว่า ป๊า ตามที่ตัวเราเรียกนะคะ). ป๊าบ่นๆว่าปวดหลัง เลยไปหาหมอ ไปหาอยู่หลายครั้ง ทั้งเอ๊กซเรย์ ทั้งเจาะเลือด ทั้งส่องกล้อง
แล้วหมอก็สรุปออกมาว่า ป๊าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และจะอยู่กับเราได้อีก3เดือน!!!
ป๊าโทร.มาบอกกับเราด้วยน้ำเสียงปกติ และยังบอกอีกว่า ป๊าไม่เชื่อหรอก หมอมั่วแน่ๆ. (ตั้งแต่เกิดมา เราไม่เคยเห็นป๊าป่วยเลยค่ะ ป๊าแข็งแรงมาก)
เราได้ยินตอนนั้นก็อึ้งมากๆ คือพูดไม่ออก ไม่ได้ร้องไห้ แค่เงียบๆไป... เรากับป๊าไม่ได้อยู่ด้วยกันค่ะ. คือป๊ากับม้าแยกทางกันตั้งแต่เราอยู่ม.ปลาย. และแทบไม่ได้เจอป๊าเลยในช่วงหลังๆ. โทร.คุยกันบ้างนานๆที แต่ก็จะมีเถียงๆกันบ้าง ตามประสาพ่อลูก เพราะบางทีป๊าเมาแล้วโทร.มา เราก็จะไม่ค่อยอยากคุยด้วยค่ะ. เวลาเมาก็จะโทร.มาบอกว่ารักลูกๆ บอกว่าป๊าขอโทษ ป๊าผิดเองที่ทำทุกอย่างพัง. (ตอนช่วงที่ป๊ากับม้าแยกทางกัน ครอบครัวเราเจอปัญหาหนักมากค่ะ ทั้งเมียน้อยตามรังควาน โทร.มาที่บ้านตลอดจนไม่มีใครอยากรับโทรศัพท์ โทร.ตามป๊าจนไม่เป็นอันทำงาน และอีกหลายอย่างที่เราคิดว่ามันจะมีแต่ในละครซะอีก. ของจริงยิ่งกว่าละครอีกค่ะ. รวมทั้งพิษเศรษฐกิจช่วงนั้น ต้องขายรถแม่ ขายรถทุกคันในบ้าน และสุดท้าย บ้านโดนยึด จากที่เคยใช้ชีวิตสบายๆ เหมือนตกจากที่สูงลงมาเลยค่ะ รู้สึกลำบากมากตอนนั้น แต่ตอนนี้ชินแล้วนะ คือเข้าใจแล้วว่าชีวิตมันมีขึ้นมีลง แต่ป๊าคงโทษตัวเองและเสียใจมากน่ะ)
หลายเหตุการณ์ในอดีต ทำให้เราแอบโกรธป๊าอยู่ในใจ จนถึงวันที่เรารู้ว่าป๊ากำลังจะตาย ความคิดพวกนั้นมลายหายไปหมดเลยค่ะ
ตอนที่รู้ เป็นช่วงเดือนกุมภา. แรกๆเราก็แอบหวังว่า หมอคงวินิจฉัยผิด ใจเราไม่ยอมรับค่ะ ป๊าเองก็เหมือนกัน. เพราะป๊าก็ยังใช้ชีวิตปกติ ยังสูบบุหรี่ ยังไปทำงาน แต่แค่บ่นปวดหลังมากๆ. ตอนแรกที่รู้ เราก็ไม่ได้ไปเยี่ยมนะ แต่ไปหาหมอเป็นเพื่อน วันที่ได้เจอหน้าป๊าตอนพาไปศูนย์มะเร็ง เราตกใจมาก เพราะป๊าผอมมาก และดูแก่ลงไปเยอะ ไม่ได้เจอป๊ามาหลายปีมาก มาเจออีกทีตอนนั้นก็รู้สึกแย่ค่ะ ว่าทำไมเราไม่ไปหาป๊าบ้างก่อนหน้านั้น ไม่เคยพาป๊าไปกินข้าว ไม่ค่อยโทร.หา. โทร. มาบางมีก็ไม่รับสาย ขี้เกียจคุยบ้างไรบ้าง
เดือนแรกผ่านไป ป๊าเริ่มทรุดลงทีละนิด ต้องลางานยาวค่ะ แต่ก็ยังกินข้าว ยังเดินได้ปกติ ยังบ่นยังหัวเราะได้. เราก็ไปเยี่ยมป๊าที่บ้านบ้าง. ไปนอนเป็นเพื่อน
ป๊ายังบอกว่า 'เดี๋ยวป๊าหายแล้วป๊าจะกลับไปทำงาน.......'
ประโยคนี้ยังดังก้องในหูเราจนทุกวันนี้เลยค่ะ
(ป๊าอาศัยอยู่กับลูกของเมียอีกคนค่ะ แต่ผญคนนั้นเลิกกับป๊าไปนานแล้ว ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันอีก). เช่าบ้านอยู่กันสองคนกับน้องค่ะ. น้องก็โตแล้ว เพิ่งจบม.6 ไม่ค่อยดูแลป๊า. ไม่สนใจอะไรเลย เอาแต่เล่นเกม คุยโทรศัพท์กับแฟน. แต่เราไม่พูดอะไรค่ะ เราก็ไปเยี่ยมไปหาได้แค่นั้น. ม้าเราก็ไปเยี่ยมบ่อยๆ ไปเช็ดตัวให้ ซื้อข้าวไปให้กิน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ม๊ากับป๊าแทบจะไม่คุยกัน คุยก็คุยธุระ คุยเรื่องงานค่ะ จะไม่ไปไหนด้วยกันอีกเลย. เพียงแต่ม๊าบอกกับเราว่า ป๊าม้าเลิกกันไปก็เป็นคนอื่น แต่เราเป็นลูกยังไงก็เป็นพ่อลูกกัน ให้ดูแลป๊าดีๆ
เข้าเดือนที่สอง ป๊าเริ่มเดินไม่ค่อยได้ และกินได้น้อยลง. หมอไม่รักษาค่ะ หมอบอกตั้งแต่แรกแล้วว่ารักษาไม่ได้ ให้ทำใจ. จะมีแต่ให้ยาลดอาการปวดมากิน ให้มอฟีนมากิน อะไรประมาณนั้น แล้วก็นัดไปฉายรังสี ซึ่งป๊าบอกว่า ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย มีแต่จะปวดมากขึ้นๆ ทรมานมาก. ช่วงนั้นเราร้องไห้หนักมาก ตอนไปเยี่ยมป๊า ป๊าจะนอนร้องตลอดเวลาว่าปวดๆๆ ไม่ไหวแล้ว จะลุกไปฉี่ทีก็ลำบาก จะกินข้าวก็กินไม่ลง กินแล้วก็อึดอัดท้อง ท้องป๊าโตมาก ยังกะลูกแตงโม โตจนน่ากลัว เราร้องไห้เกือบตลอดเวลา. กลับบ้านมาก็ร้องไห้ไม่หยุด
เข้าเดือนที่สาม. อาการก็หนักลงไปอีก ส่วนน้องก็ยังไม่ดูแลเหมือนเดิม. เราไปเยี่ยมก็ยังเห็นเอาแต่นั่งเล่นเกม บางทีออกไปข้างนอก ทิ้งป๊าไว้จนเที่ยงไม่หาข้าวให้ป๊ากิน
รู้สึกแย่มาก. แต่ก็ว่าอะไรไม่ได้. ป๊าบอกให้ย้ายไปอยู่ด้วย แต่เราก็ไม่ไป เพราะช่วงนั้นก็ติดงานและติดแฟนด้วย. (เรื่องนี้ทำให้เราเสียใจมากๆๆเลย รู้สึกเป็นลูกอกตัญญูจริงๆ แย่มากๆ)
ป๊าเริ่มลุกจากที่นอนยากขึ้น. บางวันก็ฉี่ใส่ที่นอน เพราะลุกไม่ไหว น้องก็ไม่ดู ไม่เช็ดตัวให้. ม้ากับเราและพี่สาว ผลัดกันไปเยี่ยม เช็ดตัว ป้อนข้าวให้. ครั้งแรกในชีวิตเลยค่ะ ที่ต้องป้อนข้าวให้ป๊า ซื้อข้าวหมูแดงที่ป๊าชอบกินไปให้ ป้อนข้าวครั้งแรก. และไม่รูเลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดทัาย...
สัปดาห์สุดท้าย ของชีวิต. วันนั้นเราทำงานอยู่ ม้าโทรมาบอกว่า อาการป๊าหนักมาก ไม่กิน ไม่ฉี่ ไม่ถ่ายมาห้าวันแล้ว (โดยที่เราไม่ได้ไปเยี่ยมเลย) ต้องเรียกรถพยาบาลไปรับมาโรงบาล. เรารีบลางานไปโรงบาล เห็นสภาพป๊าแล้วก็เอาแต่ร้องไห้ๆๆๆไม่หยุดเลยค่ะ
สภาพที่เห็นคือ ป๊าผอมเหลือแต่กระดูก. และเริ่มพูดไม่ค่อยได้. ทั้งๆที่ไม่กี่วันก่อนยังบ่นยังว่าเราอยูเลย. เรากับม้า และป้าอีกคนผลัดกันเฝ้าป๊า24ชม. จากวันแรกที่กินน้ำจากแก้วได้ วันที่สองต้องใช้น้ำหยดทางสลิ๊ง. และหมอบอกจะเจาะสอดสายยางให้อาหาร.
ทุกครั้งที่พยาบาลเช็ดตัวให้ ป๊าจะร้องดังมาก พยาบาลจะมาคอยพลิกตัวให้ ไม่งั้นจะเป็นแผลกดทับ. บอกเลยค่ะว่า เราร้องไห้ตลอดเวลา ตลอด24ชม. ไม่รู้ว่าเอาน้ำตามาจากไหน. เสียงป๊าร้องทรมานมันดังอยู่ในหูเราตลอดเวลา. บางทีทนไม่ไหว ต้องเดินหนีจากเตียงป๊า ออกไปนั่งร้องไห้อยูนอกห้อง ร้องแบบไม่อายคนเลยค่ะ. ไอ้ที่เคยอกหักเสียใจร้องไห้ฟูมฟายจะป็นจะตาย มันเรื่องเล็กไปเลย ถ้ามาเจอกับเรื่องนี้ ใครไม่เจอไม่รู้จริงๆ. ตัวเราก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเจอบบนี้ ก็เห็นป๊าสบายดีมาตลอด คิดว่าจะอยู่กับเราจนแก่
เราจับมือป๊าไว้ตลอด ถึงแม้ป๊าจะไม่พูดกับเราเหมือนเดิม แต่เรารู้ว่าป๊าจะต้องรูสึก. เราโชคดีที่มีม้าอยู่ข้างๆตลอด. ม้าจะคอยบอกให้เราทาโลชั่นให้ป๊า ให้เอาลิปมันมาทาให้ เอาคัตตอนบัทมาเช็ดฟันให้ป๊า. คือเราทำอะไรไม่ถูกจริงๆ. ปกติก็เป็นคนจิตใจอ่อนแออยู่แล้ว. มาเจอแบบนี้ เราทรมานมาก. ผลัดกันนั่งเฝ้าป๊าค่ะ แทบไม่กล้าหลับ เพราะกลัวป๊าจะเป็นอะไร
บางครั้ง ป๊าจะร้อง แล้วบอกว่า ป๊าอยากตายๆ ป๊าไม่อยากอยู่แล้ว ป๊าทรมาน..
เราต้องคอยบอกหมอ ว่าทำยังไงก็ได้ให้ป๊าเจ็บน้อยลงได้ไหม
หมอต้องเพิ่มมอฟีนให้มากขึ้นๆๆ จนป๊าเบลอ หลอน ตาลอย และเริ่มไม่รู้สึกตัว
คืนที่7 ในโรงพยาบาล. เช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องไปทำงาน เลยเปลี่ยนเวรกับป้า ป้ามาเฝ้าแทน
ก่อนกลับ เราก็กอดป๊า กระซิบบอกป๊าว่า. 'กลับก่อนนะ ดี๋ยวพรุ่งนี้เลิกงานแล้วจะรีบมาหา รักป๊านะ'
ป๊าพูดไม่ได้. แต่ร้องเอะอะ เหมือนจะบอกว่า อย่าไป
ตอนนั้นก็ใจไม่ไดีเลยจริงๆ แต่ก็ต้องกลับบ้านเตรียมตัวไปทำงาน เพราะนอนเฝ้ามาหลายวันแล้ว. และก็ไม่คิดว่า
นั่นจะเป็นคำบอกรักคำแรก. และคำสุดท้าย.
เก้าโมงเช้าวันรุ่งขึ้น. เราเพิ่งถึงที่ทำงาน
มีสายโทรเข้ามา เรารู้เลยว่า โรงบาลโทรมาแน่ๆ. แล้วก็เป็นจริง. ป๊าเสียแล้ว ด้วยอายุแค่ 54ปี และหมอเพิ่งวินิจฉัยได้ว่า เป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ
ไปโดยที่เรายังไม่ได้ตอบแทนอะไร. ใจนึงเราก็คิดว่า ให้ป๊าไปสบายดีกว่าให้นอนเจ็บทรมานอยู่แบบนั้น
แต่สิ่งที่เสียใจที่สุดในชีวิตคือ. ตลอดเวลาที่ป๊ายังอยู่ เราไม่เคยไปหา ไม่เคยได้ตอบแทนบุญคุณ ได้แต่คิดว่าจะไปก็ไม่ได้ไป
ป๊าพูดอยู่บ่อยๆว่า ไว้เดียวเราไปกินข้าวกันนะ พาม้าไปด้วย ไปด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา. แต่ก็ยังไม่ได้ไป
เพราะคิดว่า เดี๋ยวๆๆๆ เพราะคิดว่าป๊าจะอยู่กับเราไปอีกนานๆ
ยังเสียใจจนถึงวันนี้.
อยากฝากถึงทุกคนที่ยังมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ข้างๆ ให้เวลากับท่านเยอะๆค่ะ วันนึงท่านจะไม่อยู่กับเรา และเราก็ไม่มีทางรู้ด้วยว่า จะมีเวลาอีกนานแค่ไหน
ไม่อยากให้มาเสียใจทีหลังแบบเรา. เป็นเรื่องที่เสียใจที่สุดในชีวิต. และย้อนกลับไปไม่ได้. นึกถึงทีไร ก็ร้องไห้ทุกที
ดูแลท่านให้ดีที่สุดนะคะ
เมื่อวันที่ป๊าโทร.มาบอกว่า 'หมอบอกว่าป๊าจะอยู่ได้อีกแค่3เดือน!!!'
คำถามนี้ วนเวียนอยู่ในหัว เมื่อวันที่พ่อโทร.มาบอกว่า 'หมอบอกว่า ป๊าจะอยู่ได้อีก3เดือน'.
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ3ปีก่อนค่ะ. (ขอเรียกพ่อว่า ป๊า ตามที่ตัวเราเรียกนะคะ). ป๊าบ่นๆว่าปวดหลัง เลยไปหาหมอ ไปหาอยู่หลายครั้ง ทั้งเอ๊กซเรย์ ทั้งเจาะเลือด ทั้งส่องกล้อง
แล้วหมอก็สรุปออกมาว่า ป๊าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และจะอยู่กับเราได้อีก3เดือน!!!
ป๊าโทร.มาบอกกับเราด้วยน้ำเสียงปกติ และยังบอกอีกว่า ป๊าไม่เชื่อหรอก หมอมั่วแน่ๆ. (ตั้งแต่เกิดมา เราไม่เคยเห็นป๊าป่วยเลยค่ะ ป๊าแข็งแรงมาก)
เราได้ยินตอนนั้นก็อึ้งมากๆ คือพูดไม่ออก ไม่ได้ร้องไห้ แค่เงียบๆไป... เรากับป๊าไม่ได้อยู่ด้วยกันค่ะ. คือป๊ากับม้าแยกทางกันตั้งแต่เราอยู่ม.ปลาย. และแทบไม่ได้เจอป๊าเลยในช่วงหลังๆ. โทร.คุยกันบ้างนานๆที แต่ก็จะมีเถียงๆกันบ้าง ตามประสาพ่อลูก เพราะบางทีป๊าเมาแล้วโทร.มา เราก็จะไม่ค่อยอยากคุยด้วยค่ะ. เวลาเมาก็จะโทร.มาบอกว่ารักลูกๆ บอกว่าป๊าขอโทษ ป๊าผิดเองที่ทำทุกอย่างพัง. (ตอนช่วงที่ป๊ากับม้าแยกทางกัน ครอบครัวเราเจอปัญหาหนักมากค่ะ ทั้งเมียน้อยตามรังควาน โทร.มาที่บ้านตลอดจนไม่มีใครอยากรับโทรศัพท์ โทร.ตามป๊าจนไม่เป็นอันทำงาน และอีกหลายอย่างที่เราคิดว่ามันจะมีแต่ในละครซะอีก. ของจริงยิ่งกว่าละครอีกค่ะ. รวมทั้งพิษเศรษฐกิจช่วงนั้น ต้องขายรถแม่ ขายรถทุกคันในบ้าน และสุดท้าย บ้านโดนยึด จากที่เคยใช้ชีวิตสบายๆ เหมือนตกจากที่สูงลงมาเลยค่ะ รู้สึกลำบากมากตอนนั้น แต่ตอนนี้ชินแล้วนะ คือเข้าใจแล้วว่าชีวิตมันมีขึ้นมีลง แต่ป๊าคงโทษตัวเองและเสียใจมากน่ะ)
หลายเหตุการณ์ในอดีต ทำให้เราแอบโกรธป๊าอยู่ในใจ จนถึงวันที่เรารู้ว่าป๊ากำลังจะตาย ความคิดพวกนั้นมลายหายไปหมดเลยค่ะ
ตอนที่รู้ เป็นช่วงเดือนกุมภา. แรกๆเราก็แอบหวังว่า หมอคงวินิจฉัยผิด ใจเราไม่ยอมรับค่ะ ป๊าเองก็เหมือนกัน. เพราะป๊าก็ยังใช้ชีวิตปกติ ยังสูบบุหรี่ ยังไปทำงาน แต่แค่บ่นปวดหลังมากๆ. ตอนแรกที่รู้ เราก็ไม่ได้ไปเยี่ยมนะ แต่ไปหาหมอเป็นเพื่อน วันที่ได้เจอหน้าป๊าตอนพาไปศูนย์มะเร็ง เราตกใจมาก เพราะป๊าผอมมาก และดูแก่ลงไปเยอะ ไม่ได้เจอป๊ามาหลายปีมาก มาเจออีกทีตอนนั้นก็รู้สึกแย่ค่ะ ว่าทำไมเราไม่ไปหาป๊าบ้างก่อนหน้านั้น ไม่เคยพาป๊าไปกินข้าว ไม่ค่อยโทร.หา. โทร. มาบางมีก็ไม่รับสาย ขี้เกียจคุยบ้างไรบ้าง
เดือนแรกผ่านไป ป๊าเริ่มทรุดลงทีละนิด ต้องลางานยาวค่ะ แต่ก็ยังกินข้าว ยังเดินได้ปกติ ยังบ่นยังหัวเราะได้. เราก็ไปเยี่ยมป๊าที่บ้านบ้าง. ไปนอนเป็นเพื่อน
ป๊ายังบอกว่า 'เดี๋ยวป๊าหายแล้วป๊าจะกลับไปทำงาน.......'
ประโยคนี้ยังดังก้องในหูเราจนทุกวันนี้เลยค่ะ
(ป๊าอาศัยอยู่กับลูกของเมียอีกคนค่ะ แต่ผญคนนั้นเลิกกับป๊าไปนานแล้ว ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันอีก). เช่าบ้านอยู่กันสองคนกับน้องค่ะ. น้องก็โตแล้ว เพิ่งจบม.6 ไม่ค่อยดูแลป๊า. ไม่สนใจอะไรเลย เอาแต่เล่นเกม คุยโทรศัพท์กับแฟน. แต่เราไม่พูดอะไรค่ะ เราก็ไปเยี่ยมไปหาได้แค่นั้น. ม้าเราก็ไปเยี่ยมบ่อยๆ ไปเช็ดตัวให้ ซื้อข้าวไปให้กิน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ม๊ากับป๊าแทบจะไม่คุยกัน คุยก็คุยธุระ คุยเรื่องงานค่ะ จะไม่ไปไหนด้วยกันอีกเลย. เพียงแต่ม๊าบอกกับเราว่า ป๊าม้าเลิกกันไปก็เป็นคนอื่น แต่เราเป็นลูกยังไงก็เป็นพ่อลูกกัน ให้ดูแลป๊าดีๆ
เข้าเดือนที่สอง ป๊าเริ่มเดินไม่ค่อยได้ และกินได้น้อยลง. หมอไม่รักษาค่ะ หมอบอกตั้งแต่แรกแล้วว่ารักษาไม่ได้ ให้ทำใจ. จะมีแต่ให้ยาลดอาการปวดมากิน ให้มอฟีนมากิน อะไรประมาณนั้น แล้วก็นัดไปฉายรังสี ซึ่งป๊าบอกว่า ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย มีแต่จะปวดมากขึ้นๆ ทรมานมาก. ช่วงนั้นเราร้องไห้หนักมาก ตอนไปเยี่ยมป๊า ป๊าจะนอนร้องตลอดเวลาว่าปวดๆๆ ไม่ไหวแล้ว จะลุกไปฉี่ทีก็ลำบาก จะกินข้าวก็กินไม่ลง กินแล้วก็อึดอัดท้อง ท้องป๊าโตมาก ยังกะลูกแตงโม โตจนน่ากลัว เราร้องไห้เกือบตลอดเวลา. กลับบ้านมาก็ร้องไห้ไม่หยุด
เข้าเดือนที่สาม. อาการก็หนักลงไปอีก ส่วนน้องก็ยังไม่ดูแลเหมือนเดิม. เราไปเยี่ยมก็ยังเห็นเอาแต่นั่งเล่นเกม บางทีออกไปข้างนอก ทิ้งป๊าไว้จนเที่ยงไม่หาข้าวให้ป๊ากิน
รู้สึกแย่มาก. แต่ก็ว่าอะไรไม่ได้. ป๊าบอกให้ย้ายไปอยู่ด้วย แต่เราก็ไม่ไป เพราะช่วงนั้นก็ติดงานและติดแฟนด้วย. (เรื่องนี้ทำให้เราเสียใจมากๆๆเลย รู้สึกเป็นลูกอกตัญญูจริงๆ แย่มากๆ)
ป๊าเริ่มลุกจากที่นอนยากขึ้น. บางวันก็ฉี่ใส่ที่นอน เพราะลุกไม่ไหว น้องก็ไม่ดู ไม่เช็ดตัวให้. ม้ากับเราและพี่สาว ผลัดกันไปเยี่ยม เช็ดตัว ป้อนข้าวให้. ครั้งแรกในชีวิตเลยค่ะ ที่ต้องป้อนข้าวให้ป๊า ซื้อข้าวหมูแดงที่ป๊าชอบกินไปให้ ป้อนข้าวครั้งแรก. และไม่รูเลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดทัาย...
สัปดาห์สุดท้าย ของชีวิต. วันนั้นเราทำงานอยู่ ม้าโทรมาบอกว่า อาการป๊าหนักมาก ไม่กิน ไม่ฉี่ ไม่ถ่ายมาห้าวันแล้ว (โดยที่เราไม่ได้ไปเยี่ยมเลย) ต้องเรียกรถพยาบาลไปรับมาโรงบาล. เรารีบลางานไปโรงบาล เห็นสภาพป๊าแล้วก็เอาแต่ร้องไห้ๆๆๆไม่หยุดเลยค่ะ
สภาพที่เห็นคือ ป๊าผอมเหลือแต่กระดูก. และเริ่มพูดไม่ค่อยได้. ทั้งๆที่ไม่กี่วันก่อนยังบ่นยังว่าเราอยูเลย. เรากับม้า และป้าอีกคนผลัดกันเฝ้าป๊า24ชม. จากวันแรกที่กินน้ำจากแก้วได้ วันที่สองต้องใช้น้ำหยดทางสลิ๊ง. และหมอบอกจะเจาะสอดสายยางให้อาหาร.
ทุกครั้งที่พยาบาลเช็ดตัวให้ ป๊าจะร้องดังมาก พยาบาลจะมาคอยพลิกตัวให้ ไม่งั้นจะเป็นแผลกดทับ. บอกเลยค่ะว่า เราร้องไห้ตลอดเวลา ตลอด24ชม. ไม่รู้ว่าเอาน้ำตามาจากไหน. เสียงป๊าร้องทรมานมันดังอยู่ในหูเราตลอดเวลา. บางทีทนไม่ไหว ต้องเดินหนีจากเตียงป๊า ออกไปนั่งร้องไห้อยูนอกห้อง ร้องแบบไม่อายคนเลยค่ะ. ไอ้ที่เคยอกหักเสียใจร้องไห้ฟูมฟายจะป็นจะตาย มันเรื่องเล็กไปเลย ถ้ามาเจอกับเรื่องนี้ ใครไม่เจอไม่รู้จริงๆ. ตัวเราก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเจอบบนี้ ก็เห็นป๊าสบายดีมาตลอด คิดว่าจะอยู่กับเราจนแก่
เราจับมือป๊าไว้ตลอด ถึงแม้ป๊าจะไม่พูดกับเราเหมือนเดิม แต่เรารู้ว่าป๊าจะต้องรูสึก. เราโชคดีที่มีม้าอยู่ข้างๆตลอด. ม้าจะคอยบอกให้เราทาโลชั่นให้ป๊า ให้เอาลิปมันมาทาให้ เอาคัตตอนบัทมาเช็ดฟันให้ป๊า. คือเราทำอะไรไม่ถูกจริงๆ. ปกติก็เป็นคนจิตใจอ่อนแออยู่แล้ว. มาเจอแบบนี้ เราทรมานมาก. ผลัดกันนั่งเฝ้าป๊าค่ะ แทบไม่กล้าหลับ เพราะกลัวป๊าจะเป็นอะไร
บางครั้ง ป๊าจะร้อง แล้วบอกว่า ป๊าอยากตายๆ ป๊าไม่อยากอยู่แล้ว ป๊าทรมาน..
เราต้องคอยบอกหมอ ว่าทำยังไงก็ได้ให้ป๊าเจ็บน้อยลงได้ไหม
หมอต้องเพิ่มมอฟีนให้มากขึ้นๆๆ จนป๊าเบลอ หลอน ตาลอย และเริ่มไม่รู้สึกตัว
คืนที่7 ในโรงพยาบาล. เช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องไปทำงาน เลยเปลี่ยนเวรกับป้า ป้ามาเฝ้าแทน
ก่อนกลับ เราก็กอดป๊า กระซิบบอกป๊าว่า. 'กลับก่อนนะ ดี๋ยวพรุ่งนี้เลิกงานแล้วจะรีบมาหา รักป๊านะ'
ป๊าพูดไม่ได้. แต่ร้องเอะอะ เหมือนจะบอกว่า อย่าไป
ตอนนั้นก็ใจไม่ไดีเลยจริงๆ แต่ก็ต้องกลับบ้านเตรียมตัวไปทำงาน เพราะนอนเฝ้ามาหลายวันแล้ว. และก็ไม่คิดว่า
นั่นจะเป็นคำบอกรักคำแรก. และคำสุดท้าย.
เก้าโมงเช้าวันรุ่งขึ้น. เราเพิ่งถึงที่ทำงาน
มีสายโทรเข้ามา เรารู้เลยว่า โรงบาลโทรมาแน่ๆ. แล้วก็เป็นจริง. ป๊าเสียแล้ว ด้วยอายุแค่ 54ปี และหมอเพิ่งวินิจฉัยได้ว่า เป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ
ไปโดยที่เรายังไม่ได้ตอบแทนอะไร. ใจนึงเราก็คิดว่า ให้ป๊าไปสบายดีกว่าให้นอนเจ็บทรมานอยู่แบบนั้น
แต่สิ่งที่เสียใจที่สุดในชีวิตคือ. ตลอดเวลาที่ป๊ายังอยู่ เราไม่เคยไปหา ไม่เคยได้ตอบแทนบุญคุณ ได้แต่คิดว่าจะไปก็ไม่ได้ไป
ป๊าพูดอยู่บ่อยๆว่า ไว้เดียวเราไปกินข้าวกันนะ พาม้าไปด้วย ไปด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา. แต่ก็ยังไม่ได้ไป
เพราะคิดว่า เดี๋ยวๆๆๆ เพราะคิดว่าป๊าจะอยู่กับเราไปอีกนานๆ
ยังเสียใจจนถึงวันนี้.
อยากฝากถึงทุกคนที่ยังมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ข้างๆ ให้เวลากับท่านเยอะๆค่ะ วันนึงท่านจะไม่อยู่กับเรา และเราก็ไม่มีทางรู้ด้วยว่า จะมีเวลาอีกนานแค่ไหน
ไม่อยากให้มาเสียใจทีหลังแบบเรา. เป็นเรื่องที่เสียใจที่สุดในชีวิต. และย้อนกลับไปไม่ได้. นึกถึงทีไร ก็ร้องไห้ทุกที
ดูแลท่านให้ดีที่สุดนะคะ