......บทเรียนประวัติศาสตร์/การเมือง ช่วงสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์........

ขออนุญาตแตกกระทู้นี้นะครับ  http://ppantip.com/topic/32732109   เพราะเห็นตกไปมากแล้ว

ทั้งนี้ทั้งนั้น    เราต้องเปิดใจเรียนรู้ที่จะให้เครดิตต่อความเกรียงไกรของกองทัพพม่าด้วย       อย่าลืมว่าก่อนหน้าที่กรุงศรีฯ จะแตก   พม่าก็ยกทัพมาตีคราหนึ่งแล้ว(ศึกอลองพญา)     กาลเวลาผ่านไปอยุธยาเองยังชะล่าใจไม่คิดจะเอาบทเรียนที่เกือบจะพ่ายแพ้ในศึกอลองพญามาเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง(สาเหตุที่พม่าต้องยกทัพกลับเพราะเจ้าอลองพญาต้องสะเก็ดจากปืนใหญ่แตก)


ถ้าใครเคยนั่งเครื่องบิน  หรือเดินทางไปมาตามแนวตะเข็บชายแดนไทยพม่า  จะเห็นว่าภูมิประเทศเป็นภูเขาเยอะ    อันนี้ต้องชมความอุตส่าหะของพม่าที่ยกทัพข้ามเขาเป็นลูกๆ มาตั้งฐานจ่อจมูกในตำบลวิถีปืนใหญ่(สมัยโบราณ)ยิงเข้าเขตพระราชวังที่อยุธยาได้   ต้องตระหนักว่าการยกตราทัพไปตีเมืองอื่นในแต่ละครั้งไม่ใช่จู่ๆ จะยาตราเข้าไปเลย   ต้องเพรียบพร้อมเตรียมการหลายอย่าง  ทหาร  เสบียงอาหาร  ช้างม้า อาวุธ(หลับตานึกภาพการเข็นปืนใหญ่ข้ามภูเขาดู  เผลอๆ อาจจะหนักกว่ากลิ้งครกขึ้นเขาด้วยซ้ำ)


การเสียกรุงฯ ครั้งที่สอง   นักประวัติศาสตร์ไทยประเภทคลั่งชาติบอกว่ากองทัพพม่ามาแบบกองโจร !!     นี่แหละคือความใจแคบของประวัติศาสตร์ไทยที่ไม่ยอมให้เครดิตอะไรแก่ผู้ชนะ    หรือถ้าเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ...ไม่จำเป็นต้องให้เครดิตอะไรก็ได้   แค่ยอมรับความพ่ายแพ้ว่าเราตกเป็นพ่ายแพ้ก็น่าจะเพียงพอ  ไม่ใช่คอยแต่จะแก้ตัวและให้ร้ายว่าป่าเถื่อนโหดเหี้ยม   หรือแม้แต่การย้อนกลับมาด่าคนกันเองว่าเป็นหนอนบ่อนไส้ (อันนี้ก็ต้องศึกษาด้วยว่าคนอยุธยาด้วยกันแท้ๆ ทำไมต้องทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ให้แก่พม่าจนเสียกรุง   และการเสียกรุงครั้งทั้งสองครั้ง   ก็มี"แพะ" อยู่ทั้งสองเหตุการณ์)  


การยกทัพเข้าโอบกรุงศรีฯ สมัยพระเจ้าเอกทัศน์   เท่าที่ผมอ่านหลายตำราแล้วมานั่งตรึกดูว่ามันไม่ใช่การยกมาแบบกองโจรเลยแม้แต่น้อย    แต่เป็นการยกทัพที่มีการวางแผนล่วงหน้าเป็นปีก็ว่าได้    ทัพแรกยกมาตีตั้งแต่หัวเมืองเอกฝ่ายเหนือ เชียงใหม่  พิษณุโลกลงมา (เพื่อตัดกำลังไม่ให้ลงมาช่วยอยุธยาได้ทัน)   ส่วนทัพที่สองก็ตีขึ้นมาจากทางใต้   แล้วให้รอทัพแรกที่ราชบุรีลงมาถึงเสียก่อน    เป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่าปลิดแขนซ้ายขวาของอยุธยาทีเดียว   และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือ   พม่าได้ส่งกองกำลังมาอยุธยาล่วงหน้าส่วนหนึ่งเพื่อมาปลูกข้าวที่กำแพงเพชรไว้เป็นเสบียงรอกองทัพเหนือลงมา    พม่าเขาคำนวนวัน เวลา และพยากรณ์อากาศเอาไว้หมดก่อนที่จะตราทัพ    การล้อมอยุธยาไว้นานถึงเก้าเดือนนั้นเป็นตัวการันตีได้ว่าเขาเตรียมการไว้อย่างมีแบบแผน   ไม่ใช่กองโจรอย่างที่เข้าใจ.......


คราวนี้ลองย้อนกลับมาดูฝ่ายไทย
การเมืองภายในอยุธยาช่วงหลังพระเจ้าเสือสวรรคตลงมาระส่ำระสายและแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นไม่ว่างเว้น....พระเจ้าอา(พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)กับพระเจ้าหลานเปิดศึกกลางเมืองกันจนเป็นเหตุการณ์ที่ประวัติศาสตร์ไทยบันทึกว่าเป็นการนองเลือดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง...(ศึกสายเลือดครานั้นขุนนาง ทหารเอกฝีมือดีทั้งสองฝ่ายตายเยอะ   นี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่อยุธยาเริ่มอ่อนแอขาดทหารฝีมือดี) ช่วงปลายสมัยพระเจ้าบรมโกศ   การเมืองย่อยๆ ระหว่าง "เจ้าสามกรม" กับ อุปราชวังหน้าเจ้าธรรมาธิเบศร์ก็ระอุ   ถึงกับคร่าชิวิตเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์   ถัดมาก็ "ศึกสายเลือด" อีกระหว่าง เจ้าอุทุมพร กับเจ้าฟ้าเอกทัศน์    จะเห็นว่าอยุธยาช่วงนั้นอ่อนแอเหลือกำลังส่อเค้าว่าจะล้มไม่ล้มแหล่    ยิ่งการรับ "หุยตองจา" หัวหน้ากบฏของพม่าเข้ามาอุปถัมน์ไว้ในอยุธยาสามปีก่อนกรุงแตก   กลายเป็นข้ออ้างให้พม่ายกทัพมาประชิดอยุธยา ....การล่มสลายของอยุธยาในตำราประวัติศาสตร์ไทยไม่ได้พูดถึงตรงนี้    ส่วนใหญ่มักจะพร่ำพรรณาอาดูรต่อการล่มสลาย  ความโหดร้ายป่าเถื่อนของพม่า  ความอ่อนแอของพระเจ้าเอกทัศน์(ซึ่งบางพงศาวดารกล่าวว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ในสนามรบอย่างทหารกล้า)    นี่เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ครับ......เห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็มาสนทนากัน   อย่าไล่ผมออกนอกประเทศ  หรืออย่าถามว่าผมคนไทยหรือเปล่าเลยนะครับ    กัวววว....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่