เรื่องนี้จะยกตัวอย่าง ของบุคคลอื่นก็ลำบากอาจคลาดเคลื่อนได้ ยกตัวอย่างประสบการณ์ตนเองนี้แหละปัญหานั้นก็จะหมดไป.
เมื่อผมอายุประมาณ 43-44 ปี ฐานะการงานการเงินก็ถือว่าดีพอสมควร มีบ้านมีรถพร้อม อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ หน้าตาดีพอประมาณ แต่แล้วภรรยาเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูก ต้องตัดมดลูกและรังไข่ทิ้ง แต่ก็ดันเกิดผิดพลาดหมอตัดไปโดนท่อไต ภรรยาแทบเอาชีวิตไม่รอด ต้องผ่าตัดซ้ำในเวลาเพียงไม่กี่วัน ปัญหาใหญ่จริงๆ จึงเกิดขึ้นกับผม คือแทบจะหลับนอนกับภรรยาไม่ได้เลย เพราะเกิดผลข้างเคียงมากมาย ไม่ใช่เป็นเวลาแค่ เดือน แต่เป็นปี และไม่ใช่เวลาแค่ปีเดียวเท่านั้นแต่เป็นเวลาหลายปี จนล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน
หมายเหตุ การกำหนดภาวนากรรมฐานนั้น ผมก็ปฏิบัติอยู่เนืองๆ นะครับ ไม่ได้ทอดทิ้งนะครับ
เมื่อสิ่งที่เคยเสพได้ตามปกติ ก็ทำแทบไม่ได้ตามความเคยชิน ตัณหาจึงกระตุ้นให้เป็นทุกข์อย่างรุนแรง ปรุงแต่งฟุ้งซ้าน อยากจะหาที่ระบายที่สมบูรณ์ ตั้งแต่ในช่วงปีแรกๆ แล้ว แต่ระงับอยู่ได้ก็ด้วยศีลเท่านั้น ทั้งที่มีทรัพย์หาที่ระบายได้ง่ายๆ ดังพลิกฝ่ามือเท่านั้น ติดอยู่แค่เรื่องศีลเท่านั้น จึงคิดปรุงแต่งไปว่า ต้องขออนุญาตจากภรรยาก่อน ถ้าภรรยายินยอมเราก็ย่อมหาที่ระบายได้.
แต่ภรรยาไม่ยอม หัวเด็ดตีนขาด ภรรยาก็ไม่ยอม ทั้งขอร้องให้เหตุผลแล้วติดต่อกันเป็นเวลาเป็นเดือนเป็นปีก็ไม่ยอม เมื่อเป็นอย่างนี้ผมจะทำอย่างไร จึงจะยับยั่งผ่อนคลาย ตัณหาที่ปรากฏรุนแรงที่จะแสวงหาที่ระบายอย่างสมบูรณ์ให้ได้นี้.
สิ่งแรกที่ผมกระทำคือ สื่อลามกที่มีไม่มากนั้นไม่ว่าหนังสือหรือชีดี ที่เคยมีอยู่ผมต้องเก็บทิ้งให้หมด ก็เพียงแค่บรรเทาได้เพียงนิดเดียวเอง คือสิ่งกระตุ้นจากภายนอกไม่มีหรือน้อยลง แต่สิ่งที่กระตุ้นจากภายในร่างกายเช่นออร์โมนไม่ได้ลดลงเลย กระตุ้นมาเป็นคาบเวลาสม่ำเสมอ ประมาณ 3-4 วันก็มาอีกแล้ว บางครั้งก็เผลอคลิกไปดูในแว็ปโป๊ะ แต่ไม่สมารถระบายกับภรรยา ตามคาบได้เลย ด้วยผลข้างเคียงจากการฝ่าตัดนั้นเอง.
ผมก็ทุกข์ ภรรยาก็ทุกข์ กลัวว่าผมจะไม่มีคนใหม่ ทั้งที่ผมให้เหตุผลและขอร้องแล้ว แต่ภรรยาไม่ยอมอย่างหัวเด็ดตีนขาด ตัณหานี้จึงเป็นทุกข์ยิ่งหนอเมื่อประดังมาตามคาบเวลา 3 - 4 วัน ของมันจนจิตใจต้องปรุงแต่งฟุ้งช้านแทบอยู่ไม่ได้ วนเวียนมาเป็นรอบๆ อยู่เนืองๆ ต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างมาก และต้องอดทนไม่ใช่เพียงเดือนเดียว แต่เป็นปี และไม่ใช่เพียงปีเดียว แต่เป็นเวลาหลายปี
ใช้ทั้งกำหนดกรรมฐานภาวนาอย่างมากแล้วก็ ไม่สามารถลดระดับตัณหาไปกว่านั้นลงได้ ทั้งปฏิบัติให้เกิดสมาธิอย่างยิ่งก็ยังไม่สามารถลดระดับตัณหานั้นลงได้ ก็ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่เมื่อวนรอบครั้งใหม่ก็จะมีกำลังตัณหาเต็มเหมือนดังเดิม ให้ปรุงแต่งให้ฟุ้นซ้านเป็นทุกข์เช่นเดิม วนเวียนอย่างนี้เป็นเวลาหลายปี ที่ต้องขอร้องและให้เหตุผลภรรยา แต่ภรรยาไม่ยอม ก็ต้องอดทน ต้องข่มไว้ ต่อไป
ย่างปีที่ 7 ภรรยายอมให้ไประบายได้ ผมกลับไม่ไปเสียอย่างนั้น เฉยเลย ไม่ใช่ตัณหาลดระดับลง มันยังมาเป็นรอบ 3-4 วันเหมือนเดิม ให้ปรุงแต่งให้ฟุ้งซ้านต้องทุกข์จนแทบอยากจะออกไปหาที่ระบาย แต่เมื่อพิจารณามุมกลับแล้วภรรยาต้องทุกข์ใจอย่างมากจึงไม่ไป ต้องข่มด้วยญาณบ้าง ด้วยสมาธิบ้าง แต่ก็กลับมาทุกข์ในระดับตัณหาเท่าเดิมนั้นแหละภายหลัง
ดังนั้นผมต้องข่มตัณหาที่อยากมีเมถุธรรมที่สมบูรณ์จนปรุงแต่งจนฟุ้งซ้านเป็นทุกข์ ด้วยศีล ด้วยความอดทน ด้วยการบันเทา ที่เป็นญาณ เป็นสมาธิ ที่เป็นของเก่าเป็นเวลาถึง 8 ปี
จุดเริ่มเปลี่ยนบังเกิดขึ้นพร้อมกับวิบากกรรมที่ส่งผลอย่างรุนแรงเฉียดตาย เมื่อเดือน มกราคม ปี 2554 ดังกลอนที่เขียนไว้
-----
เช้า 15 มกราคม 54 อยู่ดีดี เฉียดตายฉับพลัน
ด้วยเส้นเลือดในสมองนั้น เกิดอุดตันขณะกำลังเดิน
เกิดสติรู้ทันมิได้เกิน ใจประเมินพลิกตัวตามที่ถลา
เอาหลังพิงประตูทันหนา ยันแล้วคา ครูดลงหมดสติไป.
ไม่มีใครรู้ จึงกองอยู่ คาประตูอยู่อย่างนั้น
เมื่อรู้ตัวก็ไม่รู้พลัน รู้สึกนั้นเพียงเป็นผัก
ไม่มีความคิดนึกได้ ชั่งเลวร้ายอยู่สักพัก
เมื่อนึกคิดได้แต่หนัก ยังชะงักขยับตัวไม่ได้
แม้จะพูดลิ้นก็ไม่ขยับ จึงระงับใจไม่พรุ่งพล่าน
วางใจสงบไม่รนลาน ไม่เดือดดานคิดตามลำดับ
จึงลองขยับแขนขวา แต่ก็หาได้เคลื่อนขยับ
ลองแขนซ้ายตามลำดับ ก็ขยับพอเคลื่อนได้
แต่เหมือนดังแรงไม่มี ก็ยังดีได้เหวียงแขน
เป็นการเคาะเรียกแทน เพื่อให้แฟน ได้ยินเสียง
ค่อยพยายามขยับปาก แต่ลำบากที่ให้เกิดสำเนียง
ค่อยอ้อแอ้ออกเป็นเสียง ด้วยเหตุเพียงนี้ แฟนได้ยิน
เมื่อได้รับการช่วยเหลือ ใจก็เอื้อต่อการพิจารณา
น้อมพระรัตนตรัยก่อนนา ขอขมาผู้มีศีล
จากนั้นจึงแผ่เมตตา ภาวนาในใจอย่างดี
น้อมเข้าสู่สติปัฏฐานสี่ กำหนดที่ใจแยบคาย.
สติเท่าทันผัสสะ อายาตนะเป็นปัจจุบัน
มีสมาธิตั้งมั่น ปัญญานั้นเห็นปฏิจะ
แม้เข้าห้องไอชียู ยังกำหนดรู้ไม่ลดละ
ภาวนาอยู่ทุกขณะ ใจเพียรละตัณหาที่ปรากฏ
มีสายระโยงตามร่าง ก็ไม่สร้างความกังวล
นั่งสมาธิไม่สับสน แม้ผู้คนจะสงสัย
ใช้อานารักษาสมาธิ อนุสติรักษาใจ
เห็นแม้สังขารภายใน ชั่งเป็นไปบอบบางยิ่ง
ภาวนาตามพุทธพจน์ ตามกำหนด....
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นย่อมเป็นอนัตตา
ผู้มีปัญญาพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า “นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา”
สามวันออกห้องไอชียู ใจคิดรู้ต้องวิสังขาร
จึงจะพ้นจากสังขาร ธรรมสืบสานย่อมเป็นเอง
เมื่อรู้แล้ววางคิดไป มีใจใส่ภาวนาไม่หวั่นเกรง
เกิดสภาวะที่เป็นไปเอง ทิ้งจากเพ่งเหลือ มโนมายตนะ
ซึ่งเป็นเองอย่างปัจจุบัน แล้วก็พลันเพิกใจทิ้งไป
พ้นจากสังขารและใจ ที่เป็นไปมิกำหนดหมาย
มีสันติและสงบสุข ไม่มีทุกข์เข้าย่างกลาย
ดำรงอยู่แล้วจึงคลาย เป็นจุดคล้ายเกิดเป็นรูปนาม
จากนั้นค่อยค่อยขยาย แล้วกระจายรู้ทั่วกาย
เหมือนเกิดใหม่หลังจากตาย แต่ก็คลายวางไม่ปรุงแต่ง
------
กว่าผมจะหายเกือบปกติจากผลกระทบของไขมันอุดตันเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลัน เป็นเวลาเกือบ 2 ปี แต่ร่างกายที่กระตุ้นทางกามตัณหานั้นยังวนรอบเหมือนเดิมคือ 3 - 4 วันเช่นเดิม การปรุงแต่งฟุ้งซ้านก็พอๆ เดิม แต่อยากดิ้นรนที่จะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นอย่างไม่ผิดศีลให้สมบูรณ์จนเป็นทุกข์นั้นน้อยลงกว่าเดิม.
ในปีถัดๆ มาผมจึงใช้ปัญญาบันเทา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ตามธรรมส่วนนี้.
--------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยการบรรเทา ที่เป็นอันภิกษุละได้แล้ว
ด้วยการบรรเทาเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมไม่
รับไว้ ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป ย่อมทำให้หมดไป ซึ่งกามวิตกที่เกิดขึ้น
แล้ว ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมไม่รับไว้ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป
ย่อมทำให้หมดไป ซึ่งพยาบาทวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ... ซึ่งวิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ... ซึ่งธรรมที่
เป็นบาป อกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอไม่บรรเทาอยู่ อาสวะที่ทำความคับแค้น
และความเร่าร้อน พึงเกิดขึ้น เมื่อเธอบรรเทาอยู่ อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความ
เร่าร้อนย่อมไม่มีแก่เธอ ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่า
อันภิกษุพึงละด้วยการบรรเทา ที่เป็นอันภิกษุละได้แล้วด้วยการบรรเทา ฯ
--------
แล้วร่างกายที่เคยกระตุ้นผลักดัน 3 - 4 วันต่อครั้ง ก็คลายไป ห่างไป เป็นอาทิตย์ ซึ่งอาจเป็นเพราะอายุมากขึ้นก็ได้ แต่ที่น้อยไปจางไปจนเสมือนหมดไป คือเมื่อตัณหาผลักดันปรุงแต่งแล้ว ฟุ้งซ้านดำริ ที่อยากระบายกับหญิงอื่นให้สมบูรณ์ตามตัณหาที่ไม่ผิดศีลได้นั้น จางคลายหายสิ้นไปนั้นเอง.
สรุป การละกิเลสไปตามลำดับนั้น จึงเป็นเรื่องที่ระเอียดปรานีต อาศัยเวลา อาศัยสะสมธรรมหลายอย่างมาประชุมรวมกันอย่างเหมาะสม
การมีศีล มีความอดทน และมีปัญญาในการบันเทา ย่อมระงับอกุศลธรรมที่เป็นบาปได้ และบรรเทาตัณหาได้ตามลำดับ เป็นความจริง
เมื่อผมอายุประมาณ 43-44 ปี ฐานะการงานการเงินก็ถือว่าดีพอสมควร มีบ้านมีรถพร้อม อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ หน้าตาดีพอประมาณ แต่แล้วภรรยาเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูก ต้องตัดมดลูกและรังไข่ทิ้ง แต่ก็ดันเกิดผิดพลาดหมอตัดไปโดนท่อไต ภรรยาแทบเอาชีวิตไม่รอด ต้องผ่าตัดซ้ำในเวลาเพียงไม่กี่วัน ปัญหาใหญ่จริงๆ จึงเกิดขึ้นกับผม คือแทบจะหลับนอนกับภรรยาไม่ได้เลย เพราะเกิดผลข้างเคียงมากมาย ไม่ใช่เป็นเวลาแค่ เดือน แต่เป็นปี และไม่ใช่เวลาแค่ปีเดียวเท่านั้นแต่เป็นเวลาหลายปี จนล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน
หมายเหตุ การกำหนดภาวนากรรมฐานนั้น ผมก็ปฏิบัติอยู่เนืองๆ นะครับ ไม่ได้ทอดทิ้งนะครับ
เมื่อสิ่งที่เคยเสพได้ตามปกติ ก็ทำแทบไม่ได้ตามความเคยชิน ตัณหาจึงกระตุ้นให้เป็นทุกข์อย่างรุนแรง ปรุงแต่งฟุ้งซ้าน อยากจะหาที่ระบายที่สมบูรณ์ ตั้งแต่ในช่วงปีแรกๆ แล้ว แต่ระงับอยู่ได้ก็ด้วยศีลเท่านั้น ทั้งที่มีทรัพย์หาที่ระบายได้ง่ายๆ ดังพลิกฝ่ามือเท่านั้น ติดอยู่แค่เรื่องศีลเท่านั้น จึงคิดปรุงแต่งไปว่า ต้องขออนุญาตจากภรรยาก่อน ถ้าภรรยายินยอมเราก็ย่อมหาที่ระบายได้.
แต่ภรรยาไม่ยอม หัวเด็ดตีนขาด ภรรยาก็ไม่ยอม ทั้งขอร้องให้เหตุผลแล้วติดต่อกันเป็นเวลาเป็นเดือนเป็นปีก็ไม่ยอม เมื่อเป็นอย่างนี้ผมจะทำอย่างไร จึงจะยับยั่งผ่อนคลาย ตัณหาที่ปรากฏรุนแรงที่จะแสวงหาที่ระบายอย่างสมบูรณ์ให้ได้นี้.
สิ่งแรกที่ผมกระทำคือ สื่อลามกที่มีไม่มากนั้นไม่ว่าหนังสือหรือชีดี ที่เคยมีอยู่ผมต้องเก็บทิ้งให้หมด ก็เพียงแค่บรรเทาได้เพียงนิดเดียวเอง คือสิ่งกระตุ้นจากภายนอกไม่มีหรือน้อยลง แต่สิ่งที่กระตุ้นจากภายในร่างกายเช่นออร์โมนไม่ได้ลดลงเลย กระตุ้นมาเป็นคาบเวลาสม่ำเสมอ ประมาณ 3-4 วันก็มาอีกแล้ว บางครั้งก็เผลอคลิกไปดูในแว็ปโป๊ะ แต่ไม่สมารถระบายกับภรรยา ตามคาบได้เลย ด้วยผลข้างเคียงจากการฝ่าตัดนั้นเอง.
ผมก็ทุกข์ ภรรยาก็ทุกข์ กลัวว่าผมจะไม่มีคนใหม่ ทั้งที่ผมให้เหตุผลและขอร้องแล้ว แต่ภรรยาไม่ยอมอย่างหัวเด็ดตีนขาด ตัณหานี้จึงเป็นทุกข์ยิ่งหนอเมื่อประดังมาตามคาบเวลา 3 - 4 วัน ของมันจนจิตใจต้องปรุงแต่งฟุ้งช้านแทบอยู่ไม่ได้ วนเวียนมาเป็นรอบๆ อยู่เนืองๆ ต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างมาก และต้องอดทนไม่ใช่เพียงเดือนเดียว แต่เป็นปี และไม่ใช่เพียงปีเดียว แต่เป็นเวลาหลายปี
ใช้ทั้งกำหนดกรรมฐานภาวนาอย่างมากแล้วก็ ไม่สามารถลดระดับตัณหาไปกว่านั้นลงได้ ทั้งปฏิบัติให้เกิดสมาธิอย่างยิ่งก็ยังไม่สามารถลดระดับตัณหานั้นลงได้ ก็ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่เมื่อวนรอบครั้งใหม่ก็จะมีกำลังตัณหาเต็มเหมือนดังเดิม ให้ปรุงแต่งให้ฟุ้นซ้านเป็นทุกข์เช่นเดิม วนเวียนอย่างนี้เป็นเวลาหลายปี ที่ต้องขอร้องและให้เหตุผลภรรยา แต่ภรรยาไม่ยอม ก็ต้องอดทน ต้องข่มไว้ ต่อไป
ย่างปีที่ 7 ภรรยายอมให้ไประบายได้ ผมกลับไม่ไปเสียอย่างนั้น เฉยเลย ไม่ใช่ตัณหาลดระดับลง มันยังมาเป็นรอบ 3-4 วันเหมือนเดิม ให้ปรุงแต่งให้ฟุ้งซ้านต้องทุกข์จนแทบอยากจะออกไปหาที่ระบาย แต่เมื่อพิจารณามุมกลับแล้วภรรยาต้องทุกข์ใจอย่างมากจึงไม่ไป ต้องข่มด้วยญาณบ้าง ด้วยสมาธิบ้าง แต่ก็กลับมาทุกข์ในระดับตัณหาเท่าเดิมนั้นแหละภายหลัง
ดังนั้นผมต้องข่มตัณหาที่อยากมีเมถุธรรมที่สมบูรณ์จนปรุงแต่งจนฟุ้งซ้านเป็นทุกข์ ด้วยศีล ด้วยความอดทน ด้วยการบันเทา ที่เป็นญาณ เป็นสมาธิ ที่เป็นของเก่าเป็นเวลาถึง 8 ปี
จุดเริ่มเปลี่ยนบังเกิดขึ้นพร้อมกับวิบากกรรมที่ส่งผลอย่างรุนแรงเฉียดตาย เมื่อเดือน มกราคม ปี 2554 ดังกลอนที่เขียนไว้
-----
เช้า 15 มกราคม 54 อยู่ดีดี เฉียดตายฉับพลัน
ด้วยเส้นเลือดในสมองนั้น เกิดอุดตันขณะกำลังเดิน
เกิดสติรู้ทันมิได้เกิน ใจประเมินพลิกตัวตามที่ถลา
เอาหลังพิงประตูทันหนา ยันแล้วคา ครูดลงหมดสติไป.
ไม่มีใครรู้ จึงกองอยู่ คาประตูอยู่อย่างนั้น
เมื่อรู้ตัวก็ไม่รู้พลัน รู้สึกนั้นเพียงเป็นผัก
ไม่มีความคิดนึกได้ ชั่งเลวร้ายอยู่สักพัก
เมื่อนึกคิดได้แต่หนัก ยังชะงักขยับตัวไม่ได้
แม้จะพูดลิ้นก็ไม่ขยับ จึงระงับใจไม่พรุ่งพล่าน
วางใจสงบไม่รนลาน ไม่เดือดดานคิดตามลำดับ
จึงลองขยับแขนขวา แต่ก็หาได้เคลื่อนขยับ
ลองแขนซ้ายตามลำดับ ก็ขยับพอเคลื่อนได้
แต่เหมือนดังแรงไม่มี ก็ยังดีได้เหวียงแขน
เป็นการเคาะเรียกแทน เพื่อให้แฟน ได้ยินเสียง
ค่อยพยายามขยับปาก แต่ลำบากที่ให้เกิดสำเนียง
ค่อยอ้อแอ้ออกเป็นเสียง ด้วยเหตุเพียงนี้ แฟนได้ยิน
เมื่อได้รับการช่วยเหลือ ใจก็เอื้อต่อการพิจารณา
น้อมพระรัตนตรัยก่อนนา ขอขมาผู้มีศีล
จากนั้นจึงแผ่เมตตา ภาวนาในใจอย่างดี
น้อมเข้าสู่สติปัฏฐานสี่ กำหนดที่ใจแยบคาย.
สติเท่าทันผัสสะ อายาตนะเป็นปัจจุบัน
มีสมาธิตั้งมั่น ปัญญานั้นเห็นปฏิจะ
แม้เข้าห้องไอชียู ยังกำหนดรู้ไม่ลดละ
ภาวนาอยู่ทุกขณะ ใจเพียรละตัณหาที่ปรากฏ
มีสายระโยงตามร่าง ก็ไม่สร้างความกังวล
นั่งสมาธิไม่สับสน แม้ผู้คนจะสงสัย
ใช้อานารักษาสมาธิ อนุสติรักษาใจ
เห็นแม้สังขารภายใน ชั่งเป็นไปบอบบางยิ่ง
ภาวนาตามพุทธพจน์ ตามกำหนด....
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นย่อมเป็นอนัตตา
ผู้มีปัญญาพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า “นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา”
สามวันออกห้องไอชียู ใจคิดรู้ต้องวิสังขาร
จึงจะพ้นจากสังขาร ธรรมสืบสานย่อมเป็นเอง
เมื่อรู้แล้ววางคิดไป มีใจใส่ภาวนาไม่หวั่นเกรง
เกิดสภาวะที่เป็นไปเอง ทิ้งจากเพ่งเหลือ มโนมายตนะ
ซึ่งเป็นเองอย่างปัจจุบัน แล้วก็พลันเพิกใจทิ้งไป
พ้นจากสังขารและใจ ที่เป็นไปมิกำหนดหมาย
มีสันติและสงบสุข ไม่มีทุกข์เข้าย่างกลาย
ดำรงอยู่แล้วจึงคลาย เป็นจุดคล้ายเกิดเป็นรูปนาม
จากนั้นค่อยค่อยขยาย แล้วกระจายรู้ทั่วกาย
เหมือนเกิดใหม่หลังจากตาย แต่ก็คลายวางไม่ปรุงแต่ง
------
กว่าผมจะหายเกือบปกติจากผลกระทบของไขมันอุดตันเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลัน เป็นเวลาเกือบ 2 ปี แต่ร่างกายที่กระตุ้นทางกามตัณหานั้นยังวนรอบเหมือนเดิมคือ 3 - 4 วันเช่นเดิม การปรุงแต่งฟุ้งซ้านก็พอๆ เดิม แต่อยากดิ้นรนที่จะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นอย่างไม่ผิดศีลให้สมบูรณ์จนเป็นทุกข์นั้นน้อยลงกว่าเดิม.
ในปีถัดๆ มาผมจึงใช้ปัญญาบันเทา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ตามธรรมส่วนนี้.
--------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยการบรรเทา ที่เป็นอันภิกษุละได้แล้ว
ด้วยการบรรเทาเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมไม่
รับไว้ ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป ย่อมทำให้หมดไป ซึ่งกามวิตกที่เกิดขึ้น
แล้ว ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมไม่รับไว้ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป
ย่อมทำให้หมดไป ซึ่งพยาบาทวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ... ซึ่งวิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ... ซึ่งธรรมที่
เป็นบาป อกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอไม่บรรเทาอยู่ อาสวะที่ทำความคับแค้น
และความเร่าร้อน พึงเกิดขึ้น เมื่อเธอบรรเทาอยู่ อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความ
เร่าร้อนย่อมไม่มีแก่เธอ ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่า
อันภิกษุพึงละด้วยการบรรเทา ที่เป็นอันภิกษุละได้แล้วด้วยการบรรเทา ฯ
--------
แล้วร่างกายที่เคยกระตุ้นผลักดัน 3 - 4 วันต่อครั้ง ก็คลายไป ห่างไป เป็นอาทิตย์ ซึ่งอาจเป็นเพราะอายุมากขึ้นก็ได้ แต่ที่น้อยไปจางไปจนเสมือนหมดไป คือเมื่อตัณหาผลักดันปรุงแต่งแล้ว ฟุ้งซ้านดำริ ที่อยากระบายกับหญิงอื่นให้สมบูรณ์ตามตัณหาที่ไม่ผิดศีลได้นั้น จางคลายหายสิ้นไปนั้นเอง.
สรุป การละกิเลสไปตามลำดับนั้น จึงเป็นเรื่องที่ระเอียดปรานีต อาศัยเวลา อาศัยสะสมธรรมหลายอย่างมาประชุมรวมกันอย่างเหมาะสม