ขอเล่าแบบไปเร็วๆเลยนะคะ เรื่องค่อนข้างยาว นึกถึงเเล้วขนหูยังลุกอยู่เลย เพราะเรื่องเพิ่งเกิดเมื่อวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์-จันทร์ที่เเล้ว
เกริ่นนิดนึง คือ ตัวเราทำงานอยู่โคราช บ้านพ่อเเม่อยู่กทม. บ้านยายอยู่จังหวัดอุดรฯ. ปกติถ้าเรากลับบ้าน ก็จะหมายถึงไปหาพ่อเเม่ เข้ากรุงเทพฯ. สมัยก่อนรอเทศกาลต่างๆถึงจะได้กลับบ้านยายที่อุดรฯ เป็นประจำทุกปี เเต่พอตั้งเเต่เรียนจบ ก็ไม่ค่อยได้ไปบ้านยายที่อุดรฯ ส่วนมาก แม่จะรับยายมาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯแบบชั่วคราว. ส่วนมากก็จะได้เจอยายที่บ้านของแม่ค่ะ เป็นเหตุให้เราไม่ได้ไปอุดรฯ หลายปี
จนเมื่ออาทิตย์ที่เเล้วยายบ่นหาเพราะปกติ จะมีน้าสาวกับน้าชายแล้วก็หลาน2คนอยู่ด้วย เเต่ช่วงนั้น น้าสาวพาน้าชายกับหลานๆไปเยี่ยมญาติอีกจังหวัดนึง ด้วยความที่เเม่เราเป็นห่วงเลยใช้ให้เราไปอยู่กับยาย เราก็เออออตกลงไป
บอกก่อนว่าตั้งเเต่ทำงานมีเงินออกรถยนต์ก็ไม่เคยขับรถไปอุดรฯเลย เเต่ก็ต้องไปเเละไปคนเดียว เเละไปตอนเย็นหลังเลิกงาน ส่วนตัวเราก็คิดว่าไม่น่ายาก ! เเต่ก็นั้นเเหล่ะตามแมปไป จนไปถึงตัวอำเภอที่ยายเราอยู่ ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ3ทุ่ม. เเต่ใจก็ลังเลว่าจะพักในตัวเมืองก่อนดีมั๊ยเพราะขนาดในตัวอำเภอบรรยายกาศมันก็เงียบสงัดเเล้วเพราะเป็นอำเภอเล็กๆ เเต่ยังไงไม่รู้เลยตัดสินใจไปให้ถึงบ้านยายเลยดีกว่า. บ้านยายเราต้องออกตัวอำเภอมาอีก ค่อนข้างเป็นทางขึ้นเขาคดเคี้ยว ระยะทาง15กิโลฯ เเต่ทางคดไปคดมาแบบนี้มันทำให้ค่อนข้างไกล เเต่เราก็ตัดสินใจที่จะไป
พอขับมาเเรกๆก็ยังพอมีบ้านคนมีเเสงไฟ มีรถสวน เเต่พอพ้น5กิโลแรกมันก็ยิ่งดึกยิ่งเปลี่ยวขึ้น 2ข้างทางมีเเต่ป่าค่ะ. เป็นป่าทึบๆ แล้วก็ป่ายูคาลิปตัสเต็มไปหมด. ไม่มีไฟข้างทาง ไม่มีรถสวน. ตอนนั้นเริ่มกลัวเเล้ว เพราะสมองมันเริ่มประมวลเรื่องเล่าต่างๆนาๆที่เคยได้สะดับรับฟังมา ก็พยายามข่มใจตัวเองว่าไม่ให้คิดอะไร อย่ามองข้างทางอย่ามองกระจกหลัง. ต้รงไหนมีศาล ตรงไหนเคยมีคนตายเรารู้หมด เเต่ก็เตือนสติตัวเองไว้ว่าอย่าคิดนะ อย่าคิดนะ ไปตลอดทาง
จนเกือบถึงม.บ้าน ก่อนถึงม.บ้านประมาณ500เมตรก็เริ่มมีป้ายชื่อม.บ้านป้ายนู่นนี่ ก็เริมใจชื้นว่าจะถึงแล้ว เเล้วก็เริ่มมีบ้านคน ที่อยู่ติดถนนเราจำได้หมดว่าบ้านใครเป็นบ้านใคร. เเต่ทุกๆหลังปิดไฟเงียบ หญ้าก็สูงเหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่เเล้วคล้ายๆบ้านร้าง ขับรถจนมาถึงซอยเข้าม.บ้าน (ซึ่งอยู่ฝั่งขวา) ตรงข้ามกับซอยเป็นโรงเรียนสภาพก็หญ้าขึ้นสูงถูกปล่อยร้างเหมือนกัน โชคดีหน่อยพอเลี้ยวเข้าซอย. ม.บ้าน บ้านยายเราอยู่หลังที่2 เราก็จอดรถที่รั้วหน้าบ้าน ออดไม่มี กริ่งไม่มีใช้วิธีตะโกนเรียกเอา บ้านยายเราปิดไฟเงียบเรียกได้สักพักก็ไม่ยอมออกมาเปิด ในขณะที่ยืนรอ สายตาเราก็มองไปรอบๆ เเล้วก็รู้สึกผิดปกตินิดหน่อยที่ม.บ้านเงียบมาก (อธิบายนิดนึงม.บ้านจะไปแถวตอนลึกตรงเข้าไป ไม่มีซอยเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาค่ะ). เรามองไปจนสุดสายตา เเทบจะไม่มีบ้านไหนเปิดไฟเลย เเต่พยายามไม่คิดมากคิดเเต่ว่าคงนอนกันหมดเเล้ว ที่เเปลกอีกอย่างนึงคือ ไม่มีน้องหมาสักตัวที่จะออกมาเห่าเลย ปกติถ้าเป็นม.บ้านอื่นคงพากันวิ่งกรูกันออกมาเห่าเเล้ว ตอนนั้นเราคิดว่าบรรยายกาศมันแปลกๆวังเวงยังไงพิลึก เเต่หูตอนนั้นมันเริ่มได้ยินเสียงทีวีลอยมาไกลๆ เราเลยเริ่มมองหาค่ะ เลยรู้ต้นตอของเสียงทีวีว่ามันมาจากบ้านหลังเเรกที่อยู่ติดบ้านยายของเรา เเล้วก็มีเหมือนคนในบ้านเปิดไฟ ตอนนั้นใจชื้นเลย อย่างน้อยก็มีเพื่อนเเล้ว บ้านหลังเเรกก็รู้จักกันค่ะ เเต่เราเองไม่ได้สนิทกับบ้านนี้เท่าไหร่ สรุปว่ารอยายอยู่นาน เกือบ10นาที พยายามโทรเข้าไปหา เเต่บริเวรหน้าบ้านยายไม่มีสัญญาณ เราเลยต้องเดินหา เราเดินออกมาเรื่อยๆจนถึงบริเวรที่เค้าทำเป็นที่รอรถ2แถว มือเรากดโทรศัพท์แต่สายตาเรามองบ้านหลังเเรกตลอดภาวนาว่าอย่าพึ่งปิดไฟนะอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน จนโทรหายายติด. สักพักยายเรารีบเปิดประตูรั้วให้ เรายังไม่ทันพูดอะไร ยายก็รีบบอกให้รีบเอารถเข้าบ้าน พอเข้าบ้านได้เราก็โวยวายไปตามสเต็ปที่เรียกตั้งนานไม่ได้ยิน
คืนเเรกคืนวันศุกร์ เรานอนกับยายซึ่งยายไม่ได้นอนในห้อง แกจะมีเตียงอยู่หน้าทีวี หัวเตียงหันไปทางบ้านหลังเเรก บริเวรหัวเตียงจะมีหน้าต่างอยู่ คืนนั้นเราเหนื่อยมากนะเเต่รู้สึกว่านอนยังไงก็ไม่หลับ ประมาณดึกมาก กี่โมงไม่รู่เพราะไม่ทันได้ดูนาฬิกา ก็เริ่มมีเสียงดังแก๊กๆๆ คล้ายเหมือนมีใครเขวี้ยงลูกหินเล็กๆมาใส่หลังคา เราฟังอยู่นานมากเลยตัดสินใจ เปิดม่านตรงหน้าต่างที่อยู่บนหัวเตียงออกดู ปรากฏว่าเราเห็นพี่โกมิน (ชื่อลูกของบ้านหลังเเรก) เเกยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงหน้าต่างบนบ้าน (บ้านหลังเเรกเป็นบ้านไม้2ชั้นหน้าต่างใหญ่ๆแบบสมัยก่อนเลยทำให้เราเลยเห็นเเกเกือบทั้งตัว). ในใจก็คิดนะคะว่าพี่เค้าจะมาโยนหินใส่หลังคาบ้านกันทำไม เเกล้งกันทำไม เเต่อีกใจก็คิดว่า แกคงไม่ได้ทำหรอก คงเป็นเสียงอย่างอื่นรึเปล่า? ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อจากนั้นก็ข่มตานอนไป
เช้าวันเสาร์ เราไปวัดกับยายเเต่เช้ากว่าจะกลับจากวัดก็เกือบ10โมงเช้า พอกลับมาบ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยตามยายไปในสวนหลังบ้าน
ยายเราชอบไปถางหญ้า รดน้ำผักอะไรพวกนี้ที่หลังบ้าน เรากะจะไปช่วยเเต่ยายไล่หนีกลัวยุงกัด เเต่สุดท้ายยายเลยให้เรากวาดพวกเศษใบไม้แห้งสุมกันไว้เเล้วให้จุดไฟเผา พอจุดไฟก็ต้องนั่งเฝ้ากันไม่ให้ไฟมันลาม พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีเปลอยู่เลยไปเอาเปลมาผูกนอนเล่นโทรศัพท์รอ. เเต่ทีนี้นั่งไปได้สักพักรู้สึกวังเวงเพราะตรงที่เรานั่งเปลอยู่ห่างจากยายประมาณ100เมตร เเล้วถัดไปหน่อยก็จะเป็นบ้าน2-3หลังที่เราบอกไปตอนต้นว่าคงจะร้าง เรามองไปจะเห็นหลังบ้านเห็นครัวบ้านหลังนั้นพอดีก็เลยรู้สึกกลัวๆขึ้นมา. เเต่พอมองไปบ้านพี่โกมิน(บ้านหลังเเรก) เราเห็นพี่เเกนอนเล่นอยู่เปลใต้ถุนบ้าน เอาเท้าถีบเสาบ้านเเกว่งเปลอยู่ก็เลย เอาว่ะอย่างนอนก็มีคนอยู่ใกล้ๆ.
จนเราเผลอหลับไปยายสาปลุกตอนเกือบๆเที่ยงยายก็ทำเสียงตกใจว่ามานอนอะไรตรงนี้รีบไล่ให้เข้าบ้านไป. วันเสาร์จบไป ไม่มีอะไรมาก เเต่ที่เเปลกคือ ตอน5โมงเย็นเราไปหาเพื่อนสมัยเด็กๆบ้านมันอยู่ท้ายซอย นั่งได้ไม่ถึง10นาที ยายเราถึงขนาดถือไม้เรียวลากมาตามทางเพื่อมาตามเราให้รีบกลับบ้าน เเต่ตอนนั้นเราไม่ได้เอะใจอะไร นึกว่ามาตามให้ไปกินข้าว
คืนวันเสาร์ เราก็ได้ยินเสียงลูกหิน ตกใส่หลังคาบ้านดังแก๊กๆเหมือนเดิม กับคืนเเรก เเต่เริ่มชินเลยไม่คิดอะไร
วันอาทิตย์ เราก็ไปวัดกับยายเหมือนเดิม กลับถึงบ้าน10โมง วันนี้ม.บ้านข้างๆคนรู้จักกันเค้าขึ้นบ้านใหม่ ยายเราเลยไปช่วยงาน เเต่เราไม่ได้ไปด้วยก่อนไป ยายก็สั่งให้เราปลอกมะพร้าวไว้ กลับมาจะทำข้าวต้มผัดให้กิน. พอยายไปเราก็ไปซักผ้าตากทำนู่นทำนี่ จนเกือบเที่ยง เลยนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบปลอกมะพร้าวไว้ให้ยาย เลยลากกองมะพร้าวมานั่งปลอกหน้าบ้าน. ปลอกไปได้สักพัก เราเริ่มได้กลิ่นเหมือนหนูตายลอยมาอ่อนๆ เเล้วก็จางหายไป สักแปปนึงก็ได้กลิ่นลอยมาอีกกลิ่นก็เเรงขึ้น เราก็เริ่มมองหา เเต่ก็ไม่เห็นมีอะไร. เราเลยเลิกสนใจหันกลับมาปลอกมะพร้าวต่อ คราวนี้ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อ
เพ้ยๆๆ(ชื่อจขกท.) เราเลยหันไปมองตามเสียงเรียกปรากฏว่าเป็นพี่โกมินมายืนอยู่ข้างรั้ว เราเลยข้านรับไป พี่โกมินเเกบอกว่าเสื้อเพ้ยตกมาฝั่งบ้านพี่ พร้อมกับเอาเสื้อจับใส่ไม้เเขวนแล้วเเขวนไว้ที่ราวเหมือนเดิมเราก็ขอบคุณแกไป. แล้วหันมาฟันมะพร้าวต่อ. เเต่พี่โกมินแกยังถามต่อว่ามาได้กี่วันเเล้ว เราก็ตามส่งๆไปตามประสาคนไม่สนิท
แกก็ยังถามอีกว่าฟันมะพร้าวทำไร เราเลยว่ายายจะทำข้าวต้ม แกยังขอชิมด้วยนะว่าให้พี่ชิมสักอันเด้อ (เป็นภาษาอิสาน)
พอดีกับยายเรากลับมา. เราเลยไม่ได้สนใจคุยกับแกอีก วันอาทิตย์ก็จบไปด้วยการที่ยายกับหลาน นั่งห่อใบตองไปถึงเย็น ครึ่งนึงแบ่งไว้ใส่บาตร อีกครึ่งยายก็จัดการเเพคใส่ถุงไว้ให้เรา
เช้าวันจันทร์วันนี้เราจะกลับเเล้ว ทุกๆวันเวลาไปวัดจะเดินไป เเต่วันนี้เราเอารถไปเพราะคิดว่าจะเลยกลับเลย เลยต้องไปอีกทาง (ถ้าเดินจะเดินไปอีกทาง). ขาไปพอไปถึงวัดก็ต้องจอดรถ เดินตัดผ่านป่าช้าเก่าซึ่งตอนนี้ ก็จะมีกุฏิพระ มีทางเดินเล็กๆเข้า ผ่านเจดีย์น้อยๆที่เอาไว้เก็บกระดูก(เรียกไม่ถูก). ขาไปไม่ทันได้มองอะไร เเต่พอขากลับก็ต้องเดินออกมาทางนี้ สายตาเราก็เหลือบไปเห็นเจดีย์นึง เขียนชื่อไว้ว่า โกมินทร์ ศรีxxxx เเล้วก็มีรูป ตอนนั้นเเหล่ะ ขนลุกไปยันหัว แต่ไม่ทันพูดอะไรเพราะยังไม่ค่อยเเน่ใจ พอขึ้นรถเท่านั้นเเหล่ะ เราถามยายทันที ว่าคนที่ชื่อโกมินทร์ นามสกุลนี้ อยู่ม.บ้านไหน ยายก็ตอบกลีบทันทีว่า ก็บักโกมินที่อยู่ข้างๆบ้านเรา เราก็กึ่งๆกลัวกึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งยังบอกยายไปว่า ตายได้ไงหนูยังเห็นเค้าอยู่เลย. เท่านั้นแหล่ะ ทั้งยายเรา ทั้งยายที่ขึ้นรถมาด้วยอีก2แตกฮือเลย เเย่งกันพูดว่าเค้าตายไปได้2ปีเเล้ว มีคนเห็นโดนหลอกเพียบ. โดยเฉพาะตาเเววที่แกขายก๋วยเตี๋ยวเอาสามล้อออกตอนตี4ไปซื้อของเห็นขึ้นมานั่งบนรถขอไปตลาดด้วย. ตอนนี้ตาเเววเป็นประสาทเลิกขายก๋วยเตี๋ยวไปเลย. เราก็ถามย้ำๆนะว่าจริงหรอ!? เพราะเเทบไม่อยากเชื่อ ยายเลยเล่าให้ฟังว่า เเต่ก่อนบ้านนี้มีป้าบน อยู่ด้วย เเต่พอสร้างบ้านใหม่เสร็จ บ้านหลังนี้เลยยกให้พี่โกมินทร์กับเมียให้อยู่ด้วยกัน. เเต่พอหลังๆเมียพี่โกมินทร์หนีไปกับคนใหม่ พี่เค้าเลยผูกคอตายใต้ถุนบ้าน
ตอนเเรกเราว่าจะกลับเลยเเต่มันคาใจมากเลยย้อนกลับมาบ้านยายก่อน ภาพที่เราเห็นคือบ้านพี่โกมินทร์สภาพมันรกเละเทะไปหมด ตอนเเรกที่เราเห็นคือสภาพบ้านดูสะอาดมาก ไม่เหมือนตอนที่กลับไปดูสักนืดเลย เเค่นั้นแหล่ะ เราเลยนึกขึ้นได้ว่าแกอยากกินข้าวต้มผัดเราไม่เอาเลย รีบกรวดน้ำให้แกที่หน้าบ้านเลย. พิมพ์ไปก็ขนลุกไป. ไม่รู้จะหาอะไรมายืนยันว่าเราได้คุยกับเห็นพี่โกมินทร์จริงๆ. คือเราจำได้ทุกรายละเอียด
ปล.เห็นยายบอกว่าที่เห็นบ้านร้างๆเพราะคนย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นกันหมด
ปล.2. เพราะเรากลับมาถึงโคราช ปรากฏว่า เสื้อตัวที่พีโกมินทร์เก็บให้หาไม่เจอ เราจำได้เเม่นเลยว่าเป็นเสื้อยืดใส่นอนสีชมพู
เหตุการณ์ทั้งหมดคือเรื่องที่เราอยากจะลืมมากๆในตอนนี้เพราะนึกถึงที่ไรเราจะรู้สึกหนาวๆร้อนๆเหมือนจะเป็นไข้อยู่ตลอดเวลา
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
ปล.เรามีเจตนเเค่อยากเเชร์ประสบการณ์ที่มันค่อนข้างเหลือเชื่อ. อ่านจะยาวไปซักหน่อย น้ำค่อนข้างเยอะ เเต่อยากเล่าให้ครบทุกรายละเอียดค่ะขอบคุณค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ 08 พฤศจิกายน 2557 เวลา 18:31:28 น.
http://ppantip.com/topic/32827345/comment7
+-+-+-เชื่อเรื่องผีกันไม๊-+-+-+....ขอแชร์ลิงค์จากห้องสยองขวัญ !!!
เกริ่นนิดนึง คือ ตัวเราทำงานอยู่โคราช บ้านพ่อเเม่อยู่กทม. บ้านยายอยู่จังหวัดอุดรฯ. ปกติถ้าเรากลับบ้าน ก็จะหมายถึงไปหาพ่อเเม่ เข้ากรุงเทพฯ. สมัยก่อนรอเทศกาลต่างๆถึงจะได้กลับบ้านยายที่อุดรฯ เป็นประจำทุกปี เเต่พอตั้งเเต่เรียนจบ ก็ไม่ค่อยได้ไปบ้านยายที่อุดรฯ ส่วนมาก แม่จะรับยายมาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯแบบชั่วคราว. ส่วนมากก็จะได้เจอยายที่บ้านของแม่ค่ะ เป็นเหตุให้เราไม่ได้ไปอุดรฯ หลายปี
จนเมื่ออาทิตย์ที่เเล้วยายบ่นหาเพราะปกติ จะมีน้าสาวกับน้าชายแล้วก็หลาน2คนอยู่ด้วย เเต่ช่วงนั้น น้าสาวพาน้าชายกับหลานๆไปเยี่ยมญาติอีกจังหวัดนึง ด้วยความที่เเม่เราเป็นห่วงเลยใช้ให้เราไปอยู่กับยาย เราก็เออออตกลงไป
บอกก่อนว่าตั้งเเต่ทำงานมีเงินออกรถยนต์ก็ไม่เคยขับรถไปอุดรฯเลย เเต่ก็ต้องไปเเละไปคนเดียว เเละไปตอนเย็นหลังเลิกงาน ส่วนตัวเราก็คิดว่าไม่น่ายาก ! เเต่ก็นั้นเเหล่ะตามแมปไป จนไปถึงตัวอำเภอที่ยายเราอยู่ ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ3ทุ่ม. เเต่ใจก็ลังเลว่าจะพักในตัวเมืองก่อนดีมั๊ยเพราะขนาดในตัวอำเภอบรรยายกาศมันก็เงียบสงัดเเล้วเพราะเป็นอำเภอเล็กๆ เเต่ยังไงไม่รู้เลยตัดสินใจไปให้ถึงบ้านยายเลยดีกว่า. บ้านยายเราต้องออกตัวอำเภอมาอีก ค่อนข้างเป็นทางขึ้นเขาคดเคี้ยว ระยะทาง15กิโลฯ เเต่ทางคดไปคดมาแบบนี้มันทำให้ค่อนข้างไกล เเต่เราก็ตัดสินใจที่จะไป
พอขับมาเเรกๆก็ยังพอมีบ้านคนมีเเสงไฟ มีรถสวน เเต่พอพ้น5กิโลแรกมันก็ยิ่งดึกยิ่งเปลี่ยวขึ้น 2ข้างทางมีเเต่ป่าค่ะ. เป็นป่าทึบๆ แล้วก็ป่ายูคาลิปตัสเต็มไปหมด. ไม่มีไฟข้างทาง ไม่มีรถสวน. ตอนนั้นเริ่มกลัวเเล้ว เพราะสมองมันเริ่มประมวลเรื่องเล่าต่างๆนาๆที่เคยได้สะดับรับฟังมา ก็พยายามข่มใจตัวเองว่าไม่ให้คิดอะไร อย่ามองข้างทางอย่ามองกระจกหลัง. ต้รงไหนมีศาล ตรงไหนเคยมีคนตายเรารู้หมด เเต่ก็เตือนสติตัวเองไว้ว่าอย่าคิดนะ อย่าคิดนะ ไปตลอดทาง
จนเกือบถึงม.บ้าน ก่อนถึงม.บ้านประมาณ500เมตรก็เริ่มมีป้ายชื่อม.บ้านป้ายนู่นนี่ ก็เริมใจชื้นว่าจะถึงแล้ว เเล้วก็เริ่มมีบ้านคน ที่อยู่ติดถนนเราจำได้หมดว่าบ้านใครเป็นบ้านใคร. เเต่ทุกๆหลังปิดไฟเงียบ หญ้าก็สูงเหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่เเล้วคล้ายๆบ้านร้าง ขับรถจนมาถึงซอยเข้าม.บ้าน (ซึ่งอยู่ฝั่งขวา) ตรงข้ามกับซอยเป็นโรงเรียนสภาพก็หญ้าขึ้นสูงถูกปล่อยร้างเหมือนกัน โชคดีหน่อยพอเลี้ยวเข้าซอย. ม.บ้าน บ้านยายเราอยู่หลังที่2 เราก็จอดรถที่รั้วหน้าบ้าน ออดไม่มี กริ่งไม่มีใช้วิธีตะโกนเรียกเอา บ้านยายเราปิดไฟเงียบเรียกได้สักพักก็ไม่ยอมออกมาเปิด ในขณะที่ยืนรอ สายตาเราก็มองไปรอบๆ เเล้วก็รู้สึกผิดปกตินิดหน่อยที่ม.บ้านเงียบมาก (อธิบายนิดนึงม.บ้านจะไปแถวตอนลึกตรงเข้าไป ไม่มีซอยเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาค่ะ). เรามองไปจนสุดสายตา เเทบจะไม่มีบ้านไหนเปิดไฟเลย เเต่พยายามไม่คิดมากคิดเเต่ว่าคงนอนกันหมดเเล้ว ที่เเปลกอีกอย่างนึงคือ ไม่มีน้องหมาสักตัวที่จะออกมาเห่าเลย ปกติถ้าเป็นม.บ้านอื่นคงพากันวิ่งกรูกันออกมาเห่าเเล้ว ตอนนั้นเราคิดว่าบรรยายกาศมันแปลกๆวังเวงยังไงพิลึก เเต่หูตอนนั้นมันเริ่มได้ยินเสียงทีวีลอยมาไกลๆ เราเลยเริ่มมองหาค่ะ เลยรู้ต้นตอของเสียงทีวีว่ามันมาจากบ้านหลังเเรกที่อยู่ติดบ้านยายของเรา เเล้วก็มีเหมือนคนในบ้านเปิดไฟ ตอนนั้นใจชื้นเลย อย่างน้อยก็มีเพื่อนเเล้ว บ้านหลังเเรกก็รู้จักกันค่ะ เเต่เราเองไม่ได้สนิทกับบ้านนี้เท่าไหร่ สรุปว่ารอยายอยู่นาน เกือบ10นาที พยายามโทรเข้าไปหา เเต่บริเวรหน้าบ้านยายไม่มีสัญญาณ เราเลยต้องเดินหา เราเดินออกมาเรื่อยๆจนถึงบริเวรที่เค้าทำเป็นที่รอรถ2แถว มือเรากดโทรศัพท์แต่สายตาเรามองบ้านหลังเเรกตลอดภาวนาว่าอย่าพึ่งปิดไฟนะอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน จนโทรหายายติด. สักพักยายเรารีบเปิดประตูรั้วให้ เรายังไม่ทันพูดอะไร ยายก็รีบบอกให้รีบเอารถเข้าบ้าน พอเข้าบ้านได้เราก็โวยวายไปตามสเต็ปที่เรียกตั้งนานไม่ได้ยิน
คืนเเรกคืนวันศุกร์ เรานอนกับยายซึ่งยายไม่ได้นอนในห้อง แกจะมีเตียงอยู่หน้าทีวี หัวเตียงหันไปทางบ้านหลังเเรก บริเวรหัวเตียงจะมีหน้าต่างอยู่ คืนนั้นเราเหนื่อยมากนะเเต่รู้สึกว่านอนยังไงก็ไม่หลับ ประมาณดึกมาก กี่โมงไม่รู่เพราะไม่ทันได้ดูนาฬิกา ก็เริ่มมีเสียงดังแก๊กๆๆ คล้ายเหมือนมีใครเขวี้ยงลูกหินเล็กๆมาใส่หลังคา เราฟังอยู่นานมากเลยตัดสินใจ เปิดม่านตรงหน้าต่างที่อยู่บนหัวเตียงออกดู ปรากฏว่าเราเห็นพี่โกมิน (ชื่อลูกของบ้านหลังเเรก) เเกยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงหน้าต่างบนบ้าน (บ้านหลังเเรกเป็นบ้านไม้2ชั้นหน้าต่างใหญ่ๆแบบสมัยก่อนเลยทำให้เราเลยเห็นเเกเกือบทั้งตัว). ในใจก็คิดนะคะว่าพี่เค้าจะมาโยนหินใส่หลังคาบ้านกันทำไม เเกล้งกันทำไม เเต่อีกใจก็คิดว่า แกคงไม่ได้ทำหรอก คงเป็นเสียงอย่างอื่นรึเปล่า? ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อจากนั้นก็ข่มตานอนไป
เช้าวันเสาร์ เราไปวัดกับยายเเต่เช้ากว่าจะกลับจากวัดก็เกือบ10โมงเช้า พอกลับมาบ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยตามยายไปในสวนหลังบ้าน
ยายเราชอบไปถางหญ้า รดน้ำผักอะไรพวกนี้ที่หลังบ้าน เรากะจะไปช่วยเเต่ยายไล่หนีกลัวยุงกัด เเต่สุดท้ายยายเลยให้เรากวาดพวกเศษใบไม้แห้งสุมกันไว้เเล้วให้จุดไฟเผา พอจุดไฟก็ต้องนั่งเฝ้ากันไม่ให้ไฟมันลาม พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีเปลอยู่เลยไปเอาเปลมาผูกนอนเล่นโทรศัพท์รอ. เเต่ทีนี้นั่งไปได้สักพักรู้สึกวังเวงเพราะตรงที่เรานั่งเปลอยู่ห่างจากยายประมาณ100เมตร เเล้วถัดไปหน่อยก็จะเป็นบ้าน2-3หลังที่เราบอกไปตอนต้นว่าคงจะร้าง เรามองไปจะเห็นหลังบ้านเห็นครัวบ้านหลังนั้นพอดีก็เลยรู้สึกกลัวๆขึ้นมา. เเต่พอมองไปบ้านพี่โกมิน(บ้านหลังเเรก) เราเห็นพี่เเกนอนเล่นอยู่เปลใต้ถุนบ้าน เอาเท้าถีบเสาบ้านเเกว่งเปลอยู่ก็เลย เอาว่ะอย่างนอนก็มีคนอยู่ใกล้ๆ.
จนเราเผลอหลับไปยายสาปลุกตอนเกือบๆเที่ยงยายก็ทำเสียงตกใจว่ามานอนอะไรตรงนี้รีบไล่ให้เข้าบ้านไป. วันเสาร์จบไป ไม่มีอะไรมาก เเต่ที่เเปลกคือ ตอน5โมงเย็นเราไปหาเพื่อนสมัยเด็กๆบ้านมันอยู่ท้ายซอย นั่งได้ไม่ถึง10นาที ยายเราถึงขนาดถือไม้เรียวลากมาตามทางเพื่อมาตามเราให้รีบกลับบ้าน เเต่ตอนนั้นเราไม่ได้เอะใจอะไร นึกว่ามาตามให้ไปกินข้าว
คืนวันเสาร์ เราก็ได้ยินเสียงลูกหิน ตกใส่หลังคาบ้านดังแก๊กๆเหมือนเดิม กับคืนเเรก เเต่เริ่มชินเลยไม่คิดอะไร
วันอาทิตย์ เราก็ไปวัดกับยายเหมือนเดิม กลับถึงบ้าน10โมง วันนี้ม.บ้านข้างๆคนรู้จักกันเค้าขึ้นบ้านใหม่ ยายเราเลยไปช่วยงาน เเต่เราไม่ได้ไปด้วยก่อนไป ยายก็สั่งให้เราปลอกมะพร้าวไว้ กลับมาจะทำข้าวต้มผัดให้กิน. พอยายไปเราก็ไปซักผ้าตากทำนู่นทำนี่ จนเกือบเที่ยง เลยนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบปลอกมะพร้าวไว้ให้ยาย เลยลากกองมะพร้าวมานั่งปลอกหน้าบ้าน. ปลอกไปได้สักพัก เราเริ่มได้กลิ่นเหมือนหนูตายลอยมาอ่อนๆ เเล้วก็จางหายไป สักแปปนึงก็ได้กลิ่นลอยมาอีกกลิ่นก็เเรงขึ้น เราก็เริ่มมองหา เเต่ก็ไม่เห็นมีอะไร. เราเลยเลิกสนใจหันกลับมาปลอกมะพร้าวต่อ คราวนี้ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อ
เพ้ยๆๆ(ชื่อจขกท.) เราเลยหันไปมองตามเสียงเรียกปรากฏว่าเป็นพี่โกมินมายืนอยู่ข้างรั้ว เราเลยข้านรับไป พี่โกมินเเกบอกว่าเสื้อเพ้ยตกมาฝั่งบ้านพี่ พร้อมกับเอาเสื้อจับใส่ไม้เเขวนแล้วเเขวนไว้ที่ราวเหมือนเดิมเราก็ขอบคุณแกไป. แล้วหันมาฟันมะพร้าวต่อ. เเต่พี่โกมินแกยังถามต่อว่ามาได้กี่วันเเล้ว เราก็ตามส่งๆไปตามประสาคนไม่สนิท
แกก็ยังถามอีกว่าฟันมะพร้าวทำไร เราเลยว่ายายจะทำข้าวต้ม แกยังขอชิมด้วยนะว่าให้พี่ชิมสักอันเด้อ (เป็นภาษาอิสาน)
พอดีกับยายเรากลับมา. เราเลยไม่ได้สนใจคุยกับแกอีก วันอาทิตย์ก็จบไปด้วยการที่ยายกับหลาน นั่งห่อใบตองไปถึงเย็น ครึ่งนึงแบ่งไว้ใส่บาตร อีกครึ่งยายก็จัดการเเพคใส่ถุงไว้ให้เรา
เช้าวันจันทร์วันนี้เราจะกลับเเล้ว ทุกๆวันเวลาไปวัดจะเดินไป เเต่วันนี้เราเอารถไปเพราะคิดว่าจะเลยกลับเลย เลยต้องไปอีกทาง (ถ้าเดินจะเดินไปอีกทาง). ขาไปพอไปถึงวัดก็ต้องจอดรถ เดินตัดผ่านป่าช้าเก่าซึ่งตอนนี้ ก็จะมีกุฏิพระ มีทางเดินเล็กๆเข้า ผ่านเจดีย์น้อยๆที่เอาไว้เก็บกระดูก(เรียกไม่ถูก). ขาไปไม่ทันได้มองอะไร เเต่พอขากลับก็ต้องเดินออกมาทางนี้ สายตาเราก็เหลือบไปเห็นเจดีย์นึง เขียนชื่อไว้ว่า โกมินทร์ ศรีxxxx เเล้วก็มีรูป ตอนนั้นเเหล่ะ ขนลุกไปยันหัว แต่ไม่ทันพูดอะไรเพราะยังไม่ค่อยเเน่ใจ พอขึ้นรถเท่านั้นเเหล่ะ เราถามยายทันที ว่าคนที่ชื่อโกมินทร์ นามสกุลนี้ อยู่ม.บ้านไหน ยายก็ตอบกลีบทันทีว่า ก็บักโกมินที่อยู่ข้างๆบ้านเรา เราก็กึ่งๆกลัวกึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งยังบอกยายไปว่า ตายได้ไงหนูยังเห็นเค้าอยู่เลย. เท่านั้นแหล่ะ ทั้งยายเรา ทั้งยายที่ขึ้นรถมาด้วยอีก2แตกฮือเลย เเย่งกันพูดว่าเค้าตายไปได้2ปีเเล้ว มีคนเห็นโดนหลอกเพียบ. โดยเฉพาะตาเเววที่แกขายก๋วยเตี๋ยวเอาสามล้อออกตอนตี4ไปซื้อของเห็นขึ้นมานั่งบนรถขอไปตลาดด้วย. ตอนนี้ตาเเววเป็นประสาทเลิกขายก๋วยเตี๋ยวไปเลย. เราก็ถามย้ำๆนะว่าจริงหรอ!? เพราะเเทบไม่อยากเชื่อ ยายเลยเล่าให้ฟังว่า เเต่ก่อนบ้านนี้มีป้าบน อยู่ด้วย เเต่พอสร้างบ้านใหม่เสร็จ บ้านหลังนี้เลยยกให้พี่โกมินทร์กับเมียให้อยู่ด้วยกัน. เเต่พอหลังๆเมียพี่โกมินทร์หนีไปกับคนใหม่ พี่เค้าเลยผูกคอตายใต้ถุนบ้าน
ตอนเเรกเราว่าจะกลับเลยเเต่มันคาใจมากเลยย้อนกลับมาบ้านยายก่อน ภาพที่เราเห็นคือบ้านพี่โกมินทร์สภาพมันรกเละเทะไปหมด ตอนเเรกที่เราเห็นคือสภาพบ้านดูสะอาดมาก ไม่เหมือนตอนที่กลับไปดูสักนืดเลย เเค่นั้นแหล่ะ เราเลยนึกขึ้นได้ว่าแกอยากกินข้าวต้มผัดเราไม่เอาเลย รีบกรวดน้ำให้แกที่หน้าบ้านเลย. พิมพ์ไปก็ขนลุกไป. ไม่รู้จะหาอะไรมายืนยันว่าเราได้คุยกับเห็นพี่โกมินทร์จริงๆ. คือเราจำได้ทุกรายละเอียด
ปล.เห็นยายบอกว่าที่เห็นบ้านร้างๆเพราะคนย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นกันหมด
ปล.2. เพราะเรากลับมาถึงโคราช ปรากฏว่า เสื้อตัวที่พีโกมินทร์เก็บให้หาไม่เจอ เราจำได้เเม่นเลยว่าเป็นเสื้อยืดใส่นอนสีชมพู
เหตุการณ์ทั้งหมดคือเรื่องที่เราอยากจะลืมมากๆในตอนนี้เพราะนึกถึงที่ไรเราจะรู้สึกหนาวๆร้อนๆเหมือนจะเป็นไข้อยู่ตลอดเวลา
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
ปล.เรามีเจตนเเค่อยากเเชร์ประสบการณ์ที่มันค่อนข้างเหลือเชื่อ. อ่านจะยาวไปซักหน่อย น้ำค่อนข้างเยอะ เเต่อยากเล่าให้ครบทุกรายละเอียดค่ะขอบคุณค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ 08 พฤศจิกายน 2557 เวลา 18:31:28 น.
http://ppantip.com/topic/32827345/comment7