สวัสดีค่ะ
ยืมล็อกอินเพื่อนมาค่ะ ขออนุญาติเล่าเรื่องที่เราได้พบเจอมาวันนี้นะคะ
ได้มีโอกาสปรึกษาผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ท่านบอกว่า
"เจอมาแบบนี้อยากทำบุญมั้ย ถ้าอยากให้เอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาลงเพื่อเตือนให้คนอื่นได้รับรู้และระวังไว้"
เราเลยตัดสินใจมาบอกเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังค่ะ
ขออนุญาติปิดบังข้อมูลบางส่วน ค่อนข้างยาวนิดนึงนะคะรบกวนอ่านด้วยค่ะ
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
หากท่านใดมีข้อชี้แนะก็ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเลยค่ะ
เรามีห้องชุดเอื้ออาทรอยู่ 1 ห้องค่ะ แต่เนื่องจากว่าห้องอยู่ชั้น 5 ซึ่งโครงการที่เราอยู่ไม่มีลิฟต์ค่ะ
ด้วยสุขภาพของแม่ เราจึงตัดสินใจไปหาเช่าบ้านที่อื่นอยู่แทนค่ะ โดยห้องชุดนี้ เราเอาไว้เก็บของไม่ค่อยได้ใช้
และจะกลับมาเช็คจดหมาย บิล ใบเสร็จต่างๆ เดือนละ 1-2 ครั้ง ในห้อง เราจะเสียบปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว คือ ตู้เย็น
ทุกเดือนค่าไฟ จะมีบิลมาว่า เราใช้ไฟไปแค่ 17-18 หน่วย ซึ่งถ้าไม่เกิน 50 หน่วยก็จะไม่ต้องจ่ายค่าไฟ ตามรูปค่ะ
แต่เมื่อวาน วันอาทิตย์ 9/11/57 แวะไปที่ห้อง เจอบิลค่าไฟฟ้ามาแบบนี้ค่ะ
เราตกใจมากค่ะ แวบแรกที่คิดคือ มีไฟรั่วในห้องเหรอ
มีใครแอบมาใช้ไฟรึป่าว ก็เดินสำรวจทั่วห้องก็ปกติค่ะ
เลยไปดูมิเตอร์ไฟฟ้า เจอแบบนี้ค่ะ
เลขตามบิลค่าไฟฟ้า จดครั้งหลัง 7371 จดวันที่ 27/10/57 หน่วยที่ใช้ 72 หน่วย
เลขตามมิเตอร์ไฟ 7325 รูปถ่ายวันที่ 9/11/57
เลยตัดสินใจว่าจะเอาบิลและรูปที่ถ่ายไปที่การไฟฟ้าคะ พอไปถึงเค้าก็บอกให้ไปฝ่ายตรวจสอบ
ก็ยื่นบิลและรูปถ่ายมิเตอร์ให้เค้าดู บอกว่าน่าจะมีการจดเลขมิเตอร์ผิดนะคะ
เจ้าหน้าที่ก็รับเรื่องแล้วใช้โทรศัพท์สำนักงานติดต่อเจ้าหน้าที่อีกคนค่ะ
คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จดมิเตอร์ค่ะ บทสนทาประมาณว่า
ได้ไปจดของเลขที่xx มั้ย ทำไมในบันทึกไม่มีล่ะ ทุกเดือนเค้าไม่ได้จ่ายนะ เดือนนี้มิเตอร์มาเท่านี้ สองร้อยกว่าบาท บลาๆๆ
แล้วก็ยื่นโทรศัพท์ให้เราคุยสาย เราก็เล่าว่า ที่ห้องเสียบไฟแค่ตู้เย็นอย่างเดียวค่ะ
ทุกเดือนมีบิล แค่ 17 หน่วย แต่เดือนนี้มา 72 หน่วย เช็คมิเตอร์แล้วเลขก็ไม่ตรงตามบิลด้วยค่ะ
เค้าก็ตอบกลับมาว่า ขอให้เราสำรองจ่ายค่าไฟไปก่อน
ตัวเค้าเองจะทำรายงานแจ้งหัวหน้าแล้วปลายเดือนประมาณอีก 2 อาทิตย์ จะเอาเงินไปคืนให้ที่ห้อง
เราก็แจ้งว่าไม่สะดวกค่ะ ขอมารับที่การไฟฟ้าแทนก็ได้ค่ะ แล้วถามข้อมูลจากเราเพียงแค่ เบอร์โทร ชื่อไปค่ะ แล้วก็วางสายไป
เจ้าหน้าที่ตรงเคาน์เตอร์ก็ถามเราว่า ตกลงกันได้แล้วใช่มั้ย เราก็เล่าไปว่ายังไงบ้าง
เราก็ถามเค้าไปว่า ไม่เก็บหลักฐานไว้เหรอคะ เค้าก็บอกว่าไม่ต้อง
แล้วก็บอกว่าเบอร์โทรของเจ้าหน้าที่คนนั้นตามที่จดให้ในกระดาษ (ที่เราปริ้นท์รูปมิเตอร์ไป)
เราเลยเดินไปจ่ายค่าไฟอีกทีหนึ่งค่ะ เพราะบิลให้จ่ายถึงวันที่ 6/11/57
หากเลยเวลาไปมากเราก็เกรงว่าเค้าจะมาตัดไฟ แล้วเราต้องมาจ่ายค่าต่อมิเตอร์อีกครั้ง
แล้วก็ออกมาอย่างงงๆ ในใจเราสงสัยว่า ปกติขั้นตอนมันเป็นแบบนี้เหรอไม่เคยเจอ
แต่พอจะเข้าใจตรงที่ให้สำรองจ่ายไปก่อนค่ะ เพราะเราเองเคยทำในหน่วยงานราชการมาก่อน
เข้าใจว่าการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานค่อนข้างล่าช้า
เท่าที่เราเคยเจอมา หากเกิดข้อผิดพลาดอะไรต้องทำตามขั้นตอนที่มีไปก่อน แล้วค่อยยื่นเรื่องแก้ไขตามไปทีหลัง
แล้วก็นึกได้ว่า เค้าไม่เห็นให้หลักฐาน เอกสารอะไรมาให้เราเลย นอกจากเบอร์โทรเจ้าหน้าที่คนนั้น
คำร้องเอกสารอะไรก็ไม่ได้ได้เขียน เอกสารหลักฐานอะไรก็ไม่เก็บไป แล้วอย่างนี้เค้าจะไปยื่นเรื่องขอเงินคืนมายังไง
ตอนนั้นก็มึนๆค่ะ เลยขอกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน ขอกลับไปปรึกษาแม่ก่อน
เพราะตอนที่เราไปที่การไฟฟ้าเราไปคนเดียว เพราะคิดว่าเรื่องราวคงไม่ยุ่งยากอะไร
เค้าน่าจะมีให้เขียนใบคำร้องการตรวจสอบ เหมือนอย่างที่หน่วยงานอื่นๆ เค้าทำกัน
แล้วก็กลับได้เลย โดยไม่ต้องจ่ายอะไรแบบนั้นรึป่าว พอเจออย่างนี้เลยคิดว่าต้องปรึกษาคนอื่นแล้วล่ะ
เลยเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่า เอาอย่างนี้มั้ย
เราไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจไว้ก่อน เอาไว้เป็นหลักฐาน
ถ้าถึงเวลาตามที่เค้าบอก แล้วเค้าไม่คืน จะได้มีหลักฐานว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
เราเลยบอกแม่ว่า โทรแจ้งเจ้าหน้าที่คนนั้นไว้ก่อนมั้ย
ว่าเราขอไปลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนนะให้เค้าได้รับรู้นะ
ก็เลยโทรไปแจ้งเค้า เค้าก็ตอบว่าครับได้ครับไปลงบันทึกประจำวันไว้ได้เลย
แล้วก็ถามว่าไปแจ้งที่สถานีไหนครับ เราก็ตอบไปว่า สถานี xxx
ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้เอะใจว่าเค้าถามไปทำไม แล้วเราก็ไปสถานีตำรวจโดยมีแม่ไปเป็นเพื่อน
พอไปถึงโรงพัก เราก็ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงบันทึกประจำวัน
เล่าเรื่องราวคร่าวๆ และกำลังจะยื่นหลักฐานให้ดู เค้าไม่ทันดูด้วยซ้ำค่ะ
ตำรวจท่านนั้นก็บอกว่าเรื่องนี้ต้องแจ้งร้อยเวรครับ
แล้วก็หันไปบอก ตำรวจอีกท่านด้านหลัง แล้วทำมือขอเวลานอก แล้วบอกว่า "การไฟฟ้า"
ก็แปลกใจอยู่ว่าแค่ลงบันทึกประจำวันนี่ต้องมีไปสอบสวนอะไรด้วยเหรอ
เพราะเห็นมีอีกคนที่เค้ามาก่อนนิดนึง เค้าก็สามารถลงบันทึกประจำวันที่โต๊ะนั้นได้เลย
รอสักพักตำรวจโต๊ะด้านหลังก็เรียกเรากับแม่ไปคุยค่ะ เราก็เล่าคร่าวๆให้ฟัง ยังไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมาก
เราก็บอกตำรวจท่านนั้นไปว่า เราแค่อยากมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานค่ะ
เพราะตอนที่ไปที่ไฟฟ้าเค้าให้มาแต่เบอร์โทรศัพท์ ไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่า เรื่องที่เราร้องเรียนไปได้เข้าสู่ขั้นตอนแล้ว
และไม่มีอะไรให้เราแน่ใจได้เลยว่าเราจะได้เงินส่วนที่สำรองจ่ายคืน พอฟังเรื่องราวไม่ทันจบดี ตำรวจท่านนั้นกลับบอกว่า
"แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่ต้องแจ้งความหรอก ก็ตกลงกันได้แล้วไม่ใช่เหรอ "
"วันนี้ยุ่งทั้งวันเลย ดูคนที่ลงบันทึกประจำวันสิเขียนจนมือหงิกแล้ว"
เรากับแม่ถึงกลับชะงักไปเลย ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้
ถึงกลับพูดอะไรต่อไม่ออกเลยค่ะ นิ่งเงียบไปอยู่กันพักใหญ่เลย
จนตำรวจที่นั่งโต๊ะข้างๆ แนะนำมาว่า การไฟฟ้าจะมีบริษัทเอกชนที่รับหน้าที่จดมิเตอร์
ให้ติดต่อขอเบอร์โทร ของบริษัทนั้นไว้และร้องเรียนเรื่องที่เกิดขึ้นไป
และหากถึงเวลาที่เค้ารับปากว่าจะคืนเงินแล้วเค้าไม่ติดต่อมาค่อยมาแจ้งความอีกทีนะ
เรากับแม่ออกโรงพักด้วยความรู้สึกที่อึ้งมากๆ
เราก็ไม่ทราบว่าขั้นตอนเป็นยังไง เราอาจจะทำผิดขั้นตอนอะไรไปรึป่าว
แต่สิ่งที่ตำรวจท่านนั้นพูดกับเรา ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่า เราเรื่องมากกับเงินแค่สองร้อยกว่าบาทถึงกับต้องมาโรงพัก
แต่ความรู้สึกของเรามันไม่ใช่ค่ะ
เรามาโรงพัก เพราะเรามีทุกข์ร้อน ถึงต้องมาพึ่งตำรวจ เราไม่ได้จะแจ้งความเอาผิดค่ะ
แค่อยากลงบันทึกประจำไว้ให้อุ่นใจว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ให้มีหลักฐานเอาไว้ก่อน
ทุกข์ของคนๆหนึ่ง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่มันก็คือทุกข์เหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ
ความทุกข์ของคนๆหนึ่งควรได้สิทธิเท่ากันในการร้องทุกข์ไม่ใช่เหรอคะ
ไม่รู้เจตนาที่ตำรวจท่านั้นพูดคืออะไร แต่บอกตรงๆ รู้สึกผิดหวังค่ะ
กลับมาถึงบ้านก็โทรหาการไฟฟ้า ขอเบอร์บริษัทที่รับผิดชอบส่วนนั้นมาค่ะ
แล้วก็แจ้งเรื่องราว แจ้งว่ามีการจดเลขมิเตอร์ผิดค่ะ เจ้าหน้าที่รับสายก็แจ้งว่า วันนี้ยังไม่เจ้าหน้าที่ท่านไหนแจ้งเรื่องเข้ามาเลย
แล้วเราก็ให้ข้อมูลไปค่ะ ชื่อ นามสกุล เบอร์โทร เลขที่ผู้ใช้ไฟฟ้า เลขที่มิเตอร์ หน่วยไฟฟ้าที่จดครั้งหลัง วันที่ระบุในบิล
เลขมิเตอร์ที่แท้จริงที่เราไปจด วันที่ไปจดมา ฝากให้เรื่องเค้ารับทราบไว้
เรื่องที่เกิดขึ้น ประเด็นมันไม่ใช่เรื่องเงิน สองร้อยกว่าบาทค่ะ แต่ประเด็นคือ เจ้าหน้าที่ทำผิดพลาดค่ะ
เค้าควรที่จะแสดงความรับผิดชอบ จะหลักฐาน เอกสาร คำร้อง หรืออะไรก็ได้
ที่ทำให้เรารู้ว่าเรื่องที่เราร้องเรียนไป หน่วยงานของเค้ารับทราบแล้ว
เราเข้าใจดีค่ะ ว่าการทำงานมันอาจจะมีผิดพลาดได้บ้าง
แต่เมื่อผิดพลาดแล้ว อย่างแรกที่ควรจะมี คือคำขอโทษ
เรามั่นใจว่า เราไม่ได้ยินคำว่า ขอโทษ จากเจ้าหน้าที่คนไหนๆเลยค่ะ
แต่สิ่งที่เค้าทำ พูด ทั้งที่การไฟฟ้า สถานีตำรวจ เหมือนเราผิดเองเป็นคนเรื่องมาก เรื่องแค่นี้เองให้มันจบๆไปเหอะ
เราก็คิดนะ ว่าเราเรื่องมากไปรึป่าว แต่คิดอีกที มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ถ้าเราปล่อยให้เรื่องที่ไม่ถูกต้องผ่านไป จนเป็นความเคยชิน สังคมเรามันถึงได้เป็นอย่างทุกวันนี้สินะคะ
พอเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเองก็เข้าใจเลยค่ะ ว่าทำไม เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนเรามักจะเอามาโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์
ทำไมเค้าไม่ไปร้องเรียนหน่วยงานที่รับผิดชอบนั้นเลยล่ะ จริงๆแล้ว ส่วนใหญ่คงไปร้องเรียนที่หน่วยงานนั้นมาก่อนแล้วเหมือนเราเอง
แต่เจ้าหน้าที่ หน่วยงานเหล่านั้น กลับทำให้เรารู้สึกว่าเราตัวเล็กและเสียงเบาเหลือเกิน
จนต้องมาขอพื้นที่สังคมออนไลน์ เพื่อร้องเรียนสิ่งที่เกิดขึ้น
เรียกว่า ต้องร้องเรียนออกสื่อให้สังคมตัดสินเท่านั้นสินะ ยุคสมัยนี้
โดนจดเลขมิเตอร์ค่าไฟฟ้าเกิน มีใครเคยโดนบ้างคะ
ยืมล็อกอินเพื่อนมาค่ะ ขออนุญาติเล่าเรื่องที่เราได้พบเจอมาวันนี้นะคะ
ได้มีโอกาสปรึกษาผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ท่านบอกว่า
"เจอมาแบบนี้อยากทำบุญมั้ย ถ้าอยากให้เอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาลงเพื่อเตือนให้คนอื่นได้รับรู้และระวังไว้"
เราเลยตัดสินใจมาบอกเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังค่ะ
ขออนุญาติปิดบังข้อมูลบางส่วน ค่อนข้างยาวนิดนึงนะคะรบกวนอ่านด้วยค่ะ
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
หากท่านใดมีข้อชี้แนะก็ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเลยค่ะ
เรามีห้องชุดเอื้ออาทรอยู่ 1 ห้องค่ะ แต่เนื่องจากว่าห้องอยู่ชั้น 5 ซึ่งโครงการที่เราอยู่ไม่มีลิฟต์ค่ะ
ด้วยสุขภาพของแม่ เราจึงตัดสินใจไปหาเช่าบ้านที่อื่นอยู่แทนค่ะ โดยห้องชุดนี้ เราเอาไว้เก็บของไม่ค่อยได้ใช้
และจะกลับมาเช็คจดหมาย บิล ใบเสร็จต่างๆ เดือนละ 1-2 ครั้ง ในห้อง เราจะเสียบปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว คือ ตู้เย็น
ทุกเดือนค่าไฟ จะมีบิลมาว่า เราใช้ไฟไปแค่ 17-18 หน่วย ซึ่งถ้าไม่เกิน 50 หน่วยก็จะไม่ต้องจ่ายค่าไฟ ตามรูปค่ะ
แต่เมื่อวาน วันอาทิตย์ 9/11/57 แวะไปที่ห้อง เจอบิลค่าไฟฟ้ามาแบบนี้ค่ะ
เราตกใจมากค่ะ แวบแรกที่คิดคือ มีไฟรั่วในห้องเหรอ
มีใครแอบมาใช้ไฟรึป่าว ก็เดินสำรวจทั่วห้องก็ปกติค่ะ
เลยไปดูมิเตอร์ไฟฟ้า เจอแบบนี้ค่ะ
เลขตามบิลค่าไฟฟ้า จดครั้งหลัง 7371 จดวันที่ 27/10/57 หน่วยที่ใช้ 72 หน่วย
เลขตามมิเตอร์ไฟ 7325 รูปถ่ายวันที่ 9/11/57
เลยตัดสินใจว่าจะเอาบิลและรูปที่ถ่ายไปที่การไฟฟ้าคะ พอไปถึงเค้าก็บอกให้ไปฝ่ายตรวจสอบ
ก็ยื่นบิลและรูปถ่ายมิเตอร์ให้เค้าดู บอกว่าน่าจะมีการจดเลขมิเตอร์ผิดนะคะ
เจ้าหน้าที่ก็รับเรื่องแล้วใช้โทรศัพท์สำนักงานติดต่อเจ้าหน้าที่อีกคนค่ะ
คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จดมิเตอร์ค่ะ บทสนทาประมาณว่า
ได้ไปจดของเลขที่xx มั้ย ทำไมในบันทึกไม่มีล่ะ ทุกเดือนเค้าไม่ได้จ่ายนะ เดือนนี้มิเตอร์มาเท่านี้ สองร้อยกว่าบาท บลาๆๆ
แล้วก็ยื่นโทรศัพท์ให้เราคุยสาย เราก็เล่าว่า ที่ห้องเสียบไฟแค่ตู้เย็นอย่างเดียวค่ะ
ทุกเดือนมีบิล แค่ 17 หน่วย แต่เดือนนี้มา 72 หน่วย เช็คมิเตอร์แล้วเลขก็ไม่ตรงตามบิลด้วยค่ะ
เค้าก็ตอบกลับมาว่า ขอให้เราสำรองจ่ายค่าไฟไปก่อน
ตัวเค้าเองจะทำรายงานแจ้งหัวหน้าแล้วปลายเดือนประมาณอีก 2 อาทิตย์ จะเอาเงินไปคืนให้ที่ห้อง
เราก็แจ้งว่าไม่สะดวกค่ะ ขอมารับที่การไฟฟ้าแทนก็ได้ค่ะ แล้วถามข้อมูลจากเราเพียงแค่ เบอร์โทร ชื่อไปค่ะ แล้วก็วางสายไป
เจ้าหน้าที่ตรงเคาน์เตอร์ก็ถามเราว่า ตกลงกันได้แล้วใช่มั้ย เราก็เล่าไปว่ายังไงบ้าง
เราก็ถามเค้าไปว่า ไม่เก็บหลักฐานไว้เหรอคะ เค้าก็บอกว่าไม่ต้อง
แล้วก็บอกว่าเบอร์โทรของเจ้าหน้าที่คนนั้นตามที่จดให้ในกระดาษ (ที่เราปริ้นท์รูปมิเตอร์ไป)
เราเลยเดินไปจ่ายค่าไฟอีกทีหนึ่งค่ะ เพราะบิลให้จ่ายถึงวันที่ 6/11/57
หากเลยเวลาไปมากเราก็เกรงว่าเค้าจะมาตัดไฟ แล้วเราต้องมาจ่ายค่าต่อมิเตอร์อีกครั้ง
แล้วก็ออกมาอย่างงงๆ ในใจเราสงสัยว่า ปกติขั้นตอนมันเป็นแบบนี้เหรอไม่เคยเจอ
แต่พอจะเข้าใจตรงที่ให้สำรองจ่ายไปก่อนค่ะ เพราะเราเองเคยทำในหน่วยงานราชการมาก่อน
เข้าใจว่าการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานค่อนข้างล่าช้า
เท่าที่เราเคยเจอมา หากเกิดข้อผิดพลาดอะไรต้องทำตามขั้นตอนที่มีไปก่อน แล้วค่อยยื่นเรื่องแก้ไขตามไปทีหลัง
แล้วก็นึกได้ว่า เค้าไม่เห็นให้หลักฐาน เอกสารอะไรมาให้เราเลย นอกจากเบอร์โทรเจ้าหน้าที่คนนั้น
คำร้องเอกสารอะไรก็ไม่ได้ได้เขียน เอกสารหลักฐานอะไรก็ไม่เก็บไป แล้วอย่างนี้เค้าจะไปยื่นเรื่องขอเงินคืนมายังไง
ตอนนั้นก็มึนๆค่ะ เลยขอกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน ขอกลับไปปรึกษาแม่ก่อน
เพราะตอนที่เราไปที่การไฟฟ้าเราไปคนเดียว เพราะคิดว่าเรื่องราวคงไม่ยุ่งยากอะไร
เค้าน่าจะมีให้เขียนใบคำร้องการตรวจสอบ เหมือนอย่างที่หน่วยงานอื่นๆ เค้าทำกัน
แล้วก็กลับได้เลย โดยไม่ต้องจ่ายอะไรแบบนั้นรึป่าว พอเจออย่างนี้เลยคิดว่าต้องปรึกษาคนอื่นแล้วล่ะ
เลยเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่า เอาอย่างนี้มั้ย
เราไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจไว้ก่อน เอาไว้เป็นหลักฐาน
ถ้าถึงเวลาตามที่เค้าบอก แล้วเค้าไม่คืน จะได้มีหลักฐานว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
เราเลยบอกแม่ว่า โทรแจ้งเจ้าหน้าที่คนนั้นไว้ก่อนมั้ย
ว่าเราขอไปลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนนะให้เค้าได้รับรู้นะ
ก็เลยโทรไปแจ้งเค้า เค้าก็ตอบว่าครับได้ครับไปลงบันทึกประจำวันไว้ได้เลย
แล้วก็ถามว่าไปแจ้งที่สถานีไหนครับ เราก็ตอบไปว่า สถานี xxx
ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้เอะใจว่าเค้าถามไปทำไม แล้วเราก็ไปสถานีตำรวจโดยมีแม่ไปเป็นเพื่อน
พอไปถึงโรงพัก เราก็ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงบันทึกประจำวัน
เล่าเรื่องราวคร่าวๆ และกำลังจะยื่นหลักฐานให้ดู เค้าไม่ทันดูด้วยซ้ำค่ะ
ตำรวจท่านนั้นก็บอกว่าเรื่องนี้ต้องแจ้งร้อยเวรครับ
แล้วก็หันไปบอก ตำรวจอีกท่านด้านหลัง แล้วทำมือขอเวลานอก แล้วบอกว่า "การไฟฟ้า"
ก็แปลกใจอยู่ว่าแค่ลงบันทึกประจำวันนี่ต้องมีไปสอบสวนอะไรด้วยเหรอ
เพราะเห็นมีอีกคนที่เค้ามาก่อนนิดนึง เค้าก็สามารถลงบันทึกประจำวันที่โต๊ะนั้นได้เลย
รอสักพักตำรวจโต๊ะด้านหลังก็เรียกเรากับแม่ไปคุยค่ะ เราก็เล่าคร่าวๆให้ฟัง ยังไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมาก
เราก็บอกตำรวจท่านนั้นไปว่า เราแค่อยากมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานค่ะ
เพราะตอนที่ไปที่ไฟฟ้าเค้าให้มาแต่เบอร์โทรศัพท์ ไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่า เรื่องที่เราร้องเรียนไปได้เข้าสู่ขั้นตอนแล้ว
และไม่มีอะไรให้เราแน่ใจได้เลยว่าเราจะได้เงินส่วนที่สำรองจ่ายคืน พอฟังเรื่องราวไม่ทันจบดี ตำรวจท่านนั้นกลับบอกว่า
"แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่ต้องแจ้งความหรอก ก็ตกลงกันได้แล้วไม่ใช่เหรอ "
"วันนี้ยุ่งทั้งวันเลย ดูคนที่ลงบันทึกประจำวันสิเขียนจนมือหงิกแล้ว"
เรากับแม่ถึงกลับชะงักไปเลย ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้
ถึงกลับพูดอะไรต่อไม่ออกเลยค่ะ นิ่งเงียบไปอยู่กันพักใหญ่เลย
จนตำรวจที่นั่งโต๊ะข้างๆ แนะนำมาว่า การไฟฟ้าจะมีบริษัทเอกชนที่รับหน้าที่จดมิเตอร์
ให้ติดต่อขอเบอร์โทร ของบริษัทนั้นไว้และร้องเรียนเรื่องที่เกิดขึ้นไป
และหากถึงเวลาที่เค้ารับปากว่าจะคืนเงินแล้วเค้าไม่ติดต่อมาค่อยมาแจ้งความอีกทีนะ
เรากับแม่ออกโรงพักด้วยความรู้สึกที่อึ้งมากๆ
เราก็ไม่ทราบว่าขั้นตอนเป็นยังไง เราอาจจะทำผิดขั้นตอนอะไรไปรึป่าว
แต่สิ่งที่ตำรวจท่านนั้นพูดกับเรา ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่า เราเรื่องมากกับเงินแค่สองร้อยกว่าบาทถึงกับต้องมาโรงพัก
แต่ความรู้สึกของเรามันไม่ใช่ค่ะ
เรามาโรงพัก เพราะเรามีทุกข์ร้อน ถึงต้องมาพึ่งตำรวจ เราไม่ได้จะแจ้งความเอาผิดค่ะ
แค่อยากลงบันทึกประจำไว้ให้อุ่นใจว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ให้มีหลักฐานเอาไว้ก่อน
ทุกข์ของคนๆหนึ่ง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่มันก็คือทุกข์เหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ
ความทุกข์ของคนๆหนึ่งควรได้สิทธิเท่ากันในการร้องทุกข์ไม่ใช่เหรอคะ
ไม่รู้เจตนาที่ตำรวจท่านั้นพูดคืออะไร แต่บอกตรงๆ รู้สึกผิดหวังค่ะ
กลับมาถึงบ้านก็โทรหาการไฟฟ้า ขอเบอร์บริษัทที่รับผิดชอบส่วนนั้นมาค่ะ
แล้วก็แจ้งเรื่องราว แจ้งว่ามีการจดเลขมิเตอร์ผิดค่ะ เจ้าหน้าที่รับสายก็แจ้งว่า วันนี้ยังไม่เจ้าหน้าที่ท่านไหนแจ้งเรื่องเข้ามาเลย
แล้วเราก็ให้ข้อมูลไปค่ะ ชื่อ นามสกุล เบอร์โทร เลขที่ผู้ใช้ไฟฟ้า เลขที่มิเตอร์ หน่วยไฟฟ้าที่จดครั้งหลัง วันที่ระบุในบิล
เลขมิเตอร์ที่แท้จริงที่เราไปจด วันที่ไปจดมา ฝากให้เรื่องเค้ารับทราบไว้
เรื่องที่เกิดขึ้น ประเด็นมันไม่ใช่เรื่องเงิน สองร้อยกว่าบาทค่ะ แต่ประเด็นคือ เจ้าหน้าที่ทำผิดพลาดค่ะ
เค้าควรที่จะแสดงความรับผิดชอบ จะหลักฐาน เอกสาร คำร้อง หรืออะไรก็ได้
ที่ทำให้เรารู้ว่าเรื่องที่เราร้องเรียนไป หน่วยงานของเค้ารับทราบแล้ว
เราเข้าใจดีค่ะ ว่าการทำงานมันอาจจะมีผิดพลาดได้บ้าง
แต่เมื่อผิดพลาดแล้ว อย่างแรกที่ควรจะมี คือคำขอโทษ
เรามั่นใจว่า เราไม่ได้ยินคำว่า ขอโทษ จากเจ้าหน้าที่คนไหนๆเลยค่ะ
แต่สิ่งที่เค้าทำ พูด ทั้งที่การไฟฟ้า สถานีตำรวจ เหมือนเราผิดเองเป็นคนเรื่องมาก เรื่องแค่นี้เองให้มันจบๆไปเหอะ
เราก็คิดนะ ว่าเราเรื่องมากไปรึป่าว แต่คิดอีกที มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ถ้าเราปล่อยให้เรื่องที่ไม่ถูกต้องผ่านไป จนเป็นความเคยชิน สังคมเรามันถึงได้เป็นอย่างทุกวันนี้สินะคะ
พอเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเองก็เข้าใจเลยค่ะ ว่าทำไม เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนเรามักจะเอามาโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์
ทำไมเค้าไม่ไปร้องเรียนหน่วยงานที่รับผิดชอบนั้นเลยล่ะ จริงๆแล้ว ส่วนใหญ่คงไปร้องเรียนที่หน่วยงานนั้นมาก่อนแล้วเหมือนเราเอง
แต่เจ้าหน้าที่ หน่วยงานเหล่านั้น กลับทำให้เรารู้สึกว่าเราตัวเล็กและเสียงเบาเหลือเกิน
จนต้องมาขอพื้นที่สังคมออนไลน์ เพื่อร้องเรียนสิ่งที่เกิดขึ้น
เรียกว่า ต้องร้องเรียนออกสื่อให้สังคมตัดสินเท่านั้นสินะ ยุคสมัยนี้