เรื่องราวที่ผมจะแชร์ต่อไปนี้ มันเป็นเหตุการณ์จริงที่ผมไม่รู้หรอกว่า มันถูกต้องหรือใช้ได้กับทุกคนหรือเปล่า ถ้ามีผู้รู้ก็แนะนำเพิ่มเติมได้ครับ
ด้วยอาชีพการงานที่ผมเคยทำเมื่อก่อนนั้น ทั้ง MCและ DJ เป็นงานที่หาคนมาแทนได้ยากในวลาที่เราป่วย ซึ่งโรคที่เป็นอยู่ประจำก็พวกอาการไข้หวัด
และทุกครั้งพอเริ่มเป็นไข้ก็ต้องวิ่งไปหาหมอ ที่ได้กลับมาก็ยาแก้ไข้และยาอื่นๆ แต่กินยาตามหมอสั่งก็ไม่ได้ว่าจะหายในทันที ใช้เวลากว่าจะหายก็หลายวัน
บางครั้งก็ต้องอดทนไปทำงานในขณะที่ตัวเองไม่สบายเพราะหาคนมาทำแทนไม่ได้ ครั้นจะหยุดเลยยิ่งลำบากเพราะบางงานนั้นทุกอย่างถูกบรีฟไว้หมดแล้ว
และการไม่สบายมันก็ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะเป็นตอนไหนซะด้วย หลังๆผมเลยเลือกที่จะยอมเจ็บตัวโดยการร้องขอให้หมอใช้ยาแรงกว่าการกิน คือให้ใช้การฉีดยาบริเวณก้น ช่วยได้ครับ แต่เป็นแค่บางครั้งที่หายในไม่กี่ชั่วโมง บางทีฉีดไปก็ไม่ดีขึ้นเลย พอเวลาไปทำงานก็จะไปแบบไม่เต็มที่ จนวันนึงผมก็เจอวิธีรักษาตัวเอง ขั้นต้น โดยไม่พึ่งหมอ และได้ผลดีเกินคาด
ผมจำไม่ได้นะครับว่าผมรู้มาได้ยังงัย เป็นเหตุบังเอิญลองทำ ไปเจอ ไปอ่าน หรือ มีใครมาบอก
ทุกครั้งเวลาที่เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนจะเป็นไข้ ผมจะใช้แค่สองสิ่งที่ตอนนี้มีไว้ประจำชีวิตคือ
1.ยาแก้ปวดลดไข้
2.กลูโคสชนิดผง (กระป๋องสีฟ้าๆ ราคาประมาณ 50 บาท)
พอรู้สึกว่าจะมีไข้ กลับมาถึงบ้านผมก็จะเริ่มทานยาทันที 2 เม็ด (แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเค้าให้กินแค่ครั้งละ 1 เม็ด) ทุก 4 ชั่วโมง และ กินไปพร้อมกันกับผงกลูโคสละลายน้ำ กี่ช้อนก็แล้วแต่รสชาติที่พอดี เช่นผมกลับมาถึงบ้านตี 3 ผมก็จะเริ่มกินทั้งสองอย่าง แล้วพักผ่อน ตื่นตอนเช้า ประมาณ 9 โมง หลังกินข้าวเสร็จ (ซึ่งกินได้น้อยมาก) ก็ต่อด้วย ยาและกลูโคสอีก1แก้ว แล้วก็พักผ่อน จะนอนหรือทำอะไรก็ได้ (ในช่วงนี้ยังมีอาการไข้อยู่บ้างหลังตื่นนอน จะไม่เหมือนแต่ก่อนที่หมดเรี่ยวหมดแรงนอนซม) กินอีกทีก็ประมาณ บ่ายโมง ถึงตอนนี้จะรู้สึกได้ว่าอาการไข้เริ่มดีขึ้น และ ใช้วิธีการทานยาและกลูโคสไปจนถึงรอบก่อนนอน ตื่นเช้ามา อาการไข้หายเป็นปลิดทิ้ง
พอผมได้ใช้วิธีนี้มาแล้วได้ผลก็ใช้มาตลอดเวลา อาการไข้หายภายใน 1 วัน และบางครั้งก็เร็วกกว่านั้น และหลังตื่นมาของอีกวัน ผมก็ไม่กินยาต่ออีกเลย ทราบนะครับเพราะเคยอ่านผ่านตาว่า ถ้าไม่กินยาต่อเนื่อง บางทีเชื้ออาจะดื้อยาอะไรก็ตามเถอะ แต่ผมว่า มันจะดื้อก็ดื้อไป ผมเป็นห่วงตับไตตัวเองมากกว่า เลยหยุดยาทันทีที่หายไข้
แต่เชื่อมั้ยครับว่าวธีนี้ใช้ได้มากกว่าไข้หวัดธรรมดา !!!
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมจำได้เลยว่าอยู่ในช่วงปีใหม่ เวลานั้นงานจะเยอะมากโดยเฉพาะงาน MC มีงานติดคิวยาวเลยไปถึงต้นปี อาการไข้ดั๊นมาหาเอาช่วงนั้นพอดี แต่ผมเฉยๆครับ เพราะเรารู้แล้วว่าจะดูแลรักษาตัวเองยังงัย แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม วันเดียวก็ไม่หาย สองวันก็แล้ว ไม่ได้ผลแฮะ อาการไข้มันวูบๆแปลกๆ ไข้มาๆแล้วก็หายแล้วก็เป็นอีก กินข้าวไม่ได้เลย พะอืดพะอม กินไรเข้าไปก็อยากจะอาเจียนออกมา ตัวร้อนบ้างบางที อาการแปลกชะมัด แต่ผมก็ยังใช้วิธีนี้ต่อเพราะงานเยอะจริง ทำงานได้นะครับปกติ อย่างที่บอกอาการไข้มันวูบๆ เป็นๆหายๆ ร่างกายมีแรงถึงแม้สมองจะตึงๆไปบ้าง อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาในบางที
ผมเป็นอย่างนั้นมาประมาณถึงวันที่ 5 อาการเหมือนเดิมนะครับ 4 วันก่อนหน้าผมก็กินอะไรไม่ได้เลย ยกเว้นอาหารพวกน้ำๆเช่น กระเพาะปลา ในใจก็คิดนะครับว่าตัวเองเป็นไรว๊า
ครั้งนี้ตัดสินใจว่าต้องไปหาหมอเพราะ ตอนอาบน้ำ สั่งน้ำมูกออกมาเป็นเลือดปน แปลงฟันนี่เหมือนกันคนโดนต่อย เลือดเต็มแปลงสีฟัน พอตอนถ่ายสีก็ออกมาคล้ำ ดำมาก ซึ่งมันมีเลือดปนอยู่ บริเวณน่องและใต้วงแขนมีตุ่มแดงๆขึ้นเต็มไปหมด เอะใจเลยครับ " ไข้เลือดออกแน่ๆ"
ถึงโรงพยาบาลก็ถูกเจาะเลือดเอาไปตรวจ ผลออกมาตามนั้นครับ ไข้เลือดออก...ผมคิดในใจเลยว่า "ซวยแล้ว" แอดมิดแน่เลย งานพังหมด จบกัน....แต่!!! คุณหมอให้กลับบ้านได้เพราะ "เกร็ดเลือดสูงขึ้นแล้ว" ไม่ต้องนอนให้น้ำเกลือ..ถึงเวลานั้นผมรู้สึกโล่งใจมากเลยครับ และหลังจากนั้น 2 วัน อาการไข้เลือดออกของผมก็ไม่มีเหลือ
ผมเลยเริ่มศึกษาหาข้อมูลให้มากขึ้น และถามเพื่อนรุ่นน้องที่พอมีความรู้เรื่องทางการแพทย์ สรุปใจความได้ว่า อาการไข้ที่ผมเป็น ไม่ว่าจะไข้หวัด หรือไข้เลือดออก มันไม่มียารักษา ถึงนอนโรงพยาบาลไปก็แค่ให้ยาแก้ไข้รักษาตามอาการ เราจะดีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมาทำลายเชื้อโรคเหล่านั้นไปเอง (อันนี้ใครมีความรู้ทางการแพทย์ ช่วยมาเติมเต็มให้ความรู้ผมเพิ่มได้ก็จะขอบพระคุณครับ)
ทุกวันนี้ผมใช้วิธีนี้รักษาอาการไข้มาตลอดระยะเวลาหลายปี ผมโชคดีมีโอกาสได้เป็นไข้เลือดออกครั้งที่สอง และก็ใช้วิธีเดิมรักษาตัวเองจนหายภายใน 6-7 วัน (เหลืออีกสองครั้งเพราะหมอบอกว่าคนเราจะเป็นไข้เลือดออกได้แค่ 4 ครั้ง มันมีเชื้ออยู่ 4 ชนิด พอเราได้รับเชื้อชนิดไหนแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันมาปกป้องเรา พอเราได้รับเชื้อครบทั้ง 4 ตัว เราก็จะไม่เป็นไข้เลือดออกอีกเลย)
เคยเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่า ตอนเด็กๆที่ผมเกิดมาแรกๆก็เกือบตาย เพราะไม่ยอมกินนมจนตัวเหลือง แม่ก็ไม่รู้เพราะผมเป็นลูกคนแรกท่านยังเลี้ยงไม่เป็น โชคดีที่คนข้างบ้านมาเห็น เลยรีบเอากลูโคสผสมน้ำให้กินแทน ผมรอดตายมาได้เพราะกลูโคสตั้งแต่แบเบาะเลยนะนั่น
++แถมอีกหน่อย เมื่อก่อนเวลาที่ผมรู้สึกเจ็บคอแล้วปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนั้น ภายในวันเดียวก็จะเป็นไข้ทันที ผมเลยแก้ด้วยการ พอรู้สึกระคายหรือเจ็บก็จะไม่รอ จัดยาแก้อักเสบที่คอทันที เม็ดสีเขียว-ฟ้า ซื้อได้ที่ร้านขายยา เพราะถ้าปล่อยให้มันลามไปถึงจนเป็นไข้เมื่อไหร่ อันนี้งานใหญ่เลยครับ เพราะถึงไข้จะหายได้ในวันเดียวก็เถอะ แต่อาการไอนี่สิครับ ยาวเป็นอาทิตย์ ทั้งใช้ยาแก้ไอ ยาอมที่ผสมยาชาแบบเข้มข้นก็เอาไม่อยู่ ยิ่งผมทำงานที่ต้องใช้เสียงด้วยแล้วนี่ยิ่งลำบากเลยครับ เลยใช้วิธีดักทางมันไว้ก่อน
ทั้งหมดนี่เป็นวิธีที่ผมใช้จริง และได้ผลจริง ไม่ทราบนะครับว่ากับคนอื่นถ้าทำแบบนี้แล้วมันจะหายได้อย่างผมหรือเปล่า กระทู้นี้ผมแค่แชร์ในประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา ไม่สนับสนุนให้ทุกคนลองทำตามนะครับ
เอาชัวร์ พบแพทย์ดีกว่าครับ และถ้าใครมีความรู้เพิ่มเติม สามารถให้ข้อมูลกระจ่างมากกว่านี้ ช่วยมาแชร์หน่อยครับ ขอบคุณครับ
ผมเคยรอดตายเพราะกลูโคส...ยาสามัญประจำชีวิต
เรื่องราวที่ผมจะแชร์ต่อไปนี้ มันเป็นเหตุการณ์จริงที่ผมไม่รู้หรอกว่า มันถูกต้องหรือใช้ได้กับทุกคนหรือเปล่า ถ้ามีผู้รู้ก็แนะนำเพิ่มเติมได้ครับ
ด้วยอาชีพการงานที่ผมเคยทำเมื่อก่อนนั้น ทั้ง MCและ DJ เป็นงานที่หาคนมาแทนได้ยากในวลาที่เราป่วย ซึ่งโรคที่เป็นอยู่ประจำก็พวกอาการไข้หวัด
และทุกครั้งพอเริ่มเป็นไข้ก็ต้องวิ่งไปหาหมอ ที่ได้กลับมาก็ยาแก้ไข้และยาอื่นๆ แต่กินยาตามหมอสั่งก็ไม่ได้ว่าจะหายในทันที ใช้เวลากว่าจะหายก็หลายวัน
บางครั้งก็ต้องอดทนไปทำงานในขณะที่ตัวเองไม่สบายเพราะหาคนมาทำแทนไม่ได้ ครั้นจะหยุดเลยยิ่งลำบากเพราะบางงานนั้นทุกอย่างถูกบรีฟไว้หมดแล้ว
และการไม่สบายมันก็ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะเป็นตอนไหนซะด้วย หลังๆผมเลยเลือกที่จะยอมเจ็บตัวโดยการร้องขอให้หมอใช้ยาแรงกว่าการกิน คือให้ใช้การฉีดยาบริเวณก้น ช่วยได้ครับ แต่เป็นแค่บางครั้งที่หายในไม่กี่ชั่วโมง บางทีฉีดไปก็ไม่ดีขึ้นเลย พอเวลาไปทำงานก็จะไปแบบไม่เต็มที่ จนวันนึงผมก็เจอวิธีรักษาตัวเอง ขั้นต้น โดยไม่พึ่งหมอ และได้ผลดีเกินคาด
ผมจำไม่ได้นะครับว่าผมรู้มาได้ยังงัย เป็นเหตุบังเอิญลองทำ ไปเจอ ไปอ่าน หรือ มีใครมาบอก
ทุกครั้งเวลาที่เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนจะเป็นไข้ ผมจะใช้แค่สองสิ่งที่ตอนนี้มีไว้ประจำชีวิตคือ
1.ยาแก้ปวดลดไข้
2.กลูโคสชนิดผง (กระป๋องสีฟ้าๆ ราคาประมาณ 50 บาท)
พอรู้สึกว่าจะมีไข้ กลับมาถึงบ้านผมก็จะเริ่มทานยาทันที 2 เม็ด (แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเค้าให้กินแค่ครั้งละ 1 เม็ด) ทุก 4 ชั่วโมง และ กินไปพร้อมกันกับผงกลูโคสละลายน้ำ กี่ช้อนก็แล้วแต่รสชาติที่พอดี เช่นผมกลับมาถึงบ้านตี 3 ผมก็จะเริ่มกินทั้งสองอย่าง แล้วพักผ่อน ตื่นตอนเช้า ประมาณ 9 โมง หลังกินข้าวเสร็จ (ซึ่งกินได้น้อยมาก) ก็ต่อด้วย ยาและกลูโคสอีก1แก้ว แล้วก็พักผ่อน จะนอนหรือทำอะไรก็ได้ (ในช่วงนี้ยังมีอาการไข้อยู่บ้างหลังตื่นนอน จะไม่เหมือนแต่ก่อนที่หมดเรี่ยวหมดแรงนอนซม) กินอีกทีก็ประมาณ บ่ายโมง ถึงตอนนี้จะรู้สึกได้ว่าอาการไข้เริ่มดีขึ้น และ ใช้วิธีการทานยาและกลูโคสไปจนถึงรอบก่อนนอน ตื่นเช้ามา อาการไข้หายเป็นปลิดทิ้ง
พอผมได้ใช้วิธีนี้มาแล้วได้ผลก็ใช้มาตลอดเวลา อาการไข้หายภายใน 1 วัน และบางครั้งก็เร็วกกว่านั้น และหลังตื่นมาของอีกวัน ผมก็ไม่กินยาต่ออีกเลย ทราบนะครับเพราะเคยอ่านผ่านตาว่า ถ้าไม่กินยาต่อเนื่อง บางทีเชื้ออาจะดื้อยาอะไรก็ตามเถอะ แต่ผมว่า มันจะดื้อก็ดื้อไป ผมเป็นห่วงตับไตตัวเองมากกว่า เลยหยุดยาทันทีที่หายไข้
แต่เชื่อมั้ยครับว่าวธีนี้ใช้ได้มากกว่าไข้หวัดธรรมดา !!!
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมจำได้เลยว่าอยู่ในช่วงปีใหม่ เวลานั้นงานจะเยอะมากโดยเฉพาะงาน MC มีงานติดคิวยาวเลยไปถึงต้นปี อาการไข้ดั๊นมาหาเอาช่วงนั้นพอดี แต่ผมเฉยๆครับ เพราะเรารู้แล้วว่าจะดูแลรักษาตัวเองยังงัย แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม วันเดียวก็ไม่หาย สองวันก็แล้ว ไม่ได้ผลแฮะ อาการไข้มันวูบๆแปลกๆ ไข้มาๆแล้วก็หายแล้วก็เป็นอีก กินข้าวไม่ได้เลย พะอืดพะอม กินไรเข้าไปก็อยากจะอาเจียนออกมา ตัวร้อนบ้างบางที อาการแปลกชะมัด แต่ผมก็ยังใช้วิธีนี้ต่อเพราะงานเยอะจริง ทำงานได้นะครับปกติ อย่างที่บอกอาการไข้มันวูบๆ เป็นๆหายๆ ร่างกายมีแรงถึงแม้สมองจะตึงๆไปบ้าง อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาในบางที
ผมเป็นอย่างนั้นมาประมาณถึงวันที่ 5 อาการเหมือนเดิมนะครับ 4 วันก่อนหน้าผมก็กินอะไรไม่ได้เลย ยกเว้นอาหารพวกน้ำๆเช่น กระเพาะปลา ในใจก็คิดนะครับว่าตัวเองเป็นไรว๊า
ครั้งนี้ตัดสินใจว่าต้องไปหาหมอเพราะ ตอนอาบน้ำ สั่งน้ำมูกออกมาเป็นเลือดปน แปลงฟันนี่เหมือนกันคนโดนต่อย เลือดเต็มแปลงสีฟัน พอตอนถ่ายสีก็ออกมาคล้ำ ดำมาก ซึ่งมันมีเลือดปนอยู่ บริเวณน่องและใต้วงแขนมีตุ่มแดงๆขึ้นเต็มไปหมด เอะใจเลยครับ " ไข้เลือดออกแน่ๆ"
ถึงโรงพยาบาลก็ถูกเจาะเลือดเอาไปตรวจ ผลออกมาตามนั้นครับ ไข้เลือดออก...ผมคิดในใจเลยว่า "ซวยแล้ว" แอดมิดแน่เลย งานพังหมด จบกัน....แต่!!! คุณหมอให้กลับบ้านได้เพราะ "เกร็ดเลือดสูงขึ้นแล้ว" ไม่ต้องนอนให้น้ำเกลือ..ถึงเวลานั้นผมรู้สึกโล่งใจมากเลยครับ และหลังจากนั้น 2 วัน อาการไข้เลือดออกของผมก็ไม่มีเหลือ
ผมเลยเริ่มศึกษาหาข้อมูลให้มากขึ้น และถามเพื่อนรุ่นน้องที่พอมีความรู้เรื่องทางการแพทย์ สรุปใจความได้ว่า อาการไข้ที่ผมเป็น ไม่ว่าจะไข้หวัด หรือไข้เลือดออก มันไม่มียารักษา ถึงนอนโรงพยาบาลไปก็แค่ให้ยาแก้ไข้รักษาตามอาการ เราจะดีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมาทำลายเชื้อโรคเหล่านั้นไปเอง (อันนี้ใครมีความรู้ทางการแพทย์ ช่วยมาเติมเต็มให้ความรู้ผมเพิ่มได้ก็จะขอบพระคุณครับ)
ทุกวันนี้ผมใช้วิธีนี้รักษาอาการไข้มาตลอดระยะเวลาหลายปี ผมโชคดีมีโอกาสได้เป็นไข้เลือดออกครั้งที่สอง และก็ใช้วิธีเดิมรักษาตัวเองจนหายภายใน 6-7 วัน (เหลืออีกสองครั้งเพราะหมอบอกว่าคนเราจะเป็นไข้เลือดออกได้แค่ 4 ครั้ง มันมีเชื้ออยู่ 4 ชนิด พอเราได้รับเชื้อชนิดไหนแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันมาปกป้องเรา พอเราได้รับเชื้อครบทั้ง 4 ตัว เราก็จะไม่เป็นไข้เลือดออกอีกเลย)
เคยเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่า ตอนเด็กๆที่ผมเกิดมาแรกๆก็เกือบตาย เพราะไม่ยอมกินนมจนตัวเหลือง แม่ก็ไม่รู้เพราะผมเป็นลูกคนแรกท่านยังเลี้ยงไม่เป็น โชคดีที่คนข้างบ้านมาเห็น เลยรีบเอากลูโคสผสมน้ำให้กินแทน ผมรอดตายมาได้เพราะกลูโคสตั้งแต่แบเบาะเลยนะนั่น
++แถมอีกหน่อย เมื่อก่อนเวลาที่ผมรู้สึกเจ็บคอแล้วปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนั้น ภายในวันเดียวก็จะเป็นไข้ทันที ผมเลยแก้ด้วยการ พอรู้สึกระคายหรือเจ็บก็จะไม่รอ จัดยาแก้อักเสบที่คอทันที เม็ดสีเขียว-ฟ้า ซื้อได้ที่ร้านขายยา เพราะถ้าปล่อยให้มันลามไปถึงจนเป็นไข้เมื่อไหร่ อันนี้งานใหญ่เลยครับ เพราะถึงไข้จะหายได้ในวันเดียวก็เถอะ แต่อาการไอนี่สิครับ ยาวเป็นอาทิตย์ ทั้งใช้ยาแก้ไอ ยาอมที่ผสมยาชาแบบเข้มข้นก็เอาไม่อยู่ ยิ่งผมทำงานที่ต้องใช้เสียงด้วยแล้วนี่ยิ่งลำบากเลยครับ เลยใช้วิธีดักทางมันไว้ก่อน
ทั้งหมดนี่เป็นวิธีที่ผมใช้จริง และได้ผลจริง ไม่ทราบนะครับว่ากับคนอื่นถ้าทำแบบนี้แล้วมันจะหายได้อย่างผมหรือเปล่า กระทู้นี้ผมแค่แชร์ในประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา ไม่สนับสนุนให้ทุกคนลองทำตามนะครับ
เอาชัวร์ พบแพทย์ดีกว่าครับ และถ้าใครมีความรู้เพิ่มเติม สามารถให้ข้อมูลกระจ่างมากกว่านี้ ช่วยมาแชร์หน่อยครับ ขอบคุณครับ