เพียงเธอ
บทนำ
เสียงสัญญาณเตือนภัยกรีดก้องโหยหวนมาจากยอดตึกคลังออมสินที่เชิงสะพานพุทธยอดฟ้า บาดลึกเข้าไปถึงกลางใจผู้คนเมื่อต่างก็รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เสียงนั้นเริ่มจากแหบห้าวต่ำลึกแล้วพุ่งขึ้นแหลมสูง จนสูงไปกว่านั้นไม่ได้อีกแล้วและกลายเป็นเสียงวิ้งๆ จากนั้นก็ลดต่ำลงจนขาดห้วงไป เพื่อจะพุ่งกลับขึ้นสูงอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้นหลายรอบ
แก้วตาหนาวเยือกไปตลอดสันหลัง ตะวันเพิ่งจะชิงพลบได้ไม่นาน คืนนี้จะเริ่มทิ้งระเบิดกันแต่หัวค่ำอย่างนี้เลยหรือ
ลุกลี้ลุกลนเก็บรวบรวมใบเสร็จพร้อมสมุดบัญชีลงใส่ลิ้นชัก ลั่นกุญแจไว้แน่นหนาเพราะทั้งหมดนี้คือความอยู่รอดของครอบครัวสามีซึ่งเธอเป็นผู้รับผิดชอบดูแล
ไขเปลวไฟในตะเกียงลานมีกระดาษดำปิดไว้ตอนบนจนแทบไม่มีแสงสว่างใดๆ ลอดออกมาได้ให้สว่างขึ้นอีกนิดเพราะรอบตัวเวลานี้มืดสนิทแล้ว ประตูเฟี้ยมของห้องแถวยังคงเปิดทิ้งไว้สองช่อง เหตุก็เพราะคิดว่าผู้เป็นสามีคงกลับมาในไม่ช้า เขาขับรถเครื่องออกจากร้านไปโดยบอกว่าไปส่งของแถวบางกอกน้อย บอกว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา
หรือไม่คืนนี้น้องชายของเขาก็อาจมานอนบ้าน สองคนนั้นถ้าเข้าบ้านไม่ได้ก็จะส่งเสียงเอะอะโวยวายเรียกให้เธอลงมาเปิดประตูให้ จนเธอเกรงใจผู้คนในละแวกข้างเคียง จึงแก้ปัญหาด้วยการไม่ลั่นดานประตูจนกลับบ้านครบทุกคนแล้วนั่นแหละ
แว่วเสียงเรียกมาจากชั้นบนในช่วงที่เสียงหวอขาดห้วงไปพอดิบพอดี
“แก้ว มาช่วยแม่อุ้มน้องหน่อยเถอะ”
วิ่งขึ้นบันไดไปดูก็พอดีกับเห็นมารดาสามีกำลังยักแย่ยักยันพยุงตัวลูกสาวคนเล็กขึ้นจากที่นอน แม่ลูกมีรูปร่างขนาดเดียวกันจึงดูทุลักทุเลเต็มที
รีบวางตะเกียงลงข้างราวบันไดแล้วตรงรี่เข้าไปประคับประคองให้เด็กสาวขาพิการทิ้งน้ำหนักมาที่ตัวเองแทน
“แม่ลงไปก่อนเถอะค่ะ หนูพาไพลินลงไปเอง”
เธอบอกว่าอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีไม่ใช่เรื่องง่าย ขาของเด็กสาวเป็นโปลิโอและลีบเล็กจนแม้แต่ยืนก็ยังทำไม่ได้
“มีผู้ชายสองคนก็เหมือนไม่มี” เสียงแม่สามีบ่นพึมขณะหายลงบันไดไปพร้อมกับชูตะเกียงขึ้นสูงเพื่อส่องทางให้
แก้วตาทั้งลากทั้งอุ้มร่างผอมๆ ของน้องสามีไปจนถึงเชิงบันไดเมื่อได้ยินเสียงห้าวๆ มาจากชั้นล่าง
“แก้วกับไพลินล่ะแม่”
แม่ของเขาคงตอบอะไรบางอย่าง แต่เธอไม่ได้ยินเพราะเสียงหวอที่พุ่งขึ้นสูงจนแสบแก้วหูอีกครั้ง ได้ยินก็แต่เสียงวิ่งโครมๆ ขึ้นบันไดไม้ และเพียงไม่นานร่างล่ำสันก็ปรากฏให้เห็น เขาเข้ามาดึงน้องสาวของตัวเองไปเสียจากเธอ มือใหญ่ๆ นั้นทาบลงบนมือเธอโดยไม่ตั้งใจ และแก้วตาก็รีบถอยห่างออกมา ปล่อยให้เขาช้อนร่างพิกลพิการของผู้เป็นน้องขึ้นไว้ในวงแขนอย่างง่ายดาย
ตาสบกันและเขาก็ถาม
“พี่เพชรล่ะ”
“ไปส่งของแถวบางกอกน้อย ยังไม่กลับเลย”
เขาสบถหยาบๆ คายๆ เป็นคำสบถซึ่งเธอไม่เคยอยากฟัง จึงเลี่ยงต่อปากต่อคำด้วยการก้มลงคว้าตะเกียงที่ถือขึ้นมาจากโต๊ะทำงานแล้วนำทางลงบันไดไปก่อน หลุมหลบภัยใกล้ที่สุดต้องออกทางประตูหลัง
ภายนอกสว่างไสวด้วยลำแสงจัดจ้าที่กวาดไปมา ดวงนั้นเธอบอกได้ว่ามาจากไฟฉายที่ฝั่งธนนี่เอง และเพียงไม่นานอีกลำก็ติดสว่างวาบขึ้น ดวงนั้นมาจากเกียกกาย แสงไฟสองลำนั้นกวาดกลับไปกลับมาทั่วท้องฟ้าเพื่อหาเครื่องบินทิ้งระเบิด เป็นทั้งตัวนำทางและสัญญาณบอกให้รู้ว่ามีเวลาอีกไม่มาก
วิ่งกึ่งเดินตามผู้คนละแวกนั้นกันมาครึ่งค่อนทางแล้วเมื่อแก้วตาคิดอะไรขึ้นได้
“ปิดประตูร้านหรือเปล่า พล”
เขาเหลียวหลังมามอง
“ช่างมันเถอะ แก้ว ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ใครมันจะคิดเข้าไปขโมยอะไร”
เมื่อก่อน…เมื่อครั้งที่เขายังเล็กเขาเคยเรียกเธอว่าพี่ ทั้งในฐานที่เธออายุมากกว่าถึงแปดปี และทั้งเป็นคนรักและต่อมาก็เป็นภรรยาของพี่ชายเขา แต่หลายปีมานี้คำว่า ‘พี่’ หายไปเสียแล้ว หายไปอย่างแนบเนียนจนไม่มีใครสังเกต
“ไม่ได้…” เสียงเธอเกือบเหมือนตวาดจนเขาเองก็ชะงักไปเหมือนกัน
เธอคิดได้ อาจเป็นเพราะความเดือดดาลที่วูบขึ้นมา เขาช่างไม่ตระหนักถึงปัญหาใดๆ เอาเสียเลย สำหรับเธอแล้ววันๆ ดูเขาเอาแต่ใช้ชีวิตสนุกสนานอยู่ท่ามกลางผู้หญิงสาวๆ การพนัน เหล้ายา กิเลสตัณหา และแวดวงนักเลงด้วยกัน ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับสิ่งใดนอกเหนือจากนั้น
“คราวก่อนมีคนเข้าไปขโมยของ ไม่รู้หรอกหรือ”
ไม่คอยคำตอบหรือคำคัดค้านใดๆ เธอหมุนตัวกลับแล้ววิ่งย้อนสวนกับผู้คนไปทางเดิม มีเสียงร้องห้ามจากเขาและแม่ของเขาตามหลัง
ภายในร้านมืดสนิทเพราะตะเกียงทั้งสองดวงดับไปแล้วก่อนออกจากบ้าน แก้วตามะงุมมะงาหราสองมือควานเปะปะอาศัยความคุ้นเคยพาตัวไปถึงประตูหน้าร้านจนได้
ใจเต้นระทึกจนแทบโลดออกมานอกอกเมื่อแว่วเสียงหึ่งๆ ของเครื่องบินทิ้งระเบิดมาแต่ไกล และใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว มือที่ดึงบานเฟี้ยมนั้นสั่นจนลงกลอนแต่ละบานผิดๆ ถูกๆ
เพียงไม่นานเสียงนั้นเงียบไป แทนที่ด้วยเสียงโห่ร้องของผู้คน เธอแง้มบานเฟี้ยมบานหนึ่งแล้วเยี่ยมหน้าออกไปดูก็เห็นผู้ชายใจกล้าสามสี่คนยืนอยู่กลางถนนหน้าร้าน ต่างคนต่างแหงนหน้าพร้อมกับชี้ให้กันดูอะไรบางอย่าง เธอจึงออกไปดูบ้างก็เห็นเครื่องบินเป็นเงาวาววับเมื่อสะท้อนแสงจากไฟฉาย เห็นปีกเห็นหางของมันชัดเจน และที่ชัดพอกันก็คือควันที่พวยพุ่งออกจากส่วนหางของเครื่อง เครื่องบินลำนั้นกำลังบินวนอยู่เหนือศีรษะพอดิบพอดี จนเธออดคิดไม่ได้ว่าถ้าทิ้งระเบิดลงมาตอนนี้ก็คงไม่มีใครรอด แม้แต่ซากก็อาจไม่เหลือให้เห็น
แต่การณ์ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“เฮ้ย เรือบินตกเว้ย ตกแล้วเว้ย” ใครคนหนึ่งตะโกนบอก และผู้คนอีกหลายคนก็เข้ามาสมทบ คราวนี้มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย มีแม้แต่เด็กเล็ก
เสียงโห่ฮาดังขึ้น บางคนตะโกน ไชโย ไชโย ลั่นไปหมด
หากความดีอกดีใจคงอยู่ได้ไม่นาน อึดใจถัดมามีเสียงหึ่งๆ อีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าก่อนหลายเท่า ดังจนแก้วตามีความรู้สึกว่าเสียงนั้นทำให้อากาศรอบตัวสั่นสะเทือนรุนแรง จนประตูบานเฟี้ยมสั่นพั่บๆ
เธอยืนตะลึงตัวแข็งอยู่ตรงนั้นเอง ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผู้คนรอบข้างพากันหลบวูบหายกันไปข้างไหนหมด รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อลำแขนแข็งแกร่งของใครคนหนึ่งรวบเอวเธอแล้วดึงกลับเข้าไปในร้าน เธออุทานออกมาเบาๆ ด้วยคาดไม่ถึง พร้อมกับเสียงหวีดหวิวของอะไรบางอย่างแทรกอากาศลงมา ตามด้วยเสียงครืนสนั่นลั่นเลื่อน จนพื้นใต้เท้าสะเทือน
เธอเสียหลัก เซถลาไปกระแทกเข้ากับบานเฟี้ยม ถ้าไม่ได้เรือนร่างแข็งแรงนั้นประคับประคองไว้ก็คงล้มไปแล้ว
เขาลากเธอต่อไปที่มุมห้อง ห่างจากประตู ห่างจากชั้นวางของ แล้วพยายามกดให้ลงนั่ง
ตั้งสติได้ แก้วตาดิ้นสุดฤทธิ์เพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ ความมืดและความชุลมุนทำให้ไม่รู้ว่าใครกันที่บังอาจถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวของเธอแน่เพราะเพชรคงยังไม่กลับ ส่วนพลก็ไม่น่าจะใช่ เขาคงไปอยู่ที่หลุมหลบภัยกับแม่และน้องสาวของเขาแล้วเวลานี้
“จะดิ้นไปทำไมนะแก้ว” เสียงห้าวๆ นั้นเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็ก
“พล” เธออุทาน ควรจำกลิ่นบุหรี่นี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว แม้ไม่คุ้นเคยกับสัมผัสของเขาก็ตาม
เขาดันเธอจนติดซอกตรงมุมห้องแล้วโอบไว้แนบแน่นเพื่อใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังให้ในกรณีที่แรงสะเทือนอาจทำให้อะไรตกหล่นลงมา หรือไม่ก็หลังคาร้านอาจพังลงมา
…หรืออาจร้ายแรงกว่านั้น
ระเบิดลูกที่สองก่อให้เกิดเสียงดังเลื่อนลั่นราวฟ้าถล่ม ทำเอาทุกสิ่งทุกอย่างไหวโยกไปหมด และเพียงสิ้นเสียงระเบิดข้าวของบนหิ้งหล่นลงพื้นโครมครามไปแทบจะทั้งร้าน
สองลูกแรกผ่านไป คราวนี้เป็นเธอเองที่ยึดแขนเขาไว้มั่นเมื่อระเบิดลงติดๆ กันอีกหลายครั้ง ฟังดูเหมือนทุกครั้งเสียงนั้นค่อยๆ ห่างออกไป
“มันไปทางไหนน่ะ พล” เธอกระซิบถามในเมื่อรู้ดีว่าใบหน้าของเขาอยู่เหนือศีรษะนี่เอง
“บางกอกน้อย” เสียงตอบนั้นเรียบกริบราวไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนใดๆ
และแก้วตาก็รู้สึกเป็นครั้งแรกถึงริมฝีปากอุ่นๆ ไล้อยู่ตามข้างแก้มของตัวเอง อ้อมแขนของเขากระชับขึ้นอีกเมื่อเธอพยายามเลื่อนตัวหนี
“บางกอกน้อยหรือพล พี่เพชรไปแถวนั้นนะ”
‘แถวนั้น’ เธอเลี่ยงใช้คำอื่นที่จะทำร้ายจิตใจตัวเอง น้องชายเขาจะรู้ไหมว่าใครอยู่แถวนั้น
เสียง ตุ๊ก ตุ๊ก ตุ๊ก ของเครื่องบินขับไล่เข้ามาแทนที่เสียงตึงตังโครมครามและเสียงหึ่งๆ ของเครื่องบินทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในที่สุด ตามด้วยเสียงลากยาวของสัญญาณบอกหมดภัย
แก้วตาระบายลมหายใจยาวเหยียด รอดไปอีกวัน เธอคิดว่านั่นคงเป็นความคิดของทุกคน
“พี่เพชรไม่เป็นอะไรหรอกแก้ว รอดมาได้ตั้งกี่ครั้งแล้ว” เขาพยายามปลอบเมื่อปลดปล่อยเรือนร่างนุ่มละมุนและเย้ายวนที่ตัวเองโหยหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้เป็นอิสระ
แก้วตาถัดตัวออกห่างทันควัน แล้วลุกยืน สีหน้าตื่นๆ นั้นเขาเห็นชัดเจน แม้หลับตาก็เห็น เห็นแม้แต่ในความฝัน…เวลาที่เป็นฝันดี
“เราต้องไปตามหาพี่เพชรนะ พล เห็นคนเขาพูดกันว่าพันธมิตรจะทิ้งระเบิดสถานีรถไฟบางกอกน้อย คงคืนนี้นี่แหละ เธอพาพี่ไป…แถวนั้น…หน่อยได้ไหม”
“ไปตอนนี้ได้ยังไงล่ะ” เขาฮึดฮัด นี่เธอไร้เดียงสาเสียจนไม่รู้เลยหรือว่าสามีของตัวเองไปทำอะไรที่นั่น
แต่ก็พยายามปลอบ รู้ว่าเธอกำลังว้าวุ่นเพียงไร ภาระทั้งหลายทั้งปวงที่ถูกวางลงบนบ่าบอบบางของเธอนั้นหนักหนาเพียงไร
“อีกประเดี๋ยวพี่เพชรก็กลับ” กังวานเสียงอ่อนโยนลง
แต่จนแล้วจนรอด ‘พี่เพชร’ ก็ไม่กลับ ด้วยเหตุนั้นพอแสงแรกจับท้องฟ้าเธอก็ไปเคาะประตูห้องน้องชายสามี
เขางัวเงียมาเปิดประตู ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาบอกบุญไม่รับ
“พี่เพชรยังไม่กลับเลย พล”
เขาเกาหัวแกรก
“ก็ได้ ก็ได้ ใส่เสื้อก่อน”
เธอลดสายตาลงดูท่อนบนเปลือยเปล่า กล้ามเนื้อแน่นเครียด และกล้ามเป็นมัดๆ ของเขาเพียงแว่บเดียวแล้วหมุนตัวผละจากไป
“ก็ได้ พี่ไปดูหม้อข้าวก่อน ต้มข้าวไว้ให้แม่กับไพลิน”
เพียงเธอ (บทนำ)
เสียงสัญญาณเตือนภัยกรีดก้องโหยหวนมาจากยอดตึกคลังออมสินที่เชิงสะพานพุทธยอดฟ้า บาดลึกเข้าไปถึงกลางใจผู้คนเมื่อต่างก็รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เสียงนั้นเริ่มจากแหบห้าวต่ำลึกแล้วพุ่งขึ้นแหลมสูง จนสูงไปกว่านั้นไม่ได้อีกแล้วและกลายเป็นเสียงวิ้งๆ จากนั้นก็ลดต่ำลงจนขาดห้วงไป เพื่อจะพุ่งกลับขึ้นสูงอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้นหลายรอบ
แก้วตาหนาวเยือกไปตลอดสันหลัง ตะวันเพิ่งจะชิงพลบได้ไม่นาน คืนนี้จะเริ่มทิ้งระเบิดกันแต่หัวค่ำอย่างนี้เลยหรือ
ลุกลี้ลุกลนเก็บรวบรวมใบเสร็จพร้อมสมุดบัญชีลงใส่ลิ้นชัก ลั่นกุญแจไว้แน่นหนาเพราะทั้งหมดนี้คือความอยู่รอดของครอบครัวสามีซึ่งเธอเป็นผู้รับผิดชอบดูแล
ไขเปลวไฟในตะเกียงลานมีกระดาษดำปิดไว้ตอนบนจนแทบไม่มีแสงสว่างใดๆ ลอดออกมาได้ให้สว่างขึ้นอีกนิดเพราะรอบตัวเวลานี้มืดสนิทแล้ว ประตูเฟี้ยมของห้องแถวยังคงเปิดทิ้งไว้สองช่อง เหตุก็เพราะคิดว่าผู้เป็นสามีคงกลับมาในไม่ช้า เขาขับรถเครื่องออกจากร้านไปโดยบอกว่าไปส่งของแถวบางกอกน้อย บอกว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา
หรือไม่คืนนี้น้องชายของเขาก็อาจมานอนบ้าน สองคนนั้นถ้าเข้าบ้านไม่ได้ก็จะส่งเสียงเอะอะโวยวายเรียกให้เธอลงมาเปิดประตูให้ จนเธอเกรงใจผู้คนในละแวกข้างเคียง จึงแก้ปัญหาด้วยการไม่ลั่นดานประตูจนกลับบ้านครบทุกคนแล้วนั่นแหละ
แว่วเสียงเรียกมาจากชั้นบนในช่วงที่เสียงหวอขาดห้วงไปพอดิบพอดี
“แก้ว มาช่วยแม่อุ้มน้องหน่อยเถอะ”
วิ่งขึ้นบันไดไปดูก็พอดีกับเห็นมารดาสามีกำลังยักแย่ยักยันพยุงตัวลูกสาวคนเล็กขึ้นจากที่นอน แม่ลูกมีรูปร่างขนาดเดียวกันจึงดูทุลักทุเลเต็มที
รีบวางตะเกียงลงข้างราวบันไดแล้วตรงรี่เข้าไปประคับประคองให้เด็กสาวขาพิการทิ้งน้ำหนักมาที่ตัวเองแทน
“แม่ลงไปก่อนเถอะค่ะ หนูพาไพลินลงไปเอง”
เธอบอกว่าอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีไม่ใช่เรื่องง่าย ขาของเด็กสาวเป็นโปลิโอและลีบเล็กจนแม้แต่ยืนก็ยังทำไม่ได้
“มีผู้ชายสองคนก็เหมือนไม่มี” เสียงแม่สามีบ่นพึมขณะหายลงบันไดไปพร้อมกับชูตะเกียงขึ้นสูงเพื่อส่องทางให้
แก้วตาทั้งลากทั้งอุ้มร่างผอมๆ ของน้องสามีไปจนถึงเชิงบันไดเมื่อได้ยินเสียงห้าวๆ มาจากชั้นล่าง
“แก้วกับไพลินล่ะแม่”
แม่ของเขาคงตอบอะไรบางอย่าง แต่เธอไม่ได้ยินเพราะเสียงหวอที่พุ่งขึ้นสูงจนแสบแก้วหูอีกครั้ง ได้ยินก็แต่เสียงวิ่งโครมๆ ขึ้นบันไดไม้ และเพียงไม่นานร่างล่ำสันก็ปรากฏให้เห็น เขาเข้ามาดึงน้องสาวของตัวเองไปเสียจากเธอ มือใหญ่ๆ นั้นทาบลงบนมือเธอโดยไม่ตั้งใจ และแก้วตาก็รีบถอยห่างออกมา ปล่อยให้เขาช้อนร่างพิกลพิการของผู้เป็นน้องขึ้นไว้ในวงแขนอย่างง่ายดาย
ตาสบกันและเขาก็ถาม
“พี่เพชรล่ะ”
“ไปส่งของแถวบางกอกน้อย ยังไม่กลับเลย”
เขาสบถหยาบๆ คายๆ เป็นคำสบถซึ่งเธอไม่เคยอยากฟัง จึงเลี่ยงต่อปากต่อคำด้วยการก้มลงคว้าตะเกียงที่ถือขึ้นมาจากโต๊ะทำงานแล้วนำทางลงบันไดไปก่อน หลุมหลบภัยใกล้ที่สุดต้องออกทางประตูหลัง
ภายนอกสว่างไสวด้วยลำแสงจัดจ้าที่กวาดไปมา ดวงนั้นเธอบอกได้ว่ามาจากไฟฉายที่ฝั่งธนนี่เอง และเพียงไม่นานอีกลำก็ติดสว่างวาบขึ้น ดวงนั้นมาจากเกียกกาย แสงไฟสองลำนั้นกวาดกลับไปกลับมาทั่วท้องฟ้าเพื่อหาเครื่องบินทิ้งระเบิด เป็นทั้งตัวนำทางและสัญญาณบอกให้รู้ว่ามีเวลาอีกไม่มาก
วิ่งกึ่งเดินตามผู้คนละแวกนั้นกันมาครึ่งค่อนทางแล้วเมื่อแก้วตาคิดอะไรขึ้นได้
“ปิดประตูร้านหรือเปล่า พล”
เขาเหลียวหลังมามอง
“ช่างมันเถอะ แก้ว ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ใครมันจะคิดเข้าไปขโมยอะไร”
เมื่อก่อน…เมื่อครั้งที่เขายังเล็กเขาเคยเรียกเธอว่าพี่ ทั้งในฐานที่เธออายุมากกว่าถึงแปดปี และทั้งเป็นคนรักและต่อมาก็เป็นภรรยาของพี่ชายเขา แต่หลายปีมานี้คำว่า ‘พี่’ หายไปเสียแล้ว หายไปอย่างแนบเนียนจนไม่มีใครสังเกต
“ไม่ได้…” เสียงเธอเกือบเหมือนตวาดจนเขาเองก็ชะงักไปเหมือนกัน
เธอคิดได้ อาจเป็นเพราะความเดือดดาลที่วูบขึ้นมา เขาช่างไม่ตระหนักถึงปัญหาใดๆ เอาเสียเลย สำหรับเธอแล้ววันๆ ดูเขาเอาแต่ใช้ชีวิตสนุกสนานอยู่ท่ามกลางผู้หญิงสาวๆ การพนัน เหล้ายา กิเลสตัณหา และแวดวงนักเลงด้วยกัน ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับสิ่งใดนอกเหนือจากนั้น
“คราวก่อนมีคนเข้าไปขโมยของ ไม่รู้หรอกหรือ”
ไม่คอยคำตอบหรือคำคัดค้านใดๆ เธอหมุนตัวกลับแล้ววิ่งย้อนสวนกับผู้คนไปทางเดิม มีเสียงร้องห้ามจากเขาและแม่ของเขาตามหลัง
ภายในร้านมืดสนิทเพราะตะเกียงทั้งสองดวงดับไปแล้วก่อนออกจากบ้าน แก้วตามะงุมมะงาหราสองมือควานเปะปะอาศัยความคุ้นเคยพาตัวไปถึงประตูหน้าร้านจนได้
ใจเต้นระทึกจนแทบโลดออกมานอกอกเมื่อแว่วเสียงหึ่งๆ ของเครื่องบินทิ้งระเบิดมาแต่ไกล และใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว มือที่ดึงบานเฟี้ยมนั้นสั่นจนลงกลอนแต่ละบานผิดๆ ถูกๆ
เพียงไม่นานเสียงนั้นเงียบไป แทนที่ด้วยเสียงโห่ร้องของผู้คน เธอแง้มบานเฟี้ยมบานหนึ่งแล้วเยี่ยมหน้าออกไปดูก็เห็นผู้ชายใจกล้าสามสี่คนยืนอยู่กลางถนนหน้าร้าน ต่างคนต่างแหงนหน้าพร้อมกับชี้ให้กันดูอะไรบางอย่าง เธอจึงออกไปดูบ้างก็เห็นเครื่องบินเป็นเงาวาววับเมื่อสะท้อนแสงจากไฟฉาย เห็นปีกเห็นหางของมันชัดเจน และที่ชัดพอกันก็คือควันที่พวยพุ่งออกจากส่วนหางของเครื่อง เครื่องบินลำนั้นกำลังบินวนอยู่เหนือศีรษะพอดิบพอดี จนเธออดคิดไม่ได้ว่าถ้าทิ้งระเบิดลงมาตอนนี้ก็คงไม่มีใครรอด แม้แต่ซากก็อาจไม่เหลือให้เห็น
แต่การณ์ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“เฮ้ย เรือบินตกเว้ย ตกแล้วเว้ย” ใครคนหนึ่งตะโกนบอก และผู้คนอีกหลายคนก็เข้ามาสมทบ คราวนี้มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย มีแม้แต่เด็กเล็ก
เสียงโห่ฮาดังขึ้น บางคนตะโกน ไชโย ไชโย ลั่นไปหมด
หากความดีอกดีใจคงอยู่ได้ไม่นาน อึดใจถัดมามีเสียงหึ่งๆ อีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าก่อนหลายเท่า ดังจนแก้วตามีความรู้สึกว่าเสียงนั้นทำให้อากาศรอบตัวสั่นสะเทือนรุนแรง จนประตูบานเฟี้ยมสั่นพั่บๆ
เธอยืนตะลึงตัวแข็งอยู่ตรงนั้นเอง ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผู้คนรอบข้างพากันหลบวูบหายกันไปข้างไหนหมด รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อลำแขนแข็งแกร่งของใครคนหนึ่งรวบเอวเธอแล้วดึงกลับเข้าไปในร้าน เธออุทานออกมาเบาๆ ด้วยคาดไม่ถึง พร้อมกับเสียงหวีดหวิวของอะไรบางอย่างแทรกอากาศลงมา ตามด้วยเสียงครืนสนั่นลั่นเลื่อน จนพื้นใต้เท้าสะเทือน
เธอเสียหลัก เซถลาไปกระแทกเข้ากับบานเฟี้ยม ถ้าไม่ได้เรือนร่างแข็งแรงนั้นประคับประคองไว้ก็คงล้มไปแล้ว
เขาลากเธอต่อไปที่มุมห้อง ห่างจากประตู ห่างจากชั้นวางของ แล้วพยายามกดให้ลงนั่ง
ตั้งสติได้ แก้วตาดิ้นสุดฤทธิ์เพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ ความมืดและความชุลมุนทำให้ไม่รู้ว่าใครกันที่บังอาจถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวของเธอแน่เพราะเพชรคงยังไม่กลับ ส่วนพลก็ไม่น่าจะใช่ เขาคงไปอยู่ที่หลุมหลบภัยกับแม่และน้องสาวของเขาแล้วเวลานี้
“จะดิ้นไปทำไมนะแก้ว” เสียงห้าวๆ นั้นเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็ก
“พล” เธออุทาน ควรจำกลิ่นบุหรี่นี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว แม้ไม่คุ้นเคยกับสัมผัสของเขาก็ตาม
เขาดันเธอจนติดซอกตรงมุมห้องแล้วโอบไว้แนบแน่นเพื่อใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังให้ในกรณีที่แรงสะเทือนอาจทำให้อะไรตกหล่นลงมา หรือไม่ก็หลังคาร้านอาจพังลงมา
…หรืออาจร้ายแรงกว่านั้น
ระเบิดลูกที่สองก่อให้เกิดเสียงดังเลื่อนลั่นราวฟ้าถล่ม ทำเอาทุกสิ่งทุกอย่างไหวโยกไปหมด และเพียงสิ้นเสียงระเบิดข้าวของบนหิ้งหล่นลงพื้นโครมครามไปแทบจะทั้งร้าน
สองลูกแรกผ่านไป คราวนี้เป็นเธอเองที่ยึดแขนเขาไว้มั่นเมื่อระเบิดลงติดๆ กันอีกหลายครั้ง ฟังดูเหมือนทุกครั้งเสียงนั้นค่อยๆ ห่างออกไป
“มันไปทางไหนน่ะ พล” เธอกระซิบถามในเมื่อรู้ดีว่าใบหน้าของเขาอยู่เหนือศีรษะนี่เอง
“บางกอกน้อย” เสียงตอบนั้นเรียบกริบราวไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนใดๆ
และแก้วตาก็รู้สึกเป็นครั้งแรกถึงริมฝีปากอุ่นๆ ไล้อยู่ตามข้างแก้มของตัวเอง อ้อมแขนของเขากระชับขึ้นอีกเมื่อเธอพยายามเลื่อนตัวหนี
“บางกอกน้อยหรือพล พี่เพชรไปแถวนั้นนะ”
‘แถวนั้น’ เธอเลี่ยงใช้คำอื่นที่จะทำร้ายจิตใจตัวเอง น้องชายเขาจะรู้ไหมว่าใครอยู่แถวนั้น
เสียง ตุ๊ก ตุ๊ก ตุ๊ก ของเครื่องบินขับไล่เข้ามาแทนที่เสียงตึงตังโครมครามและเสียงหึ่งๆ ของเครื่องบินทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในที่สุด ตามด้วยเสียงลากยาวของสัญญาณบอกหมดภัย
แก้วตาระบายลมหายใจยาวเหยียด รอดไปอีกวัน เธอคิดว่านั่นคงเป็นความคิดของทุกคน
“พี่เพชรไม่เป็นอะไรหรอกแก้ว รอดมาได้ตั้งกี่ครั้งแล้ว” เขาพยายามปลอบเมื่อปลดปล่อยเรือนร่างนุ่มละมุนและเย้ายวนที่ตัวเองโหยหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้เป็นอิสระ
แก้วตาถัดตัวออกห่างทันควัน แล้วลุกยืน สีหน้าตื่นๆ นั้นเขาเห็นชัดเจน แม้หลับตาก็เห็น เห็นแม้แต่ในความฝัน…เวลาที่เป็นฝันดี
“เราต้องไปตามหาพี่เพชรนะ พล เห็นคนเขาพูดกันว่าพันธมิตรจะทิ้งระเบิดสถานีรถไฟบางกอกน้อย คงคืนนี้นี่แหละ เธอพาพี่ไป…แถวนั้น…หน่อยได้ไหม”
“ไปตอนนี้ได้ยังไงล่ะ” เขาฮึดฮัด นี่เธอไร้เดียงสาเสียจนไม่รู้เลยหรือว่าสามีของตัวเองไปทำอะไรที่นั่น
แต่ก็พยายามปลอบ รู้ว่าเธอกำลังว้าวุ่นเพียงไร ภาระทั้งหลายทั้งปวงที่ถูกวางลงบนบ่าบอบบางของเธอนั้นหนักหนาเพียงไร
“อีกประเดี๋ยวพี่เพชรก็กลับ” กังวานเสียงอ่อนโยนลง
แต่จนแล้วจนรอด ‘พี่เพชร’ ก็ไม่กลับ ด้วยเหตุนั้นพอแสงแรกจับท้องฟ้าเธอก็ไปเคาะประตูห้องน้องชายสามี
เขางัวเงียมาเปิดประตู ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาบอกบุญไม่รับ
“พี่เพชรยังไม่กลับเลย พล”
เขาเกาหัวแกรก
“ก็ได้ ก็ได้ ใส่เสื้อก่อน”
เธอลดสายตาลงดูท่อนบนเปลือยเปล่า กล้ามเนื้อแน่นเครียด และกล้ามเป็นมัดๆ ของเขาเพียงแว่บเดียวแล้วหมุนตัวผละจากไป
“ก็ได้ พี่ไปดูหม้อข้าวก่อน ต้มข้าวไว้ให้แม่กับไพลิน”