เพียงเธอ (บทนำ)

กระทู้สนทนา
เพียงเธอ



บทนำ



    เสียงสัญญาณเตือนภัยกรีดก้องโหยหวนมาจากยอดตึกคลังออมสินที่เชิงสะพานพุทธยอดฟ้า บาดลึกเข้าไปถึงกลางใจผู้คนเมื่อต่างก็รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เสียงนั้นเริ่มจากแหบห้าวต่ำลึกแล้วพุ่งขึ้นแหลมสูง จนสูงไปกว่านั้นไม่ได้อีกแล้วและกลายเป็นเสียงวิ้งๆ จากนั้นก็ลดต่ำลงจนขาดห้วงไป เพื่อจะพุ่งกลับขึ้นสูงอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้นหลายรอบ

    แก้วตาหนาวเยือกไปตลอดสันหลัง ตะวันเพิ่งจะชิงพลบได้ไม่นาน คืนนี้จะเริ่มทิ้งระเบิดกันแต่หัวค่ำอย่างนี้เลยหรือ

ลุกลี้ลุกลนเก็บรวบรวมใบเสร็จพร้อมสมุดบัญชีลงใส่ลิ้นชัก ลั่นกุญแจไว้แน่นหนาเพราะทั้งหมดนี้คือความอยู่รอดของครอบครัวสามีซึ่งเธอเป็นผู้รับผิดชอบดูแล

ไขเปลวไฟในตะเกียงลานมีกระดาษดำปิดไว้ตอนบนจนแทบไม่มีแสงสว่างใดๆ ลอดออกมาได้ให้สว่างขึ้นอีกนิดเพราะรอบตัวเวลานี้มืดสนิทแล้ว ประตูเฟี้ยมของห้องแถวยังคงเปิดทิ้งไว้สองช่อง เหตุก็เพราะคิดว่าผู้เป็นสามีคงกลับมาในไม่ช้า เขาขับรถเครื่องออกจากร้านไปโดยบอกว่าไปส่งของแถวบางกอกน้อย บอกว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา

หรือไม่คืนนี้น้องชายของเขาก็อาจมานอนบ้าน สองคนนั้นถ้าเข้าบ้านไม่ได้ก็จะส่งเสียงเอะอะโวยวายเรียกให้เธอลงมาเปิดประตูให้ จนเธอเกรงใจผู้คนในละแวกข้างเคียง จึงแก้ปัญหาด้วยการไม่ลั่นดานประตูจนกลับบ้านครบทุกคนแล้วนั่นแหละ

แว่วเสียงเรียกมาจากชั้นบนในช่วงที่เสียงหวอขาดห้วงไปพอดิบพอดี

    “แก้ว มาช่วยแม่อุ้มน้องหน่อยเถอะ”

    วิ่งขึ้นบันไดไปดูก็พอดีกับเห็นมารดาสามีกำลังยักแย่ยักยันพยุงตัวลูกสาวคนเล็กขึ้นจากที่นอน แม่ลูกมีรูปร่างขนาดเดียวกันจึงดูทุลักทุเลเต็มที
รีบวางตะเกียงลงข้างราวบันไดแล้วตรงรี่เข้าไปประคับประคองให้เด็กสาวขาพิการทิ้งน้ำหนักมาที่ตัวเองแทน

“แม่ลงไปก่อนเถอะค่ะ หนูพาไพลินลงไปเอง”

เธอบอกว่าอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีไม่ใช่เรื่องง่าย ขาของเด็กสาวเป็นโปลิโอและลีบเล็กจนแม้แต่ยืนก็ยังทำไม่ได้

“มีผู้ชายสองคนก็เหมือนไม่มี” เสียงแม่สามีบ่นพึมขณะหายลงบันไดไปพร้อมกับชูตะเกียงขึ้นสูงเพื่อส่องทางให้

แก้วตาทั้งลากทั้งอุ้มร่างผอมๆ ของน้องสามีไปจนถึงเชิงบันไดเมื่อได้ยินเสียงห้าวๆ มาจากชั้นล่าง

“แก้วกับไพลินล่ะแม่”

แม่ของเขาคงตอบอะไรบางอย่าง แต่เธอไม่ได้ยินเพราะเสียงหวอที่พุ่งขึ้นสูงจนแสบแก้วหูอีกครั้ง ได้ยินก็แต่เสียงวิ่งโครมๆ ขึ้นบันไดไม้ และเพียงไม่นานร่างล่ำสันก็ปรากฏให้เห็น เขาเข้ามาดึงน้องสาวของตัวเองไปเสียจากเธอ มือใหญ่ๆ นั้นทาบลงบนมือเธอโดยไม่ตั้งใจ และแก้วตาก็รีบถอยห่างออกมา ปล่อยให้เขาช้อนร่างพิกลพิการของผู้เป็นน้องขึ้นไว้ในวงแขนอย่างง่ายดาย

ตาสบกันและเขาก็ถาม

“พี่เพชรล่ะ”

“ไปส่งของแถวบางกอกน้อย ยังไม่กลับเลย”

เขาสบถหยาบๆ คายๆ เป็นคำสบถซึ่งเธอไม่เคยอยากฟัง จึงเลี่ยงต่อปากต่อคำด้วยการก้มลงคว้าตะเกียงที่ถือขึ้นมาจากโต๊ะทำงานแล้วนำทางลงบันไดไปก่อน หลุมหลบภัยใกล้ที่สุดต้องออกทางประตูหลัง

ภายนอกสว่างไสวด้วยลำแสงจัดจ้าที่กวาดไปมา ดวงนั้นเธอบอกได้ว่ามาจากไฟฉายที่ฝั่งธนนี่เอง และเพียงไม่นานอีกลำก็ติดสว่างวาบขึ้น ดวงนั้นมาจากเกียกกาย แสงไฟสองลำนั้นกวาดกลับไปกลับมาทั่วท้องฟ้าเพื่อหาเครื่องบินทิ้งระเบิด เป็นทั้งตัวนำทางและสัญญาณบอกให้รู้ว่ามีเวลาอีกไม่มาก

วิ่งกึ่งเดินตามผู้คนละแวกนั้นกันมาครึ่งค่อนทางแล้วเมื่อแก้วตาคิดอะไรขึ้นได้

“ปิดประตูร้านหรือเปล่า พล”

เขาเหลียวหลังมามอง

“ช่างมันเถอะ แก้ว ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ใครมันจะคิดเข้าไปขโมยอะไร”

เมื่อก่อน…เมื่อครั้งที่เขายังเล็กเขาเคยเรียกเธอว่าพี่ ทั้งในฐานที่เธออายุมากกว่าถึงแปดปี และทั้งเป็นคนรักและต่อมาก็เป็นภรรยาของพี่ชายเขา แต่หลายปีมานี้คำว่า ‘พี่’ หายไปเสียแล้ว หายไปอย่างแนบเนียนจนไม่มีใครสังเกต

“ไม่ได้…” เสียงเธอเกือบเหมือนตวาดจนเขาเองก็ชะงักไปเหมือนกัน

เธอคิดได้ อาจเป็นเพราะความเดือดดาลที่วูบขึ้นมา เขาช่างไม่ตระหนักถึงปัญหาใดๆ เอาเสียเลย สำหรับเธอแล้ววันๆ ดูเขาเอาแต่ใช้ชีวิตสนุกสนานอยู่ท่ามกลางผู้หญิงสาวๆ การพนัน เหล้ายา กิเลสตัณหา และแวดวงนักเลงด้วยกัน ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับสิ่งใดนอกเหนือจากนั้น

“คราวก่อนมีคนเข้าไปขโมยของ ไม่รู้หรอกหรือ”

ไม่คอยคำตอบหรือคำคัดค้านใดๆ เธอหมุนตัวกลับแล้ววิ่งย้อนสวนกับผู้คนไปทางเดิม มีเสียงร้องห้ามจากเขาและแม่ของเขาตามหลัง

ภายในร้านมืดสนิทเพราะตะเกียงทั้งสองดวงดับไปแล้วก่อนออกจากบ้าน แก้วตามะงุมมะงาหราสองมือควานเปะปะอาศัยความคุ้นเคยพาตัวไปถึงประตูหน้าร้านจนได้

ใจเต้นระทึกจนแทบโลดออกมานอกอกเมื่อแว่วเสียงหึ่งๆ ของเครื่องบินทิ้งระเบิดมาแต่ไกล และใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว มือที่ดึงบานเฟี้ยมนั้นสั่นจนลงกลอนแต่ละบานผิดๆ ถูกๆ

เพียงไม่นานเสียงนั้นเงียบไป แทนที่ด้วยเสียงโห่ร้องของผู้คน เธอแง้มบานเฟี้ยมบานหนึ่งแล้วเยี่ยมหน้าออกไปดูก็เห็นผู้ชายใจกล้าสามสี่คนยืนอยู่กลางถนนหน้าร้าน ต่างคนต่างแหงนหน้าพร้อมกับชี้ให้กันดูอะไรบางอย่าง เธอจึงออกไปดูบ้างก็เห็นเครื่องบินเป็นเงาวาววับเมื่อสะท้อนแสงจากไฟฉาย เห็นปีกเห็นหางของมันชัดเจน และที่ชัดพอกันก็คือควันที่พวยพุ่งออกจากส่วนหางของเครื่อง เครื่องบินลำนั้นกำลังบินวนอยู่เหนือศีรษะพอดิบพอดี จนเธออดคิดไม่ได้ว่าถ้าทิ้งระเบิดลงมาตอนนี้ก็คงไม่มีใครรอด แม้แต่ซากก็อาจไม่เหลือให้เห็น

แต่การณ์ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

“เฮ้ย เรือบินตกเว้ย ตกแล้วเว้ย” ใครคนหนึ่งตะโกนบอก และผู้คนอีกหลายคนก็เข้ามาสมทบ คราวนี้มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย มีแม้แต่เด็กเล็ก

เสียงโห่ฮาดังขึ้น บางคนตะโกน ไชโย ไชโย ลั่นไปหมด

หากความดีอกดีใจคงอยู่ได้ไม่นาน อึดใจถัดมามีเสียงหึ่งๆ อีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าก่อนหลายเท่า ดังจนแก้วตามีความรู้สึกว่าเสียงนั้นทำให้อากาศรอบตัวสั่นสะเทือนรุนแรง จนประตูบานเฟี้ยมสั่นพั่บๆ

เธอยืนตะลึงตัวแข็งอยู่ตรงนั้นเอง ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผู้คนรอบข้างพากันหลบวูบหายกันไปข้างไหนหมด รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อลำแขนแข็งแกร่งของใครคนหนึ่งรวบเอวเธอแล้วดึงกลับเข้าไปในร้าน เธออุทานออกมาเบาๆ ด้วยคาดไม่ถึง พร้อมกับเสียงหวีดหวิวของอะไรบางอย่างแทรกอากาศลงมา ตามด้วยเสียงครืนสนั่นลั่นเลื่อน จนพื้นใต้เท้าสะเทือน

เธอเสียหลัก เซถลาไปกระแทกเข้ากับบานเฟี้ยม ถ้าไม่ได้เรือนร่างแข็งแรงนั้นประคับประคองไว้ก็คงล้มไปแล้ว

เขาลากเธอต่อไปที่มุมห้อง ห่างจากประตู ห่างจากชั้นวางของ แล้วพยายามกดให้ลงนั่ง

ตั้งสติได้ แก้วตาดิ้นสุดฤทธิ์เพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ ความมืดและความชุลมุนทำให้ไม่รู้ว่าใครกันที่บังอาจถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวของเธอแน่เพราะเพชรคงยังไม่กลับ ส่วนพลก็ไม่น่าจะใช่ เขาคงไปอยู่ที่หลุมหลบภัยกับแม่และน้องสาวของเขาแล้วเวลานี้

“จะดิ้นไปทำไมนะแก้ว” เสียงห้าวๆ นั้นเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็ก

“พล” เธออุทาน ควรจำกลิ่นบุหรี่นี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว แม้ไม่คุ้นเคยกับสัมผัสของเขาก็ตาม

เขาดันเธอจนติดซอกตรงมุมห้องแล้วโอบไว้แนบแน่นเพื่อใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังให้ในกรณีที่แรงสะเทือนอาจทำให้อะไรตกหล่นลงมา หรือไม่ก็หลังคาร้านอาจพังลงมา

…หรืออาจร้ายแรงกว่านั้น

ระเบิดลูกที่สองก่อให้เกิดเสียงดังเลื่อนลั่นราวฟ้าถล่ม ทำเอาทุกสิ่งทุกอย่างไหวโยกไปหมด และเพียงสิ้นเสียงระเบิดข้าวของบนหิ้งหล่นลงพื้นโครมครามไปแทบจะทั้งร้าน

สองลูกแรกผ่านไป คราวนี้เป็นเธอเองที่ยึดแขนเขาไว้มั่นเมื่อระเบิดลงติดๆ กันอีกหลายครั้ง ฟังดูเหมือนทุกครั้งเสียงนั้นค่อยๆ ห่างออกไป

“มันไปทางไหนน่ะ พล” เธอกระซิบถามในเมื่อรู้ดีว่าใบหน้าของเขาอยู่เหนือศีรษะนี่เอง

“บางกอกน้อย” เสียงตอบนั้นเรียบกริบราวไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนใดๆ

และแก้วตาก็รู้สึกเป็นครั้งแรกถึงริมฝีปากอุ่นๆ ไล้อยู่ตามข้างแก้มของตัวเอง อ้อมแขนของเขากระชับขึ้นอีกเมื่อเธอพยายามเลื่อนตัวหนี

“บางกอกน้อยหรือพล พี่เพชรไปแถวนั้นนะ”

‘แถวนั้น’ เธอเลี่ยงใช้คำอื่นที่จะทำร้ายจิตใจตัวเอง น้องชายเขาจะรู้ไหมว่าใครอยู่แถวนั้น

เสียง ตุ๊ก ตุ๊ก ตุ๊ก ของเครื่องบินขับไล่เข้ามาแทนที่เสียงตึงตังโครมครามและเสียงหึ่งๆ ของเครื่องบินทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในที่สุด ตามด้วยเสียงลากยาวของสัญญาณบอกหมดภัย

แก้วตาระบายลมหายใจยาวเหยียด รอดไปอีกวัน เธอคิดว่านั่นคงเป็นความคิดของทุกคน

“พี่เพชรไม่เป็นอะไรหรอกแก้ว รอดมาได้ตั้งกี่ครั้งแล้ว” เขาพยายามปลอบเมื่อปลดปล่อยเรือนร่างนุ่มละมุนและเย้ายวนที่ตัวเองโหยหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้เป็นอิสระ

แก้วตาถัดตัวออกห่างทันควัน แล้วลุกยืน สีหน้าตื่นๆ นั้นเขาเห็นชัดเจน แม้หลับตาก็เห็น เห็นแม้แต่ในความฝัน…เวลาที่เป็นฝันดี

“เราต้องไปตามหาพี่เพชรนะ พล เห็นคนเขาพูดกันว่าพันธมิตรจะทิ้งระเบิดสถานีรถไฟบางกอกน้อย คงคืนนี้นี่แหละ เธอพาพี่ไป…แถวนั้น…หน่อยได้ไหม”

“ไปตอนนี้ได้ยังไงล่ะ” เขาฮึดฮัด นี่เธอไร้เดียงสาเสียจนไม่รู้เลยหรือว่าสามีของตัวเองไปทำอะไรที่นั่น

แต่ก็พยายามปลอบ รู้ว่าเธอกำลังว้าวุ่นเพียงไร ภาระทั้งหลายทั้งปวงที่ถูกวางลงบนบ่าบอบบางของเธอนั้นหนักหนาเพียงไร

“อีกประเดี๋ยวพี่เพชรก็กลับ” กังวานเสียงอ่อนโยนลง

แต่จนแล้วจนรอด ‘พี่เพชร’ ก็ไม่กลับ ด้วยเหตุนั้นพอแสงแรกจับท้องฟ้าเธอก็ไปเคาะประตูห้องน้องชายสามี

เขางัวเงียมาเปิดประตู ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาบอกบุญไม่รับ

“พี่เพชรยังไม่กลับเลย พล”

เขาเกาหัวแกรก

“ก็ได้ ก็ได้ ใส่เสื้อก่อน”

เธอลดสายตาลงดูท่อนบนเปลือยเปล่า กล้ามเนื้อแน่นเครียด และกล้ามเป็นมัดๆ ของเขาเพียงแว่บเดียวแล้วหมุนตัวผละจากไป

“ก็ได้ พี่ไปดูหม้อข้าวก่อน ต้มข้าวไว้ให้แม่กับไพลิน”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่