เปิดกรุหนังสือเก่า
ชุดทหารรับจ้างเดนตาย
ตอน ล่องแจ้งสมรภูมินรก (๘)
สวยุมภู ทศพล
ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 8
เมื่อทหารเวียดนามเหนือขึ้นยึดฐานปฏิบัติการของกองร้อยที่ 2 ได้แล้วก็บุกตะลุยเข้าไปยัง บก.พัน ที่มีกองร้อยที่ 1 คุ้มกันอยู่อย่างรวดเร็ว หวังจะขยี้กองบัญชาการกองพัน 617 ให้ราบเป็นหน้ากลอง...
การสู้รบบนเนินสกายไลน์ได้ทวีความดุเดือดเหี้ยมเกรียมยิ่งขึ้นทุกขณะ กองร้อยที่ 2 ของกองพันทหารรับจ้างที่ 617 ต้องสูญเสียที่มั่นเป็นกองร้อยแรก ทหารรับจ้างที่รอดชีวิตแทนที่จะอยู่เสริมกำลังให้กับกองพัน 616 กลับแยกกลุ่มจากเพื่อนๆมุ่งหน้าไปยในหุบเขาบริเวณร่องน้ำที่ทอดตัวเองคดเคี้ยวลงไปยังหมู่บ้านชาวแม้ว ณ บริเวณเมืองล่องแจ้งที่มองเห็นลิบๆอยู่เบื้องล่าง โดยหวังจะเอาแต่ตัวรอดแต่เพียงลำพัง
ซวยอย่างมหาซวยเลยครับ ณ บริเวณพื้นที่ดังกล่าวทหารเวียดนามเหนือได้ตระเตรียมเอาใว้เป็น “คิลลิ่งโซน” (พื้นที่สังหาร” เอาใว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้พวกข้าศึกได้คาดการณ์เอาไว้ว่า ทหารรับจ้างส่วนใหญ่ จะต้องพากันถอยมายังบริเวณดังกล่าวนั้นอย่างแน่นอน
ด้วยกำลังพลเพียงหนึ่งหมวดที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธปืนเล็กกลได้ซ่อนพรางตัวเองอยู่ท่ามกลางความหนาทึบของภูมิประเทศเอาไว้อย่างเงียบเชียบรอเวลาที่จะขยี้ทหารรับจ้างที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างเลือดเย็น
มันเป็นความโชคดีของกองพัน 617 ที่ตัดสินใจพาทหารส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปตามเส้นทางคมนาคมบนเทือกเขาสกายไลน์แทนที่จะตัดตรงลงไปยัง บก.ล่องแจ้ง มิฉะนั้นแล้วยอดสูญเสียของกองพัน 617 จะต้องเพิ่มปริมานยิ่งกว่าเท่าที่เป็นจริงมากมายทีเดียว
ปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกที่ตั้งฐานยิงอยู่ที่เมืองล่องแจ้ง เบนปากกระบอกสลุตกระสุนขึ้นไปบนฐานของกองร้อยที่ 2 ซึ่งขณะนี้ถูกข้าศึกบังคับให้ถอนตัวอย่างกระทันหัน เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นของปืนใหญ่ที่ยิงพร้อมๆกันทั้ง 4 กระบอก ช่วยให้บรรยากาศของเนินสกายไลน์เพิ่มความน่าสะพึงกลัวยิ่งขึ้นป็นทวีคูณ
การยิงดำเนินไปได้เพียงชั่วครู่ ก็จำเป็นต้องยุติการยิงโดยฉับพลัน เมื่อได้ทราบข่าวว่ายังมีทหารรับจ้างที่ได้รับบาดเจ็บ ตกค้างอยู่บนเนินฐานปฏิบัติการอีกหลายสิบคน
“ภูเวียง” ผบ.พัน 617 ออกคำสั่งป้องกันฐาน บก.พันอย่างชนิดสู้ตายคารัง ผบ.พันใจเด็ดพร้อมด้วย “ไทเกอร์” นายทหารคู่ใจที่เพิ่งสำเร็จมาจาก จปร. อย่างสดๆร้อนๆ นำทหารเข้าประจัญบานกับข้าศึกอย่างชนิดเลือดแลกเลือด
ด้วยกำลังพลที่มากกว่ากันจนเทียบกันไม่ติด เข้าทำนองน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ฐาน บก.พัน อันหนาแน่นที่คุ้มกันด้วยกำลังพลถึง 130 คน ฐาน บก.พันอันหนาแน่นที่คุ้มกันด้วยกำลังพลถึง 130 คน จากกองร้อยที่ 1 ของกองพัน 617 ก็ต้องประสพกับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับกองร้อยที่ 2 เข้าอีก
และคราวนี้ก็ไม่ต้องมีใครสั่งให้ถอนตัวหรอกครับ เมื่อ “ภูเวียง” ถูกกระสุนอาร์ก้าเข้าบริเวณเหนือคิ้วซ้ายล้มพับลงไปต่อหน้าต่อตา ขวัญและกำลังใจของทหารเหล่านั้นก็โบยบินไปเสียแล้ว พวกเขาพากันห้อตะบึงออกจากฐาน บก.พัน มุ่งหน้าไปยังกองพัน 616 อย่างชนิดตัวใตรตัวมัน
เมื่อลูกน้องพากันหลบหนีจนหมดสิ้น “ไทเกอร์” นายทหารคู่ใจของ ผบ.พัน ก็จำใจต้องวิ่งติดตามกลุ่มทหารเหล่านั้นออกไปอย่างชนิดขวัญเสีย
บังเอิญเหลือเกินที่พนักงานวิทยุของกองพัน 617 อาศัยความรวดเร็วคว้าวิทยุติดมือออกมาได้อย่างหวุดหวิดก็เลยสามารถติดต่อกันได้ขณะถอนตัว
“ช่วยยิงคุ้มกันให้พวกผมหน่อยครับ ขณะนี้พวกมันวิ่งไล่ผมมาติดๆเลยครับ...กรุณาช่วยด้วยครับ”
พนักงานวิทยุกองพัน 617 กระหืดกระหอบขอตวามช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก จนได้ยินเสียงหอบฟืดฟาดออกมาจากลำโพงวิทยุอย่างน่าเหน็ดเหนื่อยแทน
“ยิง ค.81 คุ้มกันให้ 617 เขาด้วย ระวังอย่าให้โดนพวกเดียวกันนะโว้ย”
กองสิงห์ สั่งลูกน้องหมวดอาวุธหนักที่ประจำอยู่ ณ กองร้อย 3 บริเวณ ชาร์ลี-บราโว-แพด ให้ยิงสนับสนุนตามคำร้องขอด่วน
“ผมยิงให้ไม่ได้หรอกครับผู้พัน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พวกที่หนีก็แต่งชุดเสือพราน...ไอ้พวกที่กำลังไล่ติดตามก็แต่งชุดเสือพราน”
หมวดอาวุธหนักโวยวายมาลั่นอย่างเคลือบแคลงใจ
“ยิงเลยครับ...ไอ้แกวทั้งนั้น มันเอาชุดพวกเราที่ตายมาใส่แทนและวิ่งไล่หวังจะสวมรอยเข้าไปในฐานของพวกคุณพร้อมๆกับผมนี่แหละ ผมเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากฐาน...นี่ผม ไทเกอร์ ฝอ.3 พูดครับ”
นายทหารคู่ใจของ “ภูเวียง” กระหืดกระหอบส่งข่าวร้องขอการยิงต่อไปอีกอย่างร้อนรน
“ยิงสลุตเลยไอ้น้อง อั๊วจำเสียง ฝอ.3 ของกองพัน 617 ได้ไม่ผิดแน่”
กองสิงห์ตัดสินใจออกคำสั่งยิงทันที
ท่ามกลางอากาศที่กำลังสลัวลงทุกขณะ บนเส้นทางที่ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมบนเนินสกายไลน์ จะมองเห็นกลุ่มมนุษย์สองกลุ่มทิ้งระยะห่างกันไม่เกิน 400 เมตร ทุกคนมุ่งหน้าเข้ามายังฐานปฏิบัติการของกองร้อยที่ 3 ของกองพัน 616 มองดูดำมืดไปหมดทั้งถนน
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวที่ตกลงกึ่งกลางกลุ่มทหารเหล่านั้น จากแสงไฟที่สว่างแวบขึ้นมาทำให้ตรวจการณ์เห็นกลุ่มทหารที่กำลังวิ่งติดตามทหารรับจ้างฝ่ายเรา แตกขบวนถอยหลังเผ่นกลับไปยังฐานที่กองพัน 617 เพิ่งจะถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
“ชัดเลย ไอ้แกวทั้งนั้น ถล่มแม่มันเข้าไปไอ้น้อง ต้อนมันกลับเข้าไปในฐานเก่าให้หมด ประเดี๋ยวจะให้ “แคนเดิ้ล” กับ “เฮอคิวลิส” ช่วยกระหน่ำมันต่อไปอีก”
กองสิงห์ตะโกนออกคำสั่งเสียงลั่นวิทยุ พร้อมกับยกกล้องสองตาขึ้นปรับโฟกัสตรวจการณ์ต่อไปอย่างชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตา
“ผู้พันครับ ผมกลัวปัญหาอีตอนพวก 617 เข้ามาในฐานของพวกเรา สถานะการณ์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าใครเป็นใครหรอกครับ กรุณาแก้ปัญหาให้ผมด่วน”
รองผบ.ร้อย จากกองร้อยที่ 3 ส่งข่าวขึ้นมาหากองสิงห์อีกครั้ง
“ไอ้น้อง มีวิธีเดียวโว้ย ให้ทหารกองพัน 617 โยนอาวุธทุกชนิดเอาไว้ที่บริเวณรั้วลวดหนามก่อนเข้าฐานฝ่ายเรา เมื่อตรวจสอบโดยละเอียดว่าไม่มีพวกมันแปลกปลอมเข้ามา ค่อยให้ทหารออกไปขนอาวุธกลับเข้ามาในฐานต่อไป อย่าลืมติดต่อกับ ฝอ.3 และประสานงานกันตลอดเวลา กำชับให้ลูกน้องของเขาปฏิบัติงานตามแผนของเราอย่างเคร่งครัด ใครมีอาวุธเข้ามา ยิงทันที อั๊วรับผิดชอบเอง”
กองสิงห์แก้ปัญหาให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ด้วยมันสมองและปฏิภาณที่ยอดเยี่ยมจนผมอดที่จะชมเชยด้วยใจจริงไม่ได้
“โอเคครับ นี่ผม ฝอ. 3 พูด ได้ยินและรับทราบคำสั่งของผู้พันโดยตลอด รับทราบ รับปฏิบัติครับ”
“ไทเกอร์” ซึ่งเปิดวิทยุฟังอยู่ตลอดเวลาสอดขึ้นมาทันทีที่กองสิงห์พูดจบลง ทำให้ปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นลุล่วงไปอย่างหวุดหวิดที่สุด
ณ บริเวณสนามบินล่องแจ้ง เครื่องบิน “ปอรตเตอร์” ที่ได้รับการติดต่อให้มารับพวกหัวกระทิของซี.ไอ.เอ. กลับอุดร บินวนเวียนอยู่เป็นรอบที่สาม ไม่กล้าที่จะตัดสินใจลงรับพวกเจ้านายของมัน เนื่องจากปืนกลหนักที่ยิงสาดลงมาเป็นสายจากยอดเนินสกายไลน์นั้น
นักบินคงได้รับการอัดฉีดเข้าไปเป็นจำนวนมหาศาล ถึงได้ยอม “เสี่ยงตาย” ฝ่าห่ากระสุนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดระยะเช่นนั้น
เจ้าปอร์ตเตอร์ตัดสินใจ ลดเพดานบินถลาลงบนรันเวย์ทันที
มีเสียงกราวใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมๆกับแสงสว่างของกระสุนส่องแส่งวิ่งเป็นสายพุ่งมาจากยอดเนินสกายไลน์...ทิศทางของกระสุนคือเครื่องบินบ้าเลือดลำนั้น
อา ข้าศึกใช้ปืนกลหนักระดมยิงปอร์ตเตอร์เข้าให้แล้ว
คราวนี้ต่อให้บ้าเลือดขนาดใหนก็เห็นจะทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วครับ นักบินเร่งเครื่องยนต์เต็มที่...เชิดหัวดิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยคามเร็วที่เร่งสุดขีดแทบเครื่องยนต์จะหลุดออกเป็นชิ้นๆ
ไปแล้วครับ เจ้าปอร์ตเตอร์ที่เมินหนีต่อเงินโอเวอร์ไทมส์อย่างไม่ยอมแยแส มันบินหนีไปเสียแล้ว ปล่อยให้ “นอร์แมน” ถอดหมวกออกขว้างลงกับพื้นสนามแล้วใช้เท้ากระทืบด้วยความโมโหสุดขีด
ชะรอยพวกข้าศึกมันคงจะตรวจการณ์เห็นกลุ่มฝรั่งที่ยืนออกันแน่น ณ บริเวณ “เม็นแล้ม” มันก็เลยปล่อย ปรส. 75 ลงมา 3 นัดซ้อนๆ
คราวนี้การแข่งขันวิ่งเร็วที่ความเร็วอาจทำลายสถิติโอลิมปิคก็ได้บังเกิดขึ้น กลุ่มฝรั่งแตกฮือเผ่นกันอย่างลืมตาย วิ่งเกาะกันมุ่งหน้าเข้ามายังกองบัญชาการท่ามกลางเสียงเชียร์และเสียงหัวเราะเกรียวกราวของกลุ่มทหารรับจ้างที่ยืนดูอยู่ข้างแนวกระสอบทราย
“นอร์แมน” ใช้ช่วงขาที่ยาวเหยียดสปีดฝีเท้าพาตัวเองมาถึง บก.ล่องแจ้งก่อนเพื่อน
เท่าที่ผมทราบจากเพื่อนๆในวันนั้น อาการของนอร์แมนหนักกว่าเพื่อน พอมาถึง บก.ล่องแจ้งก็ชักพะงาบๆ ร้อนถึงคุณหมอ “ชลกร” ผู้สามารถ ต้องเข้ามาแก้ไข อาการของนอร์แมนจึงพ้น “โคม่า” ไปได้อย่างหวุดหวิด
เนินสกายไลน์ทู...ตั้งแต่ชาร์ลี-แทงโก้ ชาร์ลี-อัลฟ่า ไปจนถึง ชาร์ลี-ออสก้า ตกอยู่ในความยึดครองของทหารเวียดนามเหนือจนหมดสิ้นในพลบค่ำวันนั้นเอง
“ไทเกอร์” พาทหารเดนตายจากกองพัน 617 เข้ามาเสริมแนวที่มั่นของกองร้อยที่ 3 ของกองพันที่ผมประจำอยู่โดยเรียบร้อย
และจากการสำรวจยอดครั้งสุดท้ายเป็นที่น่าสังเกตุว่าทหารสูญหายไปเกือบ 80 คน ซึ่งการสูญหายครั้งนี้ ยังเป็นปัญหาที่จะจำหน่ายกำลังพลลงไปอย่างแน่นอนไม่ได้ว่า
“ยอดเหล่านี้เป็นยอดกำลังพลที่สูญเสียในการประทะกับเนินสกายไลน์อย่างแท้จริง”
ทางกองพันส่วนหลังจะต้องใช้เวลา 4 ถึง 5 วันที่จะคอยเช็คยอดทหารรับจ้างที่กระจัดกระจายหนีตายไปรอบๆทิศ
ทั้งๆที่เนินสกายไลน์ห่างจากเมืองล่องแจ้งเพียง 5 กิโลเมตร แต่ทหารรับจ้างบางคนก็ต้องใช้เวลาถึง 4 วันกว่าจะเล็ดลอดเข้าไปยัง บก.ส่วนหลังที่เมืองล่องแจ้งได้
จากการสอบถามทหารรับจ้างที่บาดเจ็บบางคนที่ซ่อนตัวเองอยู่ในบริเวณฐานปฏิบัติการ ทำให้ บก.ล่องแจ้งสามารถประเมินข่าวได้ว่า ทหารเวียดนามเหนือใช้กำลังพลถึง 2 กองพัน (800 คน) ขึ้นบุกขยี้เนินสกายไลน์จนพังพินาศ
เป็นที่น่าสังเกตุว่า หลังจากทหารเวียดนามเหนือยึดยอดเนินดังกล่าวได้แล้ว กำลังพลส่วนใหญ่ของมันจะถอนตัวกลับลงไปแล้วทิ้งหน่วยระวังป้องกันเอาไว้จำนวนเล็กน้อยเท่านั้น
มันเป็นปัญหาว่า กำลังส่วนใหญ่ของข้าศึกซุกซ่อนอยู่ที่ใหน
พวกมันลำเลียงและส่งกำลังบำรุงกันได้อย่างไร ทหารนับพันๆคน การขนส่งอาวุธหรืออาหารจะต้องมีกรรมวิธีที่ยุ่งยากลำบากนานาประการ
ทำไมฝ่ายเราถึงไม่เคยทราบข่าวคราวหรือตรวจการณ์พบขบวนลำเลียงของพวกข้าศึกเลย หรือว่าข้าศึกอาจจะมี “ชอปเปอร์” คอยบินส่งอาหารและอาวุธมาจากทุ่งไหหิน หรือคิดแบบบ้าๆ ว่า “แอร์-อมริกัน” คงจะเล่นตลกกับพวกผมเข้าแล้ว เผลอๆก็เลยถือโอกาสรับจ้างพวกเวียดนามเหนือขนอาวุธยุทโธปกรณ์แลกเงินค่าจ้างทั้งสองฝ่ายสบายแฮไปเลย
คืนนั้นทั้งคืนกองพันของผมไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย ทั้งผู้พันและลูกแถวถ่างตาคอยข้าศึกอยู่ตลอดเวลาด้วยความระแวดระวัง
เงียบ เงียบเสียจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ยิ่งตกดึกยิ่งเกิดบรรยากาศที่น่าวังเวงขึ้นทุกที จนทำให้พวกทหารรับจ้างตามร่องสนามเพลาะเกิดอาการกริ่งเกรง กลัวพวก “แซปเปอร์” (หน่วยกล้าตาย) ของข้าศึกจะลอบคลานขึ้นมาจากหุบเบื้องล่าง ต้องขออนุญาตขว้างระเบิดหรือยิงปืน M-79 ออกไปนอกรั้วลวดหนาม อันเป็นการเคลียร์พื้นที่ไปในตัว
ตลอดทั้งคืนนั้น เหตุการณ์เลวร้ายก็ยังไม่เกิดขึ้น ทำให้พวกผมได้พักผ่อนร่างกายเอาตอนก่อนสว่างนั่นเอง ถึงแม้จะเป็นเวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็สามารถขับไล่ความเมื่อยล้าให้หมดไปได้บ้างพอสมควร
ก่อนสองโมงเช้า กองร้อยที่ 2 ที่ป้องกันที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตก็ได้รับคำสั่งจาก บก.ล่องแจ้ง ให้เคลื่อนย้ายไปป้องกัน “โรงเรียน ผบ.ร้อยทหารแม้ว” ที่ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาสกายไลน์และอยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการของข้าศึกเพียง 2 ก.ม.เท่านั้น
ด้วยกำลังพลเพียง 120 คน บก.ล่องแจ้งมอบภาระกิจที่หนักอึ้งให้กับกองร้อยที่ 2 อีกแล้ว มันเป็นปัญหาว่า ถ้าข้าศึกเกิด “แหยม” ลงมาจากยอดเนินพร้อมกับเข้ “าแหย่” ด้วยการลอบเข้าโจมตีฉาบฉวย กองร้อยที่ 2 ของกองพันเราจะสามารถ “ รับ” ได้หรือไม่”
ปัญหาอันนี้แหละครับ ที่กองสิงห์ปรับทุกข์กับผมด้วยความห่วงใยในชะตากรรมของลูกน้องที่ต้องมาตั้งฐานโดดเดี่ยวห่างจากกองพันไปคนละทิศละทาง
ในขณะที่การขนย้ายกำลังดำเนินอยู่นั้น ทาง บก.ล่องแจ้ง ก็ประชุมวางแผนยับยั้งข้าศึกที่ยึดเนินสกายไลน์เกือบตลอดทั้งเนิน ด้วยการเคลื่อยย้ายทหารราบไปตั้งรับเป็นแนวตลอดความยาวของรันเวย์สนามบินด้วยหวังเพียงจะยันการบุกของข้าศึกที่ทะลักลงมาจากเนินสกายไลน์แล้วข้ามสนามบินมุ่งเข้าโจมตีเมืองล่องแจ้งในวาระต่อไป
เพื่อหวังผ
ล่องแจ้งสมรภูมินรก (๘) ๑๖ พ.ย.๕๗
ชุดทหารรับจ้างเดนตาย
ตอน ล่องแจ้งสมรภูมินรก (๘)
สวยุมภู ทศพล
ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 8
เมื่อทหารเวียดนามเหนือขึ้นยึดฐานปฏิบัติการของกองร้อยที่ 2 ได้แล้วก็บุกตะลุยเข้าไปยัง บก.พัน ที่มีกองร้อยที่ 1 คุ้มกันอยู่อย่างรวดเร็ว หวังจะขยี้กองบัญชาการกองพัน 617 ให้ราบเป็นหน้ากลอง...
การสู้รบบนเนินสกายไลน์ได้ทวีความดุเดือดเหี้ยมเกรียมยิ่งขึ้นทุกขณะ กองร้อยที่ 2 ของกองพันทหารรับจ้างที่ 617 ต้องสูญเสียที่มั่นเป็นกองร้อยแรก ทหารรับจ้างที่รอดชีวิตแทนที่จะอยู่เสริมกำลังให้กับกองพัน 616 กลับแยกกลุ่มจากเพื่อนๆมุ่งหน้าไปยในหุบเขาบริเวณร่องน้ำที่ทอดตัวเองคดเคี้ยวลงไปยังหมู่บ้านชาวแม้ว ณ บริเวณเมืองล่องแจ้งที่มองเห็นลิบๆอยู่เบื้องล่าง โดยหวังจะเอาแต่ตัวรอดแต่เพียงลำพัง
ซวยอย่างมหาซวยเลยครับ ณ บริเวณพื้นที่ดังกล่าวทหารเวียดนามเหนือได้ตระเตรียมเอาใว้เป็น “คิลลิ่งโซน” (พื้นที่สังหาร” เอาใว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้พวกข้าศึกได้คาดการณ์เอาไว้ว่า ทหารรับจ้างส่วนใหญ่ จะต้องพากันถอยมายังบริเวณดังกล่าวนั้นอย่างแน่นอน
ด้วยกำลังพลเพียงหนึ่งหมวดที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธปืนเล็กกลได้ซ่อนพรางตัวเองอยู่ท่ามกลางความหนาทึบของภูมิประเทศเอาไว้อย่างเงียบเชียบรอเวลาที่จะขยี้ทหารรับจ้างที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างเลือดเย็น
มันเป็นความโชคดีของกองพัน 617 ที่ตัดสินใจพาทหารส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปตามเส้นทางคมนาคมบนเทือกเขาสกายไลน์แทนที่จะตัดตรงลงไปยัง บก.ล่องแจ้ง มิฉะนั้นแล้วยอดสูญเสียของกองพัน 617 จะต้องเพิ่มปริมานยิ่งกว่าเท่าที่เป็นจริงมากมายทีเดียว
ปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกที่ตั้งฐานยิงอยู่ที่เมืองล่องแจ้ง เบนปากกระบอกสลุตกระสุนขึ้นไปบนฐานของกองร้อยที่ 2 ซึ่งขณะนี้ถูกข้าศึกบังคับให้ถอนตัวอย่างกระทันหัน เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นของปืนใหญ่ที่ยิงพร้อมๆกันทั้ง 4 กระบอก ช่วยให้บรรยากาศของเนินสกายไลน์เพิ่มความน่าสะพึงกลัวยิ่งขึ้นป็นทวีคูณ
การยิงดำเนินไปได้เพียงชั่วครู่ ก็จำเป็นต้องยุติการยิงโดยฉับพลัน เมื่อได้ทราบข่าวว่ายังมีทหารรับจ้างที่ได้รับบาดเจ็บ ตกค้างอยู่บนเนินฐานปฏิบัติการอีกหลายสิบคน
“ภูเวียง” ผบ.พัน 617 ออกคำสั่งป้องกันฐาน บก.พันอย่างชนิดสู้ตายคารัง ผบ.พันใจเด็ดพร้อมด้วย “ไทเกอร์” นายทหารคู่ใจที่เพิ่งสำเร็จมาจาก จปร. อย่างสดๆร้อนๆ นำทหารเข้าประจัญบานกับข้าศึกอย่างชนิดเลือดแลกเลือด
ด้วยกำลังพลที่มากกว่ากันจนเทียบกันไม่ติด เข้าทำนองน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ฐาน บก.พัน อันหนาแน่นที่คุ้มกันด้วยกำลังพลถึง 130 คน ฐาน บก.พันอันหนาแน่นที่คุ้มกันด้วยกำลังพลถึง 130 คน จากกองร้อยที่ 1 ของกองพัน 617 ก็ต้องประสพกับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับกองร้อยที่ 2 เข้าอีก
และคราวนี้ก็ไม่ต้องมีใครสั่งให้ถอนตัวหรอกครับ เมื่อ “ภูเวียง” ถูกกระสุนอาร์ก้าเข้าบริเวณเหนือคิ้วซ้ายล้มพับลงไปต่อหน้าต่อตา ขวัญและกำลังใจของทหารเหล่านั้นก็โบยบินไปเสียแล้ว พวกเขาพากันห้อตะบึงออกจากฐาน บก.พัน มุ่งหน้าไปยังกองพัน 616 อย่างชนิดตัวใตรตัวมัน
เมื่อลูกน้องพากันหลบหนีจนหมดสิ้น “ไทเกอร์” นายทหารคู่ใจของ ผบ.พัน ก็จำใจต้องวิ่งติดตามกลุ่มทหารเหล่านั้นออกไปอย่างชนิดขวัญเสีย
บังเอิญเหลือเกินที่พนักงานวิทยุของกองพัน 617 อาศัยความรวดเร็วคว้าวิทยุติดมือออกมาได้อย่างหวุดหวิดก็เลยสามารถติดต่อกันได้ขณะถอนตัว
“ช่วยยิงคุ้มกันให้พวกผมหน่อยครับ ขณะนี้พวกมันวิ่งไล่ผมมาติดๆเลยครับ...กรุณาช่วยด้วยครับ”
พนักงานวิทยุกองพัน 617 กระหืดกระหอบขอตวามช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก จนได้ยินเสียงหอบฟืดฟาดออกมาจากลำโพงวิทยุอย่างน่าเหน็ดเหนื่อยแทน
“ยิง ค.81 คุ้มกันให้ 617 เขาด้วย ระวังอย่าให้โดนพวกเดียวกันนะโว้ย”
กองสิงห์ สั่งลูกน้องหมวดอาวุธหนักที่ประจำอยู่ ณ กองร้อย 3 บริเวณ ชาร์ลี-บราโว-แพด ให้ยิงสนับสนุนตามคำร้องขอด่วน
“ผมยิงให้ไม่ได้หรอกครับผู้พัน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พวกที่หนีก็แต่งชุดเสือพราน...ไอ้พวกที่กำลังไล่ติดตามก็แต่งชุดเสือพราน”
หมวดอาวุธหนักโวยวายมาลั่นอย่างเคลือบแคลงใจ
“ยิงเลยครับ...ไอ้แกวทั้งนั้น มันเอาชุดพวกเราที่ตายมาใส่แทนและวิ่งไล่หวังจะสวมรอยเข้าไปในฐานของพวกคุณพร้อมๆกับผมนี่แหละ ผมเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากฐาน...นี่ผม ไทเกอร์ ฝอ.3 พูดครับ”
นายทหารคู่ใจของ “ภูเวียง” กระหืดกระหอบส่งข่าวร้องขอการยิงต่อไปอีกอย่างร้อนรน
“ยิงสลุตเลยไอ้น้อง อั๊วจำเสียง ฝอ.3 ของกองพัน 617 ได้ไม่ผิดแน่”
กองสิงห์ตัดสินใจออกคำสั่งยิงทันที
ท่ามกลางอากาศที่กำลังสลัวลงทุกขณะ บนเส้นทางที่ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมบนเนินสกายไลน์ จะมองเห็นกลุ่มมนุษย์สองกลุ่มทิ้งระยะห่างกันไม่เกิน 400 เมตร ทุกคนมุ่งหน้าเข้ามายังฐานปฏิบัติการของกองร้อยที่ 3 ของกองพัน 616 มองดูดำมืดไปหมดทั้งถนน
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวที่ตกลงกึ่งกลางกลุ่มทหารเหล่านั้น จากแสงไฟที่สว่างแวบขึ้นมาทำให้ตรวจการณ์เห็นกลุ่มทหารที่กำลังวิ่งติดตามทหารรับจ้างฝ่ายเรา แตกขบวนถอยหลังเผ่นกลับไปยังฐานที่กองพัน 617 เพิ่งจะถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
“ชัดเลย ไอ้แกวทั้งนั้น ถล่มแม่มันเข้าไปไอ้น้อง ต้อนมันกลับเข้าไปในฐานเก่าให้หมด ประเดี๋ยวจะให้ “แคนเดิ้ล” กับ “เฮอคิวลิส” ช่วยกระหน่ำมันต่อไปอีก”
กองสิงห์ตะโกนออกคำสั่งเสียงลั่นวิทยุ พร้อมกับยกกล้องสองตาขึ้นปรับโฟกัสตรวจการณ์ต่อไปอย่างชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตา
“ผู้พันครับ ผมกลัวปัญหาอีตอนพวก 617 เข้ามาในฐานของพวกเรา สถานะการณ์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าใครเป็นใครหรอกครับ กรุณาแก้ปัญหาให้ผมด่วน”
รองผบ.ร้อย จากกองร้อยที่ 3 ส่งข่าวขึ้นมาหากองสิงห์อีกครั้ง
“ไอ้น้อง มีวิธีเดียวโว้ย ให้ทหารกองพัน 617 โยนอาวุธทุกชนิดเอาไว้ที่บริเวณรั้วลวดหนามก่อนเข้าฐานฝ่ายเรา เมื่อตรวจสอบโดยละเอียดว่าไม่มีพวกมันแปลกปลอมเข้ามา ค่อยให้ทหารออกไปขนอาวุธกลับเข้ามาในฐานต่อไป อย่าลืมติดต่อกับ ฝอ.3 และประสานงานกันตลอดเวลา กำชับให้ลูกน้องของเขาปฏิบัติงานตามแผนของเราอย่างเคร่งครัด ใครมีอาวุธเข้ามา ยิงทันที อั๊วรับผิดชอบเอง”
กองสิงห์แก้ปัญหาให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ด้วยมันสมองและปฏิภาณที่ยอดเยี่ยมจนผมอดที่จะชมเชยด้วยใจจริงไม่ได้
“โอเคครับ นี่ผม ฝอ. 3 พูด ได้ยินและรับทราบคำสั่งของผู้พันโดยตลอด รับทราบ รับปฏิบัติครับ”
“ไทเกอร์” ซึ่งเปิดวิทยุฟังอยู่ตลอดเวลาสอดขึ้นมาทันทีที่กองสิงห์พูดจบลง ทำให้ปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นลุล่วงไปอย่างหวุดหวิดที่สุด
ณ บริเวณสนามบินล่องแจ้ง เครื่องบิน “ปอรตเตอร์” ที่ได้รับการติดต่อให้มารับพวกหัวกระทิของซี.ไอ.เอ. กลับอุดร บินวนเวียนอยู่เป็นรอบที่สาม ไม่กล้าที่จะตัดสินใจลงรับพวกเจ้านายของมัน เนื่องจากปืนกลหนักที่ยิงสาดลงมาเป็นสายจากยอดเนินสกายไลน์นั้น
นักบินคงได้รับการอัดฉีดเข้าไปเป็นจำนวนมหาศาล ถึงได้ยอม “เสี่ยงตาย” ฝ่าห่ากระสุนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดระยะเช่นนั้น
เจ้าปอร์ตเตอร์ตัดสินใจ ลดเพดานบินถลาลงบนรันเวย์ทันที
มีเสียงกราวใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมๆกับแสงสว่างของกระสุนส่องแส่งวิ่งเป็นสายพุ่งมาจากยอดเนินสกายไลน์...ทิศทางของกระสุนคือเครื่องบินบ้าเลือดลำนั้น
อา ข้าศึกใช้ปืนกลหนักระดมยิงปอร์ตเตอร์เข้าให้แล้ว
คราวนี้ต่อให้บ้าเลือดขนาดใหนก็เห็นจะทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วครับ นักบินเร่งเครื่องยนต์เต็มที่...เชิดหัวดิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยคามเร็วที่เร่งสุดขีดแทบเครื่องยนต์จะหลุดออกเป็นชิ้นๆ
ไปแล้วครับ เจ้าปอร์ตเตอร์ที่เมินหนีต่อเงินโอเวอร์ไทมส์อย่างไม่ยอมแยแส มันบินหนีไปเสียแล้ว ปล่อยให้ “นอร์แมน” ถอดหมวกออกขว้างลงกับพื้นสนามแล้วใช้เท้ากระทืบด้วยความโมโหสุดขีด
ชะรอยพวกข้าศึกมันคงจะตรวจการณ์เห็นกลุ่มฝรั่งที่ยืนออกันแน่น ณ บริเวณ “เม็นแล้ม” มันก็เลยปล่อย ปรส. 75 ลงมา 3 นัดซ้อนๆ
คราวนี้การแข่งขันวิ่งเร็วที่ความเร็วอาจทำลายสถิติโอลิมปิคก็ได้บังเกิดขึ้น กลุ่มฝรั่งแตกฮือเผ่นกันอย่างลืมตาย วิ่งเกาะกันมุ่งหน้าเข้ามายังกองบัญชาการท่ามกลางเสียงเชียร์และเสียงหัวเราะเกรียวกราวของกลุ่มทหารรับจ้างที่ยืนดูอยู่ข้างแนวกระสอบทราย
“นอร์แมน” ใช้ช่วงขาที่ยาวเหยียดสปีดฝีเท้าพาตัวเองมาถึง บก.ล่องแจ้งก่อนเพื่อน
เท่าที่ผมทราบจากเพื่อนๆในวันนั้น อาการของนอร์แมนหนักกว่าเพื่อน พอมาถึง บก.ล่องแจ้งก็ชักพะงาบๆ ร้อนถึงคุณหมอ “ชลกร” ผู้สามารถ ต้องเข้ามาแก้ไข อาการของนอร์แมนจึงพ้น “โคม่า” ไปได้อย่างหวุดหวิด
เนินสกายไลน์ทู...ตั้งแต่ชาร์ลี-แทงโก้ ชาร์ลี-อัลฟ่า ไปจนถึง ชาร์ลี-ออสก้า ตกอยู่ในความยึดครองของทหารเวียดนามเหนือจนหมดสิ้นในพลบค่ำวันนั้นเอง
“ไทเกอร์” พาทหารเดนตายจากกองพัน 617 เข้ามาเสริมแนวที่มั่นของกองร้อยที่ 3 ของกองพันที่ผมประจำอยู่โดยเรียบร้อย
และจากการสำรวจยอดครั้งสุดท้ายเป็นที่น่าสังเกตุว่าทหารสูญหายไปเกือบ 80 คน ซึ่งการสูญหายครั้งนี้ ยังเป็นปัญหาที่จะจำหน่ายกำลังพลลงไปอย่างแน่นอนไม่ได้ว่า
“ยอดเหล่านี้เป็นยอดกำลังพลที่สูญเสียในการประทะกับเนินสกายไลน์อย่างแท้จริง”
ทางกองพันส่วนหลังจะต้องใช้เวลา 4 ถึง 5 วันที่จะคอยเช็คยอดทหารรับจ้างที่กระจัดกระจายหนีตายไปรอบๆทิศ
ทั้งๆที่เนินสกายไลน์ห่างจากเมืองล่องแจ้งเพียง 5 กิโลเมตร แต่ทหารรับจ้างบางคนก็ต้องใช้เวลาถึง 4 วันกว่าจะเล็ดลอดเข้าไปยัง บก.ส่วนหลังที่เมืองล่องแจ้งได้
จากการสอบถามทหารรับจ้างที่บาดเจ็บบางคนที่ซ่อนตัวเองอยู่ในบริเวณฐานปฏิบัติการ ทำให้ บก.ล่องแจ้งสามารถประเมินข่าวได้ว่า ทหารเวียดนามเหนือใช้กำลังพลถึง 2 กองพัน (800 คน) ขึ้นบุกขยี้เนินสกายไลน์จนพังพินาศ
เป็นที่น่าสังเกตุว่า หลังจากทหารเวียดนามเหนือยึดยอดเนินดังกล่าวได้แล้ว กำลังพลส่วนใหญ่ของมันจะถอนตัวกลับลงไปแล้วทิ้งหน่วยระวังป้องกันเอาไว้จำนวนเล็กน้อยเท่านั้น
มันเป็นปัญหาว่า กำลังส่วนใหญ่ของข้าศึกซุกซ่อนอยู่ที่ใหน
พวกมันลำเลียงและส่งกำลังบำรุงกันได้อย่างไร ทหารนับพันๆคน การขนส่งอาวุธหรืออาหารจะต้องมีกรรมวิธีที่ยุ่งยากลำบากนานาประการ
ทำไมฝ่ายเราถึงไม่เคยทราบข่าวคราวหรือตรวจการณ์พบขบวนลำเลียงของพวกข้าศึกเลย หรือว่าข้าศึกอาจจะมี “ชอปเปอร์” คอยบินส่งอาหารและอาวุธมาจากทุ่งไหหิน หรือคิดแบบบ้าๆ ว่า “แอร์-อมริกัน” คงจะเล่นตลกกับพวกผมเข้าแล้ว เผลอๆก็เลยถือโอกาสรับจ้างพวกเวียดนามเหนือขนอาวุธยุทโธปกรณ์แลกเงินค่าจ้างทั้งสองฝ่ายสบายแฮไปเลย
คืนนั้นทั้งคืนกองพันของผมไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย ทั้งผู้พันและลูกแถวถ่างตาคอยข้าศึกอยู่ตลอดเวลาด้วยความระแวดระวัง
เงียบ เงียบเสียจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ยิ่งตกดึกยิ่งเกิดบรรยากาศที่น่าวังเวงขึ้นทุกที จนทำให้พวกทหารรับจ้างตามร่องสนามเพลาะเกิดอาการกริ่งเกรง กลัวพวก “แซปเปอร์” (หน่วยกล้าตาย) ของข้าศึกจะลอบคลานขึ้นมาจากหุบเบื้องล่าง ต้องขออนุญาตขว้างระเบิดหรือยิงปืน M-79 ออกไปนอกรั้วลวดหนาม อันเป็นการเคลียร์พื้นที่ไปในตัว
ตลอดทั้งคืนนั้น เหตุการณ์เลวร้ายก็ยังไม่เกิดขึ้น ทำให้พวกผมได้พักผ่อนร่างกายเอาตอนก่อนสว่างนั่นเอง ถึงแม้จะเป็นเวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็สามารถขับไล่ความเมื่อยล้าให้หมดไปได้บ้างพอสมควร
ก่อนสองโมงเช้า กองร้อยที่ 2 ที่ป้องกันที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตก็ได้รับคำสั่งจาก บก.ล่องแจ้ง ให้เคลื่อนย้ายไปป้องกัน “โรงเรียน ผบ.ร้อยทหารแม้ว” ที่ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาสกายไลน์และอยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการของข้าศึกเพียง 2 ก.ม.เท่านั้น
ด้วยกำลังพลเพียง 120 คน บก.ล่องแจ้งมอบภาระกิจที่หนักอึ้งให้กับกองร้อยที่ 2 อีกแล้ว มันเป็นปัญหาว่า ถ้าข้าศึกเกิด “แหยม” ลงมาจากยอดเนินพร้อมกับเข้ “าแหย่” ด้วยการลอบเข้าโจมตีฉาบฉวย กองร้อยที่ 2 ของกองพันเราจะสามารถ “ รับ” ได้หรือไม่”
ปัญหาอันนี้แหละครับ ที่กองสิงห์ปรับทุกข์กับผมด้วยความห่วงใยในชะตากรรมของลูกน้องที่ต้องมาตั้งฐานโดดเดี่ยวห่างจากกองพันไปคนละทิศละทาง
ในขณะที่การขนย้ายกำลังดำเนินอยู่นั้น ทาง บก.ล่องแจ้ง ก็ประชุมวางแผนยับยั้งข้าศึกที่ยึดเนินสกายไลน์เกือบตลอดทั้งเนิน ด้วยการเคลื่อยย้ายทหารราบไปตั้งรับเป็นแนวตลอดความยาวของรันเวย์สนามบินด้วยหวังเพียงจะยันการบุกของข้าศึกที่ทะลักลงมาจากเนินสกายไลน์แล้วข้ามสนามบินมุ่งเข้าโจมตีเมืองล่องแจ้งในวาระต่อไป
เพื่อหวังผ