สิ่งที่ได้จากการเป็นโรคซึมเศร้า

หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนึง  หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า  เรื่องเล่าจากยอดภูเขาน้ำแข็ง  เป็นหนังสือเขียนแชร์เรื่องราวของตนเองที่ต่อสู้กับโรคซึมเศร้า มาถึง 7 ปีจนกระทั่งตอนนี้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ  เราไปสะดุดเนื้อหาตอนนึง  ที่ผู้เขียนเขียนว่าจู่ๆก็รู้สึกขอบคุณที่เป็นโรคซึมเศร้า  เลยไปปรึกษาจิตแพทย์เกี่ยวกับความคิดอันนี้  จิตแพทย์บอกว่าเป็นสัญญาณที่ดี  อาการกำลังดีขึ้น  พออ่านแล้วเห้ย ตรงกับตัวเองเลยอ่ะ  แม้ว่าโรคซึมเศร้าจะส่งผลให้เราต้องพลาดโอกาสดีๆในชีวิตไปมากมาย  เช่น สอบได้ทุนไปเรียนเมืองนอกแต่ไปไม่ได้เพราะป่วยเป็นโรคซึมเศร้า  หรือสร้างความลำบากให้ชีวิตมากมาย เช่น อาการนอนไม่หลับทำให้เราเหนื่อยกับการไปเรียนมาก  แต่วันนี้เราคิดว่าโรคซึมเศร้าได้ให้อะไรหลายอย่างกับเรา  วันนี้จะมาขอแชร์มุมมองด้านบวกของโรคซึมเศร้าบ้างค่ะ
    
1.ทำให้เข้าใจผู้โรคทางจิตเวชและรู้ว่าเป็นโรคที่ใกล้ตัวมาก
เราคิดว่าเราก็เป็นเหมือนหลายๆคน  ที่แต่ก่อนแทบไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับโรคทางจิตเวชเลย  โรคที่คุ้นหูและได้ยินบ่อยล้วนแต่เป็นโรคทางกายทั้งสิ้น เช่น โรคเบาหวาน  โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ไม่เคยได้ยินเลย โรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ โรคแพนิค  โรคจิตเภท จนกระทั่งวันนึงที่พบว่าความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเปลี่ยนไป  ไม่เหมือนเดิม และเฝ้าหาคำตอบ  จึงพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้า  หลังจากที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็ได้ไปศึกษาทำความเข้าใจทำให้เข้าใจผู้ป่วยทางจิตเวชมากขึ้น เราพบว่าพวกเขาไม่ได้อ่อนแอเลย  แต่พบว่าพวกเขาเข้มแข็งมาก  เพราะโรคนี้ต้องเผชิญกับความทรมาณอย่างรุนแรง  หลายคนที่ทนกับอารมณ์ความทรมาณเหล่านี้ไม่ไหว ก็ทำได้เพียงแค่ปลิดชีวิตตัวเองไป  สำหรับคนที่อดทนต่อสู้มาได้ เป็นคนที่เข้มแข็งมาก  ถ้าหาเราไม่ป่วยเป็นโรคนี้เอง  เราคงไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และคิดว่าพวกเขาเป็นคนอ่อนแอ คิดลบ ไม่ปล่อยวาง
จาการศึกษาข้อมูลยังพบว่าต่อไป  โรคนี้จะเป็นโรคอันดับสองรองจาก โรคหลอดเลือดและหัวใจ (อ้างอิง   http://www.hiso.or.th/hiso/health_event/ghealth_event16.php)  ก็แน่หล่ะคนยุคหลังๆวัตถุเจริญขึ้นก็จริง สะดวกขึ้นก็จริง แต่คนกลับเป็นทุกข์กว่าเดิม ต้องใช้ชีวิตอย่างรีบเร่ง เคร่งเครียด เพื่อหางินมาซื้อวัตถุ นอกจากนั้นคนไทยก็ป่วยเป็นโรคนี้เยอะ แต่ไม่ไปรับการรักษา (อ้างอิง http://www.thairath.co.th/content/297522)


2.ทำให้รู้ว่าปัญหาเล็กก็ต้องรู้จักปล่อยวาง ส่วนบางปัญหาต้องเรียนรู้ที่จะตอบโต้
เราเป็นคนสุดโต่ง  เคยสุดโต่งมาทั้งสองด้านคือ  ใครที่ทำอะไรผิดเป็นเรื่องหมด  กับไม่ตอบโต้อะไรเลย  ไม่ว่าใครจะทำอะไรยังไงกับเราก็ตาม  สมัยเด็กๆเราเป็นคนยึดมั่นในความถูกต้องมาก  และไม่กลัวใคร  ถ้าใครที่เราคิดว่าเขาทำไม่ถูกต้องเราต้องด่า  หรือมีเรื่องทันที  เช่นเพื่อนไม่ช่วยทำความสะอาดตามที่ครูมอบหมาย เราก็ต้องด่าพวกนั้น  หรือเพื่อนผู้ชายแทรกแถว เราก็ไม่กลัว จนเป็นเรื่องได้ตีกัน ซึงเราก็ไม่เคยกลัวแม้จะต้องตีกับผู้ชายก็ตาม  แต่จนวันนนึงเรามีปัญหากับเพื่อนผู้ชายคนนึงจนถึงขั้นตีกัน  ผู้ชายคนนั้นก็โกรธเรามาก ตีเราแบบไม่รามือสุดท้ายผู้หญิงก็สู้แรงผู้ชายไม่ได้ เราบอบช้ำไปทั้งตัว  และเจ็บใจมากด้วยเพราะเป็นฝ่ายถูก เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้รู้สึกเหนื่อยใจ ว่าทำไมเวลามีปัญหากับใครมันเหนื่อยใจเหนื่อยกายจัง  ต่อไปเราจะช่างมันเถอะบ้าง เราจะไม่มีเรื่องกับใครอีกแล้ว หลังจากนั้นเราก็กลายเป็นคนสุดโต่งอีกด้านนึงไปเลย คือใครจะมาทำไรเราก็จะอยู่เฉยๆ ไม่ตอบโต้ ตอบโต้ไปก้เหนื่อยเปล่า  จนเราอยู่ ม ปลาย มีคนอิจฉาเราแกล้งเราตลอด เราก็อยู่เฉยๆพูดดีทำดีกับคนที่แกล้งเราเหมือนเดิม  หวังว่าความดีจะทำให้คนๆนั้นสงสารและเลิกแกล้งเราสักที แต่ไม่เลย คนๆนั้นกลับยิ่งได้ใจ เราจึงโดนแกล้งอย่างต่อเนื่องสามปีเต็ม  และป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และหวาดระแวงอย่างรุนแรง จากประสบการณืที่ผ่านมาทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเรื่องบ้างเรื่องที่มันเป็นเรื่องเล็กๆก็ไม่ต้องไปใส่ใจ ไม่ต้องไปมีเรื่องให้ตัวเองทุกข์ใจวะเปล่า  แต่เรื่องบางเรื่องกับคนเลวที่คิดไม่ได้แม้เราจะทำดีกับเค้าแล้วก็ตาม เราต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องตนเองอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่ปล่อยให้ตนเองถูกกระทำจนเป็นโรคซึมเศร้าแบบนี้  นี่คือทางสายกลางที่ดีที่สุด


    3.ทำให้เราได้คุยกับคนในครอบครัวมากขึ้น สนิทมากขึ้น และเห็นความรักอันเหลือล้นที่ครอบครัวมอบให้
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเราจะมีปัญหาอะไร  เราก็จะคิดคนเดียว แก้คนเดียว เพราะกลัวพ่อแม่จะว่าว่าปัญหาเล็กๆแค่นี้ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ จนเราป่วยเป็นซึมเศร้าอย่างรุนแรง  เราก็พบว่าเราต้องกล้าเปิดใจกับครอบครัวแล้วหล่ะ ไม่งั้นต้องแย่แน่ๆ  อย่างแรกที่ต้องเปิดใจคือบอกว่าจิตใจเราตอนนี้ไม่ปกติแล้ว ช่วยเหลือที  พ่อแม่จึงพาเราไปพบจิตแพทย์  สองคือปัญหาที่เราโดนเพื่อนทำร้ายมันจะไม่ทำให้เราต้องป่วยถึงขั้นเป็นซึมเศร้าเลย ถ้าเราไปบอกพ่อแม่ว่าแต่ละวันที่ไปโรงเรียนเราต้องเจอกับอะไรบ้าง  หลังจากนั้นเราก็พยายามฝึกตัวเองให้คุยกับพ่อแม่  จนตอนนี้ทุกเรื่องพ่อแม่รับทราบหมดแม้กระทั่งปัญหาหัวใจ  จากการที่ได้คุยกับพ่อแม่เรารู้สึกเห็นด้วยกับคำว่าผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน  เพราะพ่อแม่มักจะมีข้อคิดดีๆที่เด็กอย่างเราคิดไม่ออก  ทำให้ปัญหาทุกปัญหา กลายเป็นเรื่องเล็กไปหมด สัมพันธภาพของเรากับคนในครอบครัวตอนนี้ดีกว่าตอนที่เราไม่ป่วยซะอีก
    

4.ทำให้เราได้รู้จักธรรมะ รัตนะอันล้ำค่าของประเทศไทย
เราก็เคยเป็นเหมือนชาวพุทธทั่วไป  ที่คิดว่าชาวพุทธอย่างเราสิ่งที่ต้องทำก็คือ การตักบาตร การไปวัดทำบุญ  อาจจะสวดมนต์บ้าง  พระมีไว้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานศพ งานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่  ไม่เคยรู้ว่าในศาสนาพุทธมันลึกซึ้งและมีอะไรดีกว่านั้นอีกเยอะ  นั่นก็คือธรรมะ  ซึ่งธรรมะก็คือธรรมชาติ สิง่ที่เราต้องพานพบในชีวิต อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศเ เสื่อม ยศ สุข ทุกข์ สรรเสริญนินทา  การรู้จักธรรมชาติของชีวิตเหล่านี้  ทำให้เราทุกข์น้อยลง  ไม่ไปยึดติดกับคำด่า คำยกย่อง ที่เป็นเพียงสิ่งธรรมดาที่ทุกชีวิตต้องเผชิญ  เห็นความสุขและความทุกข์เป็นของธรรมดาที่ผ่านมาและผ่านไป  รวมถึงได้เอากายและใจไปปฏิบัติธรรม เพื่อคลายความยึดมั่นของตนเอง  ธรรมะทำให้เรารู้สึกโชคดีมากที่ได้เกิดในประเทศไทย ประเทศที่พุทธศาสนาเจริญมาก  แม้ใครจะว่าประเทศไทยไม่เจริญเหมือนประเทศอื่นๆ  แต่เราก็ดีใจ เพราะเราอยู่ในประเทศไทยเราจึงได้รู้จักพุทธศาสนา


    5.ได้รู้ว่าตัวเองมีความอดทนเข้มแข็งกว่าที่คิด
เราเคยมีอาการทางจิตอย่างรุนแรง  รู้สึกกลัวจะมีคนมาแกล้งมาทำร้าย  อาการนี้ทำห้เรานอนไม่หลับถึง  7 วัน ก่อนหน้านี้เราเคยคิดว่าถ้าต้องนอนไม่หลับขนาดนั้นเราคงตายไปแล้ว  แต่พอมันเกิดขึ้นกับเราจริงๆ บอกได้เลยว่ามันทรมาณมากทุกข์แบบเหมือนนรก  ความเครียดยังทำให้แต่ละวันเลือกำเดาไหลออกมาเป็นขวด  แต่ด้วยความอดทน ของเราเรากผ่านจุดนั้นมาได้  และหายใจมาถึงทุกวันนี้ และเข้มแข็งกว่าเดิม


    6.กลายเป็นคนที่มีวินัยในการออกกำลังกายและสุขภาพดีมากๆ
เราเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มนึง  ว่าการออกกำลังกายจะช่วยเยี่ยวยาโรคซึมเศร้าได้  เพราะเวลาที่เราออกกำลังกาย  สารอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขจะหลั่งออกมา  พอเรารู้ปุ๊ปด้วยความที่อยากหายเราก็เลยไปเต้นแอโรบิกทุกวันจนเราติด  วันไหนไม่ได้ไปจะครั่นเนื้อครั่นตัว ทุกวันนี้แม้อากาศจะเปลี่ยนแปลงบ่อย  เพื่อนเป็นหวัดเป็นไข้ ร่างกายเราก็ยังแข็งแรงไม่ป่วยเลย


7.ทำให้เราหัดเขียนบทความ
เราเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก  ทั้งชีวิตหนังสือที่อ่านคงเกินพันเล่มแล้ว  ตามสเต็ปหลังจากที่อ่านมามาก เราก็หวังว่าประสบการณ์ในการอ่านจะได้นำมาใช้ในการเป็นนักเขียนที่ดี เพราะคนอ่านเยอะย่อมมีสำนวนในการเขียนที่ดีที่ได้มาจากการอ่าน  แต่จนแล้วจนรอด ชีวิตที่ผ่านมาก็ไม่ได้เขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เขียนนิยายไม่เคยจบเรื่อง  จนเราป่วยเป็นซึมเศร้านี่แหละ  เราจึงเริ่มเขียนบทความต่างๆมากมายเพื่อแชร์ประสบการณ์  เนื่องจากเราเคยไปอ่านบล็อกของคนเป็นซึมเศร้าคนนึง  เราอ่านแล้วรู้สึกว่ามีกำลังใจมาก  อย่างน้อยก็รู้สึกมีเพื่อนรู้สึกมีคนเข้าใจ  เราก็เลยอยากเขียนมั่ง จนตอนนี้เราก็เขียนเรื่องเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าลงพันทิปมาหลายเรื่องล่ะ


8..ทำให้เราได้พบประสบการณ์แปลกมั้ย เรียนรู้อะใหม่ๆ
ตั้งแต่เราเป็นโรคซึมเศร้า  เพื่อที่จะให้ตัวเองกัลป์มาเป็นคนปกติ เราก็ได้ลองอะไรหลายอย่าง เช่น สะกดจิตระลึกอดีตชาติ ลองทานวิตามินบี น้ำมันปลา ทานชาเจียวกู่หลาน ทานสมุนไพรจีน ฝังเข็ม  ไปพบจิตแพทย์  กินยาทางจิตเวช และเจอผลข้างเคียงมากมาย เช่นเบื่ออาหาร ท้องผูก  ได้พูดคุยและเปลี่ยนประสบการณ์ กับผู้ป่วยจิตเวชคนอื่นๆ ก็สนุกดีนะ
ทุกวันนี้แม้เราจะยังไม่หายจากโรคซึมเศร้า  แต่เราก็มีทัศนคตืใหม่กับมัน  ไม่ได้รู้สึกแย่ว่าทำไมต้องเป็นกูด้วยว่ะ ที่เป็นโรคซึมเศร้า เรารู้สึกว่าเราโชคดี  ไม่ได้คิดแบบโกหกให้กำลังใจตัวเองนะ  แต่เรารู้สึกดีกับมันจริงๆ กับประสบการณ์ที่มันให้เรามา  เราคิดว่าชีวิตเกิดมาเพื่อให้เราเรียนรู้  เพื่อให้เราก้าวไปสู่จุดที่ดีที่สุด  ถ้าบทเรียนไหนเรายังไม่เข้าใจ ยังสอบไม่ผ่าน มันก็จะส่งบทเรียนมาอีก ถ้าไม่เข้าใจลองนึกถึงคนที่อกหัก ซ้ำดู วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีแล้วที่เราจะได้บทเรียนจากการเป็นโร๕ซึมเศร้าและก้าวผ่านมันไป
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่