คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ก็เคยได้บ้างแต่คงจะเสื่อมบ้างแล้วเหมือนกันเพราะไม่ค่อยจะได้ปฏิบัติตั้งแต่เรียนจบได้ทำงาน
ที่ได้ก็พอมีตามพระไตรปิฎกครับพอเล่าให้ฟังสนุกๆได้บ้างแต่จะให้อธิบายว่าเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นคงอธิบายไม่ได้
ตอนฝึกด้วยกสินได้รูปฌาณ
ขณะที่ใช้รูปฌาณพิจารณารูป เกิดอนัตตลักขณญาณปรากฎภาพที่เห็นโลกผิดไปจากปรกติมองเห็นอะไรๆในโลกเป็นส่วนๆตอนๆที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
ธรรมชาติที่เรามีอุปาทานว่ามันเป็นความสัมพันธ์กัน จริงๆแล้วมันเป็นคนละส่วนกัน เช่น คนทั่วไปจะเห็นเมฆฝนและเม็ดฝนเป็นสิ่งที่เกิดสืบต่อกัน
แต่ขณะใช้ฌาณพิจารณา ได้เห็นอาการที่เราไป "หลงว่ามันเกี่ยวข้องกัน" เพราะอุปาทานเดิม ได้เห็นอาการ "ไม่หลง แยกมันออกเป็นส่วนๆกัน"
มองเห็นน้ำที่อยู่ในแก้วกับน้ำที่กำลังรินออกจากแก้ว แยกจากกัน(ทั้งๆที่น้ำก็ไหลเป็นสายตลอด)ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่คนทั่วไปจะยึดมั่นว่าน้ำทั้งในแก้วและที่กำลังรินออกจากแก้วเป็นอันเดียวกัน มนุษย์ที่ยืนอยู่บนโลกกับการยืนไม่ได้เกี่ยวข้องกันมองเห็นมนุษย์กำลังยืนห้อยหัวอยู่บนโลก(โลกพลิกกลับ) เป็นต้น
ตอนพยายามจะทำวิปัสสนาพิจารณาอารมณ์ได้อรูปฌาณ
ก็ใช้อรูปฌาณพิจารณาวิญญาณและอารมณ์ เกิดความเห็นว่า การรับรู้ของเหตุอันก่อน ก่อนที่จะปรุงเหตุใหม่ซึ่งจิตเข้าไปรับรู้การปรุง
ได้เห็นความหลง(อวิชชา)ของจิต และความไม่หลง(วิชชา)ของจิต ในการสืบต่อหรือไม่สืบต่อการรับรู้อันนั้น
หากมีการสืบต่อจิตจะเข้าเสพอารมณ์จะเห็นจิตแยกส่วนกับอารมณ์เป็นคนละอย่างกัน หากไม่มีการสืบต่อจิตจะหยุดนิ่ง เฉย และเบาอย่างไม่มีอะไรๆข้องเกี่ยว
ส่วนความสามารถพิเศษนั้นไม่ได้มีสม่ำเสมอมีบ้างไม่มีบ้าง เดี๋ยวนี้ยิ่งไม่มีเลย
ตอนที่ได้เช่น เห็นธรรมกายของตัวเองทั้งๆที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยว่ามีของอย่างนี้ด้วย เห็นผู้มาเกิด เห็นผู้กำลังไปภพใหม่ เห็นผู้รอส่วนบุญ เห็นเทวดา ได้ไปนรก เห็นอดีตชาติของตัวเองตอนอยู่ในนรก เห็นอดีตชาติและอนาคตของคนที่สนใจและกรรมที่ทำให้เป็นอย่างนั้น เห็นพระสงฆ์ที่มรณะภาพไปแล้วมาบอกถึงสิ่งที่กำลังติดอยู่แต่เราคิดเองไม่ออกว่าติดอะไร
ฌาณมีหลายระดับก็จริงแต่ทั้งนี้ขึ้นกับความขยัน พอทำได้ระดับแรกๆมันก็จะไหลไปอันดับท้ายๆได้ง่าย ง่ายกว่าการพยายามทำขั้นแรก
จิตปัจจุบันก็ทรงอารมณ์ฌาณไว้เป็นปรกติส่วนใหญ่แกะออกไม่ค่อยได้ จะทำวิปัสสนาก็กลายเป็นเข้าฌาณอยู่เรื่อยๆ
คนที่ฝึกฌาณได้แล้วจิตจะไม่ค่อยเห็นทุกขัง พอไม่ได้เห็นทุกขัง ปัญญาเลยไม่ค่อยจะเกิด
ต้องใช้ปัญญาบารมีของพระพุทธเจ้าช่วย(จากในพระไตรปิฎก)ให้เห็นทุกข์ที่ยังมีอยู่ในฌาณ เช่น ความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์และจิต
ทิฏฐิมานะ โดยเฉพาะภวะตัณหานี่ตัวดีและเห็นได้ชัดบ่อยๆเลยตอนนี้
ติดอรูปฌาณคือจิตหายไปไม่ขึ้นมาก่ออะไรๆหลบไปนิ่งอยู่หาจิตไม่เจอแต่อายตนะต่างๆทำงานปรกติ คิดอ่านได้(แสดงว่ายังมีจิต)
ถ้าขืนติดฌาณแกะออกไม่ได้ก็พลาดจะโอกาสจะได้รู้รสพระธรรมแท้ๆแน่ พักนี้เลยหาฟังธรรมะของหลวงพ่อปราโมทช์ ปาโมโชบ่อย
ก็พยายามจะฝึก "ลักขณูปณิชฌาณ" ฌาณเฉพาะในพุทธศาสนา(ท่านเรียกว่ามรรควิธี..หาอ่านได้ในเน็ต) แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรจริงจังเหมือนเมื่อก่อนเสียแล้ว
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ได้คือ ได้ความเชื่อมั่นว่าพระไตรปิฎกไม่ได้เขียนโม้หรือหลอกลวงให้ดูแปลกประหลาดพิศดารและได้รับรู้ว่าพระพุทธเจ้ามีอาการการตรัสรู้อย่างไรจึงได้รู้ธรรมได้ละเอียดที่เรียกว่ารู้แจ้งโลก
ปล.ฟัง(อ่าน)สนุกๆนะครับ พอให้เป็นกำลังใจในการพยายามฝึกฝนในขณะที่ยังมีโอกาสทำได้
ที่ได้ก็พอมีตามพระไตรปิฎกครับพอเล่าให้ฟังสนุกๆได้บ้างแต่จะให้อธิบายว่าเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นคงอธิบายไม่ได้
ตอนฝึกด้วยกสินได้รูปฌาณ
ขณะที่ใช้รูปฌาณพิจารณารูป เกิดอนัตตลักขณญาณปรากฎภาพที่เห็นโลกผิดไปจากปรกติมองเห็นอะไรๆในโลกเป็นส่วนๆตอนๆที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
ธรรมชาติที่เรามีอุปาทานว่ามันเป็นความสัมพันธ์กัน จริงๆแล้วมันเป็นคนละส่วนกัน เช่น คนทั่วไปจะเห็นเมฆฝนและเม็ดฝนเป็นสิ่งที่เกิดสืบต่อกัน
แต่ขณะใช้ฌาณพิจารณา ได้เห็นอาการที่เราไป "หลงว่ามันเกี่ยวข้องกัน" เพราะอุปาทานเดิม ได้เห็นอาการ "ไม่หลง แยกมันออกเป็นส่วนๆกัน"
มองเห็นน้ำที่อยู่ในแก้วกับน้ำที่กำลังรินออกจากแก้ว แยกจากกัน(ทั้งๆที่น้ำก็ไหลเป็นสายตลอด)ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่คนทั่วไปจะยึดมั่นว่าน้ำทั้งในแก้วและที่กำลังรินออกจากแก้วเป็นอันเดียวกัน มนุษย์ที่ยืนอยู่บนโลกกับการยืนไม่ได้เกี่ยวข้องกันมองเห็นมนุษย์กำลังยืนห้อยหัวอยู่บนโลก(โลกพลิกกลับ) เป็นต้น
ตอนพยายามจะทำวิปัสสนาพิจารณาอารมณ์ได้อรูปฌาณ
ก็ใช้อรูปฌาณพิจารณาวิญญาณและอารมณ์ เกิดความเห็นว่า การรับรู้ของเหตุอันก่อน ก่อนที่จะปรุงเหตุใหม่ซึ่งจิตเข้าไปรับรู้การปรุง
ได้เห็นความหลง(อวิชชา)ของจิต และความไม่หลง(วิชชา)ของจิต ในการสืบต่อหรือไม่สืบต่อการรับรู้อันนั้น
หากมีการสืบต่อจิตจะเข้าเสพอารมณ์จะเห็นจิตแยกส่วนกับอารมณ์เป็นคนละอย่างกัน หากไม่มีการสืบต่อจิตจะหยุดนิ่ง เฉย และเบาอย่างไม่มีอะไรๆข้องเกี่ยว
ส่วนความสามารถพิเศษนั้นไม่ได้มีสม่ำเสมอมีบ้างไม่มีบ้าง เดี๋ยวนี้ยิ่งไม่มีเลย
ตอนที่ได้เช่น เห็นธรรมกายของตัวเองทั้งๆที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยว่ามีของอย่างนี้ด้วย เห็นผู้มาเกิด เห็นผู้กำลังไปภพใหม่ เห็นผู้รอส่วนบุญ เห็นเทวดา ได้ไปนรก เห็นอดีตชาติของตัวเองตอนอยู่ในนรก เห็นอดีตชาติและอนาคตของคนที่สนใจและกรรมที่ทำให้เป็นอย่างนั้น เห็นพระสงฆ์ที่มรณะภาพไปแล้วมาบอกถึงสิ่งที่กำลังติดอยู่แต่เราคิดเองไม่ออกว่าติดอะไร
ฌาณมีหลายระดับก็จริงแต่ทั้งนี้ขึ้นกับความขยัน พอทำได้ระดับแรกๆมันก็จะไหลไปอันดับท้ายๆได้ง่าย ง่ายกว่าการพยายามทำขั้นแรก
จิตปัจจุบันก็ทรงอารมณ์ฌาณไว้เป็นปรกติส่วนใหญ่แกะออกไม่ค่อยได้ จะทำวิปัสสนาก็กลายเป็นเข้าฌาณอยู่เรื่อยๆ
คนที่ฝึกฌาณได้แล้วจิตจะไม่ค่อยเห็นทุกขัง พอไม่ได้เห็นทุกขัง ปัญญาเลยไม่ค่อยจะเกิด
ต้องใช้ปัญญาบารมีของพระพุทธเจ้าช่วย(จากในพระไตรปิฎก)ให้เห็นทุกข์ที่ยังมีอยู่ในฌาณ เช่น ความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์และจิต
ทิฏฐิมานะ โดยเฉพาะภวะตัณหานี่ตัวดีและเห็นได้ชัดบ่อยๆเลยตอนนี้
ติดอรูปฌาณคือจิตหายไปไม่ขึ้นมาก่ออะไรๆหลบไปนิ่งอยู่หาจิตไม่เจอแต่อายตนะต่างๆทำงานปรกติ คิดอ่านได้(แสดงว่ายังมีจิต)
ถ้าขืนติดฌาณแกะออกไม่ได้ก็พลาดจะโอกาสจะได้รู้รสพระธรรมแท้ๆแน่ พักนี้เลยหาฟังธรรมะของหลวงพ่อปราโมทช์ ปาโมโชบ่อย
ก็พยายามจะฝึก "ลักขณูปณิชฌาณ" ฌาณเฉพาะในพุทธศาสนา(ท่านเรียกว่ามรรควิธี..หาอ่านได้ในเน็ต) แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรจริงจังเหมือนเมื่อก่อนเสียแล้ว
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ได้คือ ได้ความเชื่อมั่นว่าพระไตรปิฎกไม่ได้เขียนโม้หรือหลอกลวงให้ดูแปลกประหลาดพิศดารและได้รับรู้ว่าพระพุทธเจ้ามีอาการการตรัสรู้อย่างไรจึงได้รู้ธรรมได้ละเอียดที่เรียกว่ารู้แจ้งโลก
ปล.ฟัง(อ่าน)สนุกๆนะครับ พอให้เป็นกำลังใจในการพยายามฝึกฝนในขณะที่ยังมีโอกาสทำได้
แสดงความคิดเห็น
มีใครในนี้ ได้ ฌานแล้วบ้าง
เช่น ฌาน1 มีวิตกวิจารน์ เป็นองค์นำ ฌาน2 มีปิติเป็นองค์นำฌาน3 มีสุขเป็นองค์นำฌาน4มี อุเบกขาเป็นองค์นำ
มีอาการขนลุกเป็นระยะๆ ตัวเบาเหมือนจะลอย ลมหายใจแผ่วเบา มากหรือน้อย
แล้วได้คุณวิเศษ จากฌาน ข้อใดบ้างครับ
เข้ามาแชร์ ประสบการณ์ กันได้ครับ
เพราะไปแชร์ ที่อื่นไม่มีใครเชื่อครับ