ด้วยเหตุเพียงแค่ ผม(จ้าวนครเมฆขาว) กล่าวตามความเป็นจริงว่า สัมมาทิฐิ มี ๒ ระดับ คือ (๑) สัมมาทิฐิระดับชาวบ้าน
และ (๒) สัมมาทิฐิที่เป็นองค์ของมรรค ก็ถึงกับทำให้ใครบางคน เกิดอาการ "สติแตก" เข้ามา ด่าว่า เสียๆ หายๆ
ว่าเป็นควายบ้าง อะไรบ้าง ตามแต่เขาจะคิดจินตนาการฟุ้งซ่านไปได้ !
ที่เป็นประเด็นปัญหา ก็คือ คนๆ นี้ เขาอ้างขึ้นมาว่า สัมมาทิฐิทั้ง ๒ แบบนั้น คือ โลกิยสัมมาทิฐิ และ โลกุตตรสัมมาทิฐิ
ล้วนเป็นองค์แห่งมรรค(มีองค์ ๘) ด้วยกันทั้งคู่ โดยกล่าวคัดค้านว่า ผู้ที่กล่าวเป็นอย่างอื่น เกิดจากความเข้าใจผิด
เป็นการสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนา
ทั้งนี้ นายคนนั้น ได้กล่าว "เชิญชวน" ในทำนองว่า ถ้ามีหลักฐานยืนยันมติของตน ก็ให้นำมาแสดง
โดยมีเงื่อนไขเพียงประการเดียว ก็คือ ให้ใช้หลักฐานชั้นพุทธพจน์เท่านั้น ชั้นสาวก ไม่เอา
********************************************************************************
ช่างน่าขัน ด้วยเหตุว่า หลักฐานชิ้นแรก ที่นายคนนี้ ยกขึ้นอ้าง ก็คือ มหาจัตตารีสกสูตร
น่าขันตรงไหน ?
ที่มันน่าขัน ก็เพราะ เพียงแค่พระสูตรนี้เพียงพระสูตรเดียว ก็สามารถ อธิบายข้อเท็จจริงต่างๆ ได้จนหมดสงสัยแล้ว นะครับ
ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงสังเกต และ พิจารณา พระสูตร นี้ให้ถี่ถ้วน ด้วยเถิดว่า .....
(๑) พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัมมาทิฐิ มี ๒ อย่าง คือ ..............
"สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑
สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค อย่าง ๑"
ก็จากพระพุทธดำรัสนี้ ก็แยกแยะได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่า มีแต่ โลกุตตรสัมมาทิฐิเท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นองค์มรรค
พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสเอาไว้เลยว่า สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นองค์มรรค
ดังนั้น นายคนนั้น จึงควรแสดง "หลักฐาน" ชั้นพุทธพจน์ ให้เห็นจริงด้วยว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ที่ใดกันว่า
สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ .......... เป็นองค์มรรค ?
ขออนุญาต สารภาพตามตรงว่า ผมไม่เคยเห็น พระพุทธดำรัสดังกล่าวนี้ มาก่อนเลย
ดังนั้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นายนั่น จะสามารถนำหลักฐานมาแสดงให้เห็นจริง เพื่อเป็นการ "เปิดหูเปิดตา"
ให้กับผม(จ้าวนครเมฆขาว) และเพื่อนสมาชิกในโต๊ะศาสนา ด้วยนะครับ !
********************************************************************************
(๒) พระพุทธเจ้า ยังได้ตรัสอธิบายต่อไปอีกว่า สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค หมายถึง ........
"ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบ
องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วย อริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล"
ต่อให้พิจารณาอย่างไรๆ ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ก็มิอาจจะสามารถเข้าใจไปได้อย่างไรเลยว่า อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ ฯลฯ
จะเป็น "ธรรม" ในระดับเดียวกันกับเรื่อง "โลกนี้ โลกหน้า ทาน ยัญ บวงสรวง ฯลฯ" ไปได้เลย
เพราะเรื่องในทำนองนี้ มันไม่ใช่ "โลกุตตระ" สักหน่อย (?)
อีกประการหนึ่ง ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อนาสวะสัมมาทิฐินี้ หมายถึง สัมมาทิฐิของผู้เจริญอริยมรรคอยู่
ซึ่งในขณะนั้นย่อมปราศจาก สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา แล้ว โลกนี้โลกหน้า ทาน ยัญ บวงสรวง ฯลฯ มันจะ "งอก" ขึ้นมาได้อย่างไร ?
เอาอย่างนี้สิครับ คุณคนนั้น(ล็อกอินตัวเลข) ก็กรุณา ยกหลักฐานชั้นพุทธพจน์ ขึ้นมาแสดงให้เห็นจริงเห็นจังด้วยว่า
พระพุทธเจ้า ได้เคยตรัสเอาไว้อย่างนี้หรือว่า ....... "โลกนี้โลกหน้า ทาน ยัญ บวงสรวง ฯลฯ" เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ?
.
.
.
พอจะเข้าใจ "คำถาม" ไหมครับ ?
.
.
.
ด้วยเหตุที่ว่า ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ไม่เคยพบมาก่อนว่า พระพุทธเจ้า ได้ตรัสเอาไว้ที่ไหนว่า ...........
(๑) "สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์" ........... เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค
ดังนั้น ถ้าคุณมั่นใจว่ามีหลักฐานดังว่า จงยกขึ้นแสดงให้เห็นจริง ด้วยนะครับ
(๒) "ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชาแล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วมีอยู่
โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ
ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่" ........... เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค
ดังนั้น ถ้าคุณมั่นใจว่ามีหลักฐานดังว่า จงยกขึ้นแสดงให้เห็นจริง ด้วยนะครับ
เพราะถ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานจากพระสูตรพระวินัย ให้เห็นอย่างชัดแจ้งได้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นจริง
จะมีความหมายว่า ใครก็ตามที่กล่าวในทำนองว่า สัมมาทิฐิทั้ง ๒ อย่างนั้นเป็นองค์แห่งมรรค(ทั้งคู่)
ย่อมเป็นการกล่าวเท็จ เป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย ซึ่งย่อมประสบบาปกรรม มิใช่น้อย !
ชัดเจนแล้วนะครับ
สวัสดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า .......... อนาสวะสัมมาทิฐิ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์มรรค !
และ (๒) สัมมาทิฐิที่เป็นองค์ของมรรค ก็ถึงกับทำให้ใครบางคน เกิดอาการ "สติแตก" เข้ามา ด่าว่า เสียๆ หายๆ
ว่าเป็นควายบ้าง อะไรบ้าง ตามแต่เขาจะคิดจินตนาการฟุ้งซ่านไปได้ !
ที่เป็นประเด็นปัญหา ก็คือ คนๆ นี้ เขาอ้างขึ้นมาว่า สัมมาทิฐิทั้ง ๒ แบบนั้น คือ โลกิยสัมมาทิฐิ และ โลกุตตรสัมมาทิฐิ
ล้วนเป็นองค์แห่งมรรค(มีองค์ ๘) ด้วยกันทั้งคู่ โดยกล่าวคัดค้านว่า ผู้ที่กล่าวเป็นอย่างอื่น เกิดจากความเข้าใจผิด
เป็นการสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนา
ทั้งนี้ นายคนนั้น ได้กล่าว "เชิญชวน" ในทำนองว่า ถ้ามีหลักฐานยืนยันมติของตน ก็ให้นำมาแสดง
โดยมีเงื่อนไขเพียงประการเดียว ก็คือ ให้ใช้หลักฐานชั้นพุทธพจน์เท่านั้น ชั้นสาวก ไม่เอา
********************************************************************************
ช่างน่าขัน ด้วยเหตุว่า หลักฐานชิ้นแรก ที่นายคนนี้ ยกขึ้นอ้าง ก็คือ มหาจัตตารีสกสูตร
น่าขันตรงไหน ?
ที่มันน่าขัน ก็เพราะ เพียงแค่พระสูตรนี้เพียงพระสูตรเดียว ก็สามารถ อธิบายข้อเท็จจริงต่างๆ ได้จนหมดสงสัยแล้ว นะครับ
ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงสังเกต และ พิจารณา พระสูตร นี้ให้ถี่ถ้วน ด้วยเถิดว่า .....
(๑) พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัมมาทิฐิ มี ๒ อย่าง คือ ..............
"สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑
สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค อย่าง ๑"
ก็จากพระพุทธดำรัสนี้ ก็แยกแยะได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่า มีแต่ โลกุตตรสัมมาทิฐิเท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นองค์มรรค
พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสเอาไว้เลยว่า สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นองค์มรรค
ดังนั้น นายคนนั้น จึงควรแสดง "หลักฐาน" ชั้นพุทธพจน์ ให้เห็นจริงด้วยว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ที่ใดกันว่า
สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ .......... เป็นองค์มรรค ?
ขออนุญาต สารภาพตามตรงว่า ผมไม่เคยเห็น พระพุทธดำรัสดังกล่าวนี้ มาก่อนเลย
ดังนั้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นายนั่น จะสามารถนำหลักฐานมาแสดงให้เห็นจริง เพื่อเป็นการ "เปิดหูเปิดตา"
ให้กับผม(จ้าวนครเมฆขาว) และเพื่อนสมาชิกในโต๊ะศาสนา ด้วยนะครับ !
********************************************************************************
(๒) พระพุทธเจ้า ยังได้ตรัสอธิบายต่อไปอีกว่า สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค หมายถึง ........
"ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบ
องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วย อริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล"
ต่อให้พิจารณาอย่างไรๆ ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ก็มิอาจจะสามารถเข้าใจไปได้อย่างไรเลยว่า อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ ฯลฯ
จะเป็น "ธรรม" ในระดับเดียวกันกับเรื่อง "โลกนี้ โลกหน้า ทาน ยัญ บวงสรวง ฯลฯ" ไปได้เลย
เพราะเรื่องในทำนองนี้ มันไม่ใช่ "โลกุตตระ" สักหน่อย (?)
อีกประการหนึ่ง ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อนาสวะสัมมาทิฐินี้ หมายถึง สัมมาทิฐิของผู้เจริญอริยมรรคอยู่
ซึ่งในขณะนั้นย่อมปราศจาก สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา แล้ว โลกนี้โลกหน้า ทาน ยัญ บวงสรวง ฯลฯ มันจะ "งอก" ขึ้นมาได้อย่างไร ?
เอาอย่างนี้สิครับ คุณคนนั้น(ล็อกอินตัวเลข) ก็กรุณา ยกหลักฐานชั้นพุทธพจน์ ขึ้นมาแสดงให้เห็นจริงเห็นจังด้วยว่า
พระพุทธเจ้า ได้เคยตรัสเอาไว้อย่างนี้หรือว่า ....... "โลกนี้โลกหน้า ทาน ยัญ บวงสรวง ฯลฯ" เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ?
.
.
.
พอจะเข้าใจ "คำถาม" ไหมครับ ?
.
.
.
ด้วยเหตุที่ว่า ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ไม่เคยพบมาก่อนว่า พระพุทธเจ้า ได้ตรัสเอาไว้ที่ไหนว่า ...........
(๑) "สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์" ........... เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค
ดังนั้น ถ้าคุณมั่นใจว่ามีหลักฐานดังว่า จงยกขึ้นแสดงให้เห็นจริง ด้วยนะครับ
(๒) "ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชาแล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วมีอยู่
โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ
ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่" ........... เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค
ดังนั้น ถ้าคุณมั่นใจว่ามีหลักฐานดังว่า จงยกขึ้นแสดงให้เห็นจริง ด้วยนะครับ
เพราะถ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานจากพระสูตรพระวินัย ให้เห็นอย่างชัดแจ้งได้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นจริง
จะมีความหมายว่า ใครก็ตามที่กล่าวในทำนองว่า สัมมาทิฐิทั้ง ๒ อย่างนั้นเป็นองค์แห่งมรรค(ทั้งคู่)
ย่อมเป็นการกล่าวเท็จ เป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย ซึ่งย่อมประสบบาปกรรม มิใช่น้อย !
ชัดเจนแล้วนะครับ
สวัสดี