http://ppantip.com/topic/32746619
3
เมื่อถึงวันเดินทาง ชลธิชากับสองหนุ่มจัดสำภาระเตรียมพร้อมออกเดินป่าเสร็จตั้งแต่เช้าตรู่ แผนการเดินทางครั้งนี้ เป้าหมายคือป่าทางทิศใต้ของที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเขาหลง ใกล้แนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เพราะบริเวณนี้หลุดรอดจากการสำรวจค้นหาตั้งแต่ครั้งก่อน พวกเขาจะใช้เวลาสามวันสำหรับการค้นหาผู้สูญหายในบริเวณดังกล่าว และหลังจากนั้นหากไม่มีอะไรคืบหน้า จึงจะกลับมาตั้งหลักอยู่ที่ที่ทำการอุทยานใหม่
ระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนของทางอุทยานที่จะออกเดินทางไปด้วยกัน ทั้งสามได้ศึกษาแผนที่เส้นทางเดินป่าที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่อุทยานอยู่ที่ระเบียงบ้านพัก
แผนที่ทางเดินป่าที่ได้มา เป็นแผนที่ที่ถูกเขียนขึ้นอย่างคร่าวๆ โดยฝีมือเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนที่เคยออกสำรวจป่าทางทิศใต้ของที่ทำการอุทยานเมื่อหลายสิบปีก่อน รูปลักษณ์ที่ออกมาจึงดูยาก ที่สำคัญลายมือคนเขียนยังขยุกขยิกแทบอ่านไม่ออก จึงเป็นการยากที่จะเข้าใจรายละเอียดสำหรับคนที่ไม่เคยคุ้นกับป่าผืนนี้มาก่อน
“จุดสังเกตในแผนที่ยังบอกเป็นชื่อต้นไม้อีกต่างหาก แล้วคนที่ไม่รู้จักต้นไม้สักต้นจะรู้ได้ไงวะหน้าตามันเป็นยังไง ต้นไม้ในป่าก็เหมือนกันแทบจะทุกต้น”
เอกธนายกมือขึ้นเกาศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากพยายามทำความเข้าใจกับแผนที่ เสียงถอนหายใจยาวๆ บ่งบอกถึงอาการท้อใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวเจออ่านรายละเอียดบางอย่าง สีหน้าของเขายิ่งแสดงออกถึงความเป็นกังวลมากขึ้น
“เดินตามเส้นทางสำรวจมาประมาณห้ากิโลเมตรจะเข้าสู่เขตดงตะเคียนทอง ผ่านป่านี้ไปทางทิศใต้ประมาณสามกิโลเมตรจะเข้าสู่เขตเถาหมาหลง เอ... เขาทำสัญลักษณ์พวกนี้ไว้ทำไมนะ ตัวหนังสือก็เล็กๆ อ่านไม่ออกเลย คุณกวินพอจะรู้ความหมายรึเปล่า”
“ไหนครับ”
“นี่ค่ะ” หญิงสาวยื่นแผนที่ในมือไปด้านหน้าของกวิน “มาร์ครูปดอกจันพวกนี้น่ะค่ะ”
กวินก้มมองดูแผนที่ที่หญิงสาวยื่นมาให้ แผนที่ฉบับนี้เป็นสำเนาที่ถ่ายมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร คำกำกับสัญลักษณ์น่าจะมีคำอธิบายอยู่ด้านหลัง แต่คนทำสำเนากลับถ่ายมาเพียงด้านหน้า คำตอบของชายหนุ่มจึงเป็นเพียงแค่การคาดเดา
“คงจะให้ระมัดระวังตัวมั้งครับ จากที่ผมรู้มาเถาหมาหลงหรือเถาวัลย์หลงจะเป็นที่ขยาดสำหรับคนเดินป่า เพราะหากใครเผลอเดินข้ามพืชชนิดนี้เข้าจะทำให้หลงทิศหลงได้”
“อะไรกันวะ ยังมีพืชประหลาดๆ แบบนี้อยู่บนโลกด้วยรึเนี่ย” เอกธนาที่ยืนพิงระเบียงทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ไม้ที่ว่างข้างๆ เพื่อนหนุ่ม “ฟังแค่ชื่อก็รู้สึกเหมือนจะไม่เป็นมงคลกับชีวิต ป่าดงตะเคียนทอง เถาหมาหลง ดีนะไม่มีเมืองลับแลซ่อนอยู่ในป่านี้อีก”
คำพล่ามบ่นที่ดังขึ้นมา ทำให้ชายหญิงที่กำลังดูรายละเอียดในแผนที่มองหน้ากันแบบมิได้นัดหมาย แต่สายตาที่ประสานกันก็เกิดขึ้นแค่แวบเดียวเท่านั้นเพราะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน
“ป่าภูเขาหลงยังมีอะไรที่พิสดารที่เราคาดไม่ถึงอีกเยอะแยะเลยละครับคุณเอกธนา”
เจ้าของเสียงคือวรเดช เขาแต่งกายในชุดออกเดินป่าแบกเป้ยืนเท้าสะเอวอยู่ด้านล่าง ด้านหลังเขามีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนอีกคนอยู่ในสภาพพร้อมเดินทางเช่นกัน
“อ้าว! คุณวรเดช...ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะคะ” คนทักรู้สึกแปลกใจที่เห็นเจ้าหน้าที่ประสานงานนักท่องเที่ยว อยู่ในสภาพพร้อมเดินทางไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย “อย่าบอกล่ะว่าคุณจะไปกับพวกเรา”
“ครับ พอดีมีเหตุฉุกละหุกนิดหน่อย เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนที่จะออกเดินทางไปกับพวกคุณภรรยาของเขาเพิ่งจะคลอดลูก เราก็เลยสลับหน้าที่กันชั่วคราว คงไม่มีอะไรติดขัดนะครับ หากผมจะขออาสาพาพวกคุณออกเดินทางในครั้งนี้ด้วย”
“ด้วยความยินดีค่ะ” ชลธิชาไม่ขัดข้อง
“เอ่อ นี่พี่บรรพตเจ้าหน้าลาดตระเวนที่เก่งที่สุดในภูเขาของเราหลงครับ” วรเดชไม่ลืมที่จะแนะนำชายวัยกลางคน ใบหน้ากร้านไปด้วยฝ้าแดดที่อยู่ในชุดคล้ายทหารพรานที่มาด้วยกัน และจุดเด่นชวนสะดุดตาของชายผู้นี้เห็นจะเป็นปืนลูกซองยาวสะพายอยู่ด้านหลัง
“สวัสดีครับทุกๆ คน ยินดีต้อนรับสู่ภูเขาหลงครับ” เสียงผู้ถูกแนะนำตัวดังขึ้น และถ้าพิจารณาดีๆ น้ำเสียงของเขาออกจะอ่อนโยนผิดจากใบหน้าและแววตาอย่างชัดเจน
“สวัสดีค่ะคุณบรรพต”
ชลธิชาทักทายเป็นคนแรก ขณะที่เอกธนาแม้จะยิ้มทักทายเช่นกัน แต่ความรู้สึกของเขากลับแตกต่างจากหญิงสาวโดยสิ้นเชิง
เขารู้สึกไม่ถูกชะตากับเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ทั้งสองอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะสายตาของเจ้าหน้าที่ประสานงานนักท่องเที่ยวที่อาสาออกเดินป่าตามหาผู้สูญหาย ขณะที่ชลธิชากลับไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เธอขอแค่ให้การออกติดตามในครั้งนี้พบตัวผู้สูญหายก็เป็นพอ
“ถ้าพร้อมแล้วผมว่าเราออกเดินทางกันเถอะครับ น้ำค้างตามยอดหญ้าเริ่มจะแห้งแล้ว”
พรายบุปผา (3)
3
เมื่อถึงวันเดินทาง ชลธิชากับสองหนุ่มจัดสำภาระเตรียมพร้อมออกเดินป่าเสร็จตั้งแต่เช้าตรู่ แผนการเดินทางครั้งนี้ เป้าหมายคือป่าทางทิศใต้ของที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเขาหลง ใกล้แนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เพราะบริเวณนี้หลุดรอดจากการสำรวจค้นหาตั้งแต่ครั้งก่อน พวกเขาจะใช้เวลาสามวันสำหรับการค้นหาผู้สูญหายในบริเวณดังกล่าว และหลังจากนั้นหากไม่มีอะไรคืบหน้า จึงจะกลับมาตั้งหลักอยู่ที่ที่ทำการอุทยานใหม่
ระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนของทางอุทยานที่จะออกเดินทางไปด้วยกัน ทั้งสามได้ศึกษาแผนที่เส้นทางเดินป่าที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่อุทยานอยู่ที่ระเบียงบ้านพัก
แผนที่ทางเดินป่าที่ได้มา เป็นแผนที่ที่ถูกเขียนขึ้นอย่างคร่าวๆ โดยฝีมือเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนที่เคยออกสำรวจป่าทางทิศใต้ของที่ทำการอุทยานเมื่อหลายสิบปีก่อน รูปลักษณ์ที่ออกมาจึงดูยาก ที่สำคัญลายมือคนเขียนยังขยุกขยิกแทบอ่านไม่ออก จึงเป็นการยากที่จะเข้าใจรายละเอียดสำหรับคนที่ไม่เคยคุ้นกับป่าผืนนี้มาก่อน
“จุดสังเกตในแผนที่ยังบอกเป็นชื่อต้นไม้อีกต่างหาก แล้วคนที่ไม่รู้จักต้นไม้สักต้นจะรู้ได้ไงวะหน้าตามันเป็นยังไง ต้นไม้ในป่าก็เหมือนกันแทบจะทุกต้น”
เอกธนายกมือขึ้นเกาศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากพยายามทำความเข้าใจกับแผนที่ เสียงถอนหายใจยาวๆ บ่งบอกถึงอาการท้อใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวเจออ่านรายละเอียดบางอย่าง สีหน้าของเขายิ่งแสดงออกถึงความเป็นกังวลมากขึ้น
“เดินตามเส้นทางสำรวจมาประมาณห้ากิโลเมตรจะเข้าสู่เขตดงตะเคียนทอง ผ่านป่านี้ไปทางทิศใต้ประมาณสามกิโลเมตรจะเข้าสู่เขตเถาหมาหลง เอ... เขาทำสัญลักษณ์พวกนี้ไว้ทำไมนะ ตัวหนังสือก็เล็กๆ อ่านไม่ออกเลย คุณกวินพอจะรู้ความหมายรึเปล่า”
“ไหนครับ”
“นี่ค่ะ” หญิงสาวยื่นแผนที่ในมือไปด้านหน้าของกวิน “มาร์ครูปดอกจันพวกนี้น่ะค่ะ”
กวินก้มมองดูแผนที่ที่หญิงสาวยื่นมาให้ แผนที่ฉบับนี้เป็นสำเนาที่ถ่ายมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร คำกำกับสัญลักษณ์น่าจะมีคำอธิบายอยู่ด้านหลัง แต่คนทำสำเนากลับถ่ายมาเพียงด้านหน้า คำตอบของชายหนุ่มจึงเป็นเพียงแค่การคาดเดา
“คงจะให้ระมัดระวังตัวมั้งครับ จากที่ผมรู้มาเถาหมาหลงหรือเถาวัลย์หลงจะเป็นที่ขยาดสำหรับคนเดินป่า เพราะหากใครเผลอเดินข้ามพืชชนิดนี้เข้าจะทำให้หลงทิศหลงได้”
“อะไรกันวะ ยังมีพืชประหลาดๆ แบบนี้อยู่บนโลกด้วยรึเนี่ย” เอกธนาที่ยืนพิงระเบียงทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ไม้ที่ว่างข้างๆ เพื่อนหนุ่ม “ฟังแค่ชื่อก็รู้สึกเหมือนจะไม่เป็นมงคลกับชีวิต ป่าดงตะเคียนทอง เถาหมาหลง ดีนะไม่มีเมืองลับแลซ่อนอยู่ในป่านี้อีก”
คำพล่ามบ่นที่ดังขึ้นมา ทำให้ชายหญิงที่กำลังดูรายละเอียดในแผนที่มองหน้ากันแบบมิได้นัดหมาย แต่สายตาที่ประสานกันก็เกิดขึ้นแค่แวบเดียวเท่านั้นเพราะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน
“ป่าภูเขาหลงยังมีอะไรที่พิสดารที่เราคาดไม่ถึงอีกเยอะแยะเลยละครับคุณเอกธนา”
เจ้าของเสียงคือวรเดช เขาแต่งกายในชุดออกเดินป่าแบกเป้ยืนเท้าสะเอวอยู่ด้านล่าง ด้านหลังเขามีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนอีกคนอยู่ในสภาพพร้อมเดินทางเช่นกัน
“อ้าว! คุณวรเดช...ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะคะ” คนทักรู้สึกแปลกใจที่เห็นเจ้าหน้าที่ประสานงานนักท่องเที่ยว อยู่ในสภาพพร้อมเดินทางไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย “อย่าบอกล่ะว่าคุณจะไปกับพวกเรา”
“ครับ พอดีมีเหตุฉุกละหุกนิดหน่อย เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนที่จะออกเดินทางไปกับพวกคุณภรรยาของเขาเพิ่งจะคลอดลูก เราก็เลยสลับหน้าที่กันชั่วคราว คงไม่มีอะไรติดขัดนะครับ หากผมจะขออาสาพาพวกคุณออกเดินทางในครั้งนี้ด้วย”
“ด้วยความยินดีค่ะ” ชลธิชาไม่ขัดข้อง
“เอ่อ นี่พี่บรรพตเจ้าหน้าลาดตระเวนที่เก่งที่สุดในภูเขาของเราหลงครับ” วรเดชไม่ลืมที่จะแนะนำชายวัยกลางคน ใบหน้ากร้านไปด้วยฝ้าแดดที่อยู่ในชุดคล้ายทหารพรานที่มาด้วยกัน และจุดเด่นชวนสะดุดตาของชายผู้นี้เห็นจะเป็นปืนลูกซองยาวสะพายอยู่ด้านหลัง
“สวัสดีครับทุกๆ คน ยินดีต้อนรับสู่ภูเขาหลงครับ” เสียงผู้ถูกแนะนำตัวดังขึ้น และถ้าพิจารณาดีๆ น้ำเสียงของเขาออกจะอ่อนโยนผิดจากใบหน้าและแววตาอย่างชัดเจน
“สวัสดีค่ะคุณบรรพต”
ชลธิชาทักทายเป็นคนแรก ขณะที่เอกธนาแม้จะยิ้มทักทายเช่นกัน แต่ความรู้สึกของเขากลับแตกต่างจากหญิงสาวโดยสิ้นเชิง
เขารู้สึกไม่ถูกชะตากับเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ทั้งสองอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะสายตาของเจ้าหน้าที่ประสานงานนักท่องเที่ยวที่อาสาออกเดินป่าตามหาผู้สูญหาย ขณะที่ชลธิชากลับไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เธอขอแค่ให้การออกติดตามในครั้งนี้พบตัวผู้สูญหายก็เป็นพอ
“ถ้าพร้อมแล้วผมว่าเราออกเดินทางกันเถอะครับ น้ำค้างตามยอดหญ้าเริ่มจะแห้งแล้ว”