กรมธนารักษ์ทำงามหน้า ลดค่าเช่าที่ดินเชิงพาณิชย์ให้บริษัทเอเชียน มารีน ทำให้รัฐเสียหายกว่า 60 ล้านบาท คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชงเรื่องคัดค้านกรณีดังกล่าวเสนอต่อปลัดกระทรวงการคลัง และให้ตั้งกรรมการสอบเพิ่มเติม “รังสรรค์” รอรายงาน รมว.คลัง หลังกลับจากโรดโชว์
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องการพิจารณาที่ราชพัสดุ แปลงที่ สป.668 ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ให้แก่บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) เช่าที่ราชพัสดุ ที่มีนายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นประธานของคณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว ตามคำสั่งของนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยขอคัดค้านเรื่องการเช่าที่ราชพัสดุดังกล่าวและขอให้ปลัดกระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เนื่องจากเห็นว่าการอนุมัติให้เช่าที่ราชพัสดุดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะทำให้กรมธนารักษ์เสียผลประโยชน์มากกว่า 60 ล้านบาท
จากการตรวจสอบเอกสารและผลการหารือของคณะกรรมการฯร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกรมธนารักษ์ ระบุว่าเจ้าของสัญญาที่เช่าที่ราชพัสดุเดิมคือชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย ได้ขอเช่าที่เพื่อทำสะพานปลา และต่อมาได้นำที่ดินดังกล่าวไปเช่าช่วงให้แก่บริษัทเอเชียน มารีนเพื่อดำเนินการเป็นอู่ต่อเรือขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากสัญญาเช่าได้หมดอายุลง ทางกรมธนารักษ์จึงเรียกผู้เช่ารายเดิมมาทำสัญญาก่อนตามธรรมเนียมปฏิบัติของกรมธนารักษ์ แต่ชุมนุมสหกรณ์ฯ ไม่ได้ติดต่อกลับให้ทันภายในระยะเวลาที่กรมธนารักษ์กำหนด ทำให้กรรมสิทธิ์ในสัญญาเช่าหมดไป กรมธนารักษ์จึงเปิดให้ผู้ที่มีความสนใจเข้ามาประมูลพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งนี้ ในระหว่างการติดต่อเพื่อทำสัญญาใหม่ ก็ปรากฏว่าบริษัทเอเชียน มารีน ได้มีความประสงค์เป็นผู้เช่าจากกรมธนารักษ์โดยตรง เพราะได้ลงทุนก่อสร้างและพัฒนาที่ดินบริเวณดังกล่าว เป็นอาคารสำนักงานและอู่ต่อเรือ จำนวน 13 หลัง มูลค่า 50-60 ล้านบาท จึงหวังว่าจะได้ดำเนินธุรกิจบนที่ดินดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากมีการทำสัญญาใหม่ระหว่างบริษัทเอเชียน มารีนกับกรมธนารักษ์ ที่มีนายนริศ ชัยสูตร เป็นอธิบดีกรมธนารักษ์ ได้มีหนังสือร้องเรียนมายังกระทรวงการคลังว่ากรมธนารักษ์อนุมัติให้เช่าที่ราชพัสดุโดยไม่ชอบและส่อไปในทางทุจริต เนื่องจากสัญญาเช่าใหม่ได้ตกลงเช่าในอัตราต่ำสุด ทำให้กรมธนารักษ์เสียผลประโยชน์
กล่าวคือ ตามปกติกรมธนารักษ์ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลที่ราชพัสดุทั่วประเทศ มีกฎระเบียบในการให้เช่า 2 กรณี ในกรณีที่ 1 การเช่าที่ดินเพื่ออยู่อาศัย ผู้เช่าต้องเสียค่าธรรมเนียมที่ดินในอัตรา 2% คูณกับจำนวนปี เช่น เช่าที่ดิน 30 ปี ต้องเสียค่าธรรมเนียมคิดรวมทั้งหมดตลอดอายุสัญญาการเช่าคือ 60% ส่วนกรณีที่ 2 หากเป็นการเช่าเชิงพาณิชย์ ที่ดิน 2 ไร่ขึ้นไป จะเสียค่าเช่าในอัตราต่ำที่สุดที่ 30% ขึ้นไปจนตลอดอายุสัญญา (จ่ายครั้งเดียวจบ) โดยไม่ต้องคูณจำนวนปี เนื่องจากอาคารและสิ่งก่อสร้างเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าแล้ว กรรมสิทธิ์ทั้งหมดจะตกเป็นของกรมธนารักษ์
ทั้งนี้ ปรากฏว่าในการทำสัญญาเช่าที่ราชพัสดุของบริษัทเอเชียน มารีน ได้ทำในกรณีที่ 2 เป็นการเช่าเชิงพาณิชย์ โดยราคาประเมินที่ดินแปลงดังกล่าว มีมูลค่า 200 ล้านบาท ทางบริษัทเอเชียน มารีน ได้เสียค่าธรรมเนียมการเช่าที่ราชพัสดุในอัตราที่ต่ำที่สุด 30% คิดเป็นเงิน 60 ล้านบาท โดยตกลงจะจ่ายเงินก้อนแรก 30 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจ่ายให้แก่กรมธนารักษ์เป็นรายปีบวกดอกเบี้ย จนครบอายุสัญญาการเช่า 30 ปี แต่การคิดอัตราค่าเช่าที่ราชพัสดุดังกล่าวพบว่าสวนทางกับนโยบายของกระทรวงการคลัง ในเรื่องการเพิ่มมูลค่าให้แก่ที่ราชพัสดุ เนื่องจากกรมธนารักษ์เรียกเก็บค่าเช่าจากบริษัทเอเชียน มารีน ในอัตราต่ำที่สุด คือ 30% ทั้งๆที่ที่ดินบริเวณดังกล่าวมีความเจริญขึ้นมาในระดับหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ที่ทางชุมนุมสหกรณ์ฯเช่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ดังนั้น อัตราค่าเช่าควรที่จะมากกว่า 30% อีกทั้งการอนุมัติให้เช่าที่ราชพัสดุดังกล่าวยังไม่ได้บวกรวมกับทรัพย์สินที่มีเพิ่มเติมจากสัญญาเช่าเดิมคือ อาคารสำนักงานและโรงงานที่เป็นอู่ต่อเรืออีก 13 หลังซึ่งมีมูลค่าอีกประมาณ 50-60 ล้านบาท ทำให้กรมธนารักษ์เสียผลประโยชน์ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯยังระบุในเอกสารสำคัญที่รายงานต่อปลัดกระทรวงการคลังว่า การพิจารณาเรื่องดังกล่าว ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบให้มีการอนุมัติประมูลจากคณะกรรมการที่ราชพัสดุ ขณะที่ในอดีตที่ผ่านมาหากมีการเปิดประมูลที่ราชพัสดุแปลงใดก็ตาม คณะกรรมการที่ราชพัสดุจะเป็นผู้พิจารณาในทุกกรณีไม่มีการยกเว้น
ด้านนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว จากคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในวันจันทร์ที่ 13 ต.ค.นี้ จะนำเรื่องดังกล่าวหารือกับ รมว.คลัง ภายหลังจากที่ รมว.คลังเดินทางกลับจากโรดโชว์ ที่ประเทศสหรัฐฯ.
ที่มา
http://www.thairath.co.th/content/455824
ข่าวไทยรัฐเมื่อวันที่ 10 ตค. 57
จากข่าวนี้ จะมีผลกระทบอะไรกับ ASIMAR ไหมครับ?
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องการพิจารณาที่ราชพัสดุ แปลงที่ สป.668 ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ให้แก่บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) เช่าที่ราชพัสดุ ที่มีนายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นประธานของคณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว ตามคำสั่งของนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยขอคัดค้านเรื่องการเช่าที่ราชพัสดุดังกล่าวและขอให้ปลัดกระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เนื่องจากเห็นว่าการอนุมัติให้เช่าที่ราชพัสดุดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะทำให้กรมธนารักษ์เสียผลประโยชน์มากกว่า 60 ล้านบาท
จากการตรวจสอบเอกสารและผลการหารือของคณะกรรมการฯร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกรมธนารักษ์ ระบุว่าเจ้าของสัญญาที่เช่าที่ราชพัสดุเดิมคือชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย ได้ขอเช่าที่เพื่อทำสะพานปลา และต่อมาได้นำที่ดินดังกล่าวไปเช่าช่วงให้แก่บริษัทเอเชียน มารีนเพื่อดำเนินการเป็นอู่ต่อเรือขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากสัญญาเช่าได้หมดอายุลง ทางกรมธนารักษ์จึงเรียกผู้เช่ารายเดิมมาทำสัญญาก่อนตามธรรมเนียมปฏิบัติของกรมธนารักษ์ แต่ชุมนุมสหกรณ์ฯ ไม่ได้ติดต่อกลับให้ทันภายในระยะเวลาที่กรมธนารักษ์กำหนด ทำให้กรรมสิทธิ์ในสัญญาเช่าหมดไป กรมธนารักษ์จึงเปิดให้ผู้ที่มีความสนใจเข้ามาประมูลพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งนี้ ในระหว่างการติดต่อเพื่อทำสัญญาใหม่ ก็ปรากฏว่าบริษัทเอเชียน มารีน ได้มีความประสงค์เป็นผู้เช่าจากกรมธนารักษ์โดยตรง เพราะได้ลงทุนก่อสร้างและพัฒนาที่ดินบริเวณดังกล่าว เป็นอาคารสำนักงานและอู่ต่อเรือ จำนวน 13 หลัง มูลค่า 50-60 ล้านบาท จึงหวังว่าจะได้ดำเนินธุรกิจบนที่ดินดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากมีการทำสัญญาใหม่ระหว่างบริษัทเอเชียน มารีนกับกรมธนารักษ์ ที่มีนายนริศ ชัยสูตร เป็นอธิบดีกรมธนารักษ์ ได้มีหนังสือร้องเรียนมายังกระทรวงการคลังว่ากรมธนารักษ์อนุมัติให้เช่าที่ราชพัสดุโดยไม่ชอบและส่อไปในทางทุจริต เนื่องจากสัญญาเช่าใหม่ได้ตกลงเช่าในอัตราต่ำสุด ทำให้กรมธนารักษ์เสียผลประโยชน์
กล่าวคือ ตามปกติกรมธนารักษ์ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลที่ราชพัสดุทั่วประเทศ มีกฎระเบียบในการให้เช่า 2 กรณี ในกรณีที่ 1 การเช่าที่ดินเพื่ออยู่อาศัย ผู้เช่าต้องเสียค่าธรรมเนียมที่ดินในอัตรา 2% คูณกับจำนวนปี เช่น เช่าที่ดิน 30 ปี ต้องเสียค่าธรรมเนียมคิดรวมทั้งหมดตลอดอายุสัญญาการเช่าคือ 60% ส่วนกรณีที่ 2 หากเป็นการเช่าเชิงพาณิชย์ ที่ดิน 2 ไร่ขึ้นไป จะเสียค่าเช่าในอัตราต่ำที่สุดที่ 30% ขึ้นไปจนตลอดอายุสัญญา (จ่ายครั้งเดียวจบ) โดยไม่ต้องคูณจำนวนปี เนื่องจากอาคารและสิ่งก่อสร้างเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าแล้ว กรรมสิทธิ์ทั้งหมดจะตกเป็นของกรมธนารักษ์
ทั้งนี้ ปรากฏว่าในการทำสัญญาเช่าที่ราชพัสดุของบริษัทเอเชียน มารีน ได้ทำในกรณีที่ 2 เป็นการเช่าเชิงพาณิชย์ โดยราคาประเมินที่ดินแปลงดังกล่าว มีมูลค่า 200 ล้านบาท ทางบริษัทเอเชียน มารีน ได้เสียค่าธรรมเนียมการเช่าที่ราชพัสดุในอัตราที่ต่ำที่สุด 30% คิดเป็นเงิน 60 ล้านบาท โดยตกลงจะจ่ายเงินก้อนแรก 30 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจ่ายให้แก่กรมธนารักษ์เป็นรายปีบวกดอกเบี้ย จนครบอายุสัญญาการเช่า 30 ปี แต่การคิดอัตราค่าเช่าที่ราชพัสดุดังกล่าวพบว่าสวนทางกับนโยบายของกระทรวงการคลัง ในเรื่องการเพิ่มมูลค่าให้แก่ที่ราชพัสดุ เนื่องจากกรมธนารักษ์เรียกเก็บค่าเช่าจากบริษัทเอเชียน มารีน ในอัตราต่ำที่สุด คือ 30% ทั้งๆที่ที่ดินบริเวณดังกล่าวมีความเจริญขึ้นมาในระดับหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ที่ทางชุมนุมสหกรณ์ฯเช่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ดังนั้น อัตราค่าเช่าควรที่จะมากกว่า 30% อีกทั้งการอนุมัติให้เช่าที่ราชพัสดุดังกล่าวยังไม่ได้บวกรวมกับทรัพย์สินที่มีเพิ่มเติมจากสัญญาเช่าเดิมคือ อาคารสำนักงานและโรงงานที่เป็นอู่ต่อเรืออีก 13 หลังซึ่งมีมูลค่าอีกประมาณ 50-60 ล้านบาท ทำให้กรมธนารักษ์เสียผลประโยชน์ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯยังระบุในเอกสารสำคัญที่รายงานต่อปลัดกระทรวงการคลังว่า การพิจารณาเรื่องดังกล่าว ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบให้มีการอนุมัติประมูลจากคณะกรรมการที่ราชพัสดุ ขณะที่ในอดีตที่ผ่านมาหากมีการเปิดประมูลที่ราชพัสดุแปลงใดก็ตาม คณะกรรมการที่ราชพัสดุจะเป็นผู้พิจารณาในทุกกรณีไม่มีการยกเว้น
ด้านนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว จากคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในวันจันทร์ที่ 13 ต.ค.นี้ จะนำเรื่องดังกล่าวหารือกับ รมว.คลัง ภายหลังจากที่ รมว.คลังเดินทางกลับจากโรดโชว์ ที่ประเทศสหรัฐฯ.
ที่มา http://www.thairath.co.th/content/455824
ข่าวไทยรัฐเมื่อวันที่ 10 ตค. 57