หลวงปู่ชา สุภทฺโท
พระธรรมเทศนา ชุดที่ ๗
ปล่อยวาง ว่างสบาย
http://www.fungdham.com/sound/cha.html
วันนี้ เป็นวันหนึ่งซึ่งมีโอกาสที่จะได้มาพูดกับญาติโยมทั้งหลาย เพื่อเพิ่มความเข้าใจอีกต่อไป ซึ่งอาตมาได้มีโอกาสที่ได้มาเยื่ยมบริษัทบริวารทั้งหลายในที่นี้ รู้สึกว่ามีความภูมิใจเป็นอย่างมาก วันนี้เป็นวันที่ใกล้วันที่สุดท้ายเข้าเสียแล้ว จะรวบรวมข้อปฏิบัติมาพูดให้ญาติโยมทั้งหลายเข้าใจเพิ่มไปอีก เกี่ยวกับเรื่องความเป็นมาของพุทธศาสนากับทางผู้ที่ประกาศพุทธศาสนาเป็นเบื้องแรก
ที่นี่รู้สึกว่ามันบกพร่องเป็นบางอย่าง ทีนี้จะเพิ่มเติมให้สมบูรณ์บริบูรณ์สำหรับการกระทำของพวกเราทั้งหลาย พูดถึงในครั้งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าของเราประกาศพระศาสนานั้น คือมีสิ่งที่จะต้องปลูกไว้ในใจของพุทธบริษัท เพื่อให้มีความเลื่อมใส เช่น ว่าเราปฏิบัติพุทธศาสนานี้ มีอะไรเป็นหลักเบื้องแรก ครั้งแรกพระพุทธองค์ของเราประกาศพุทธศาสนานั้น ได้คนเพียงสองเท่านั้นแหละในครั้งแรก ต่อมามีความเลื่อมใสขึ้นมาเพิ่มเติมขึ้นมาเรื่อย ๆ มาจึงมากขึ้น ๆ ตลอดจนมาถึงห้าคน ต่อห้าคนมาก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ มาจนถึงทุกวันนี้ คือให้เป็นเครื่องหมายทางใจของพุทธบริษัททั้งหลายที่เรียกว่ารัตนตรัย คือพระพุทธหนึ่ง พระธรรมหนึ่ง พระสงฆ์หนึ่ง
เพื่อให้พุทธบริษัทมีความเลื่อมใสมากขึ้นเช่นว่า รัตนะท่านแปลว่าแก้วประเภทหนึ่ง แก้วคือพระพุทธ แก้วคือพระธรรม แก้วคือพระสงฆ์ ทั้งสามประการนี้เป็นรัตนะ เป็นรัตนตรัยด้วย พระศาสนาที่เจริญมาทุกวันนี้ ก็เพราะอาศัยสิ่งทั้งสามประการนี้เป็นหลักของพุทธบริษัทเบื้องแรก คือให้พวกเราทั้งหลายถึงพระพุทธ ให้พวกเราทั้งหลายถึงพระธรรม ให้พวกเราทั้งหลายถึงพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลายทางใจ ผู้นับถือพระพุทธศาสนานี้ ท่านให้เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งสามประการนี้ ให้นับถือเป็นอย่างยิ่ง ไม่ให้นับถืออย่างอื่นยิ่งกว่าทั้งสามประการนี้ เพราะหลักสามประการนี้ ธรรมะคำสั่งสอนเคลื่อนมาจากรัตนะทั้งสามประการนี้ตลอดถึงทุกวันนี้
พระพุทธเจ้าถ้าพูดตามส่วนบุคคลในความเป็นจริงนั้น พระพุทธเจ้าที่มีรูปมีนามก็คือ สิทธัตถราชกุมาร ความเป็นจริงพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ กาลใดก็ยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าก็ยังมีอยู่ ไม่ได้ไปที่ไหนทุกวันนี้ยังมีอยู่ ถ้าผู้มีปัญญาแล้ว จะได้เห็นพระพุทธเจ้าก็เห็นได้ในปัจจุบันนี้ เพระท่านยังอยู่ พระธรรมก็ยังอยู่ พระสงฆ์ก็ยังอยู่ แล้วก็ต้องการอยากจะให้เอาพระพุทธเข้ามาไว้ในใจของพวกเราด้วย แล้วเอาพระธรรมเข้ามาไว้ในใจของพวกเราด้วย แล้วเอาพระสงฆ์เข้ามาไว้ในใจของพวกเราด้วย คือเรามาทำความเข้าใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไว้ที่ใจของเราเสียแล้ว เราจะนั่งก็นั่งอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะนอนก็นอนอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะยืนก็ยืนอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ใจแล้ว
อันนี้ก็เป็นเหตุให้พุทธบริษัทเราสงสัย ไม่เข้าใจหรือไม่ถึงพระพุทธ พระธรรมอย่างแท้จริง พระพุทธเจ้ายังเป็นตัวเป็นตนเช่นสิทธัตถราชกุมารนั้น ท่านก็เป็นเนื้อ เป็นหนัง เป็นกระดูก เป็นเอ็น เป็นมนุษย์ เป็นธาตุ ธรรมดาเหมือนกับเราทุกวันนี้ ประชาชนทั้งหลายก็เข้าใจว่า องค์นั้นเป็นที่พึ่งของเรา เมื่อท่านนิพพานไปแล้วก็ร้องไห้โศกเศร้าปริเทวนารำพัน นึกว่าท่านตายแล้ว
เราก็ลองคิด ๆ ดูว่า พระพุทธเจ้าที่ได้เป็นพระพุทธเจ้านั่นคืออะไร ท่านรู้อะไรไหม สิทธัตถราชกุมารคนนั้นคือมารู้ธรรมะ มารู้ธรรมะ ธรรมะเป็นคือเครื่องตรัสรู้ของท่าน ที่อมตะธรรมคือธรรมอันไม่ตาย ก็ท่านไปค้นพบธรรมอันนี้ขึ้นมา ก็ชื่อว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า คือท่านค้นธรรมะเห็นก่อน ตัวท่านไม่ใช่เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าโดยเนื้อหนัง ถ้าหากว่าท่านไม่เห็นธรรม ท่านก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งจึงไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูก ไม่มีหนัง เป็นสภาวะธรรมตั้งมั่นอยู่ในโลกอย่างหนึ่ง พระองค์มาเห็นธรรมอันหนึ่งนี้ ชื่อท่านจึงว่าพระพุทธเจ้า ความเป็นจริงพระพุทธเจ้ายังอยู่ ฉะนั้นคนที่มีตาเนื้อไม่มีตาใจคือปัญญา ไม่เห็นพระพุทธเจ้า
โบราณกาลท่านจึงทำโลหะนี้เป็นรูปพระให้เด็ก ๆ มันมาเห็นนี่พระพุทธเจ้า แล้วก็มากราบโลหะนี้ก็นึกว่าพระพุทธเจ้า กราบเฉย ๆ นับถือพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าองค์นี้ก็แปลกนะ เมื่อญีปุ่นทำขึ้นก็เหมือนญีปุ่น เมื่อคนจีนทำขึ้นก็เหมือนคนจีน เมื่อแขกทำขึ้นก็เหมือนแขก เมื่อไทยทำขึ้นก็เหมือนไทย เมื่อลาวทำขึ้นก็เหมือนลาว ดูสิเป็นอย่างนั้นเปล่า เรามากราบอันนี้ ก็นึกว่าเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นมา เมื่อความไม่สบายเกิดขึ้นมา เมื่อภัยเกิดขึ้นมา ก็มากราบพระพุทธรูป พระพุทธเจ้าองค์นี้ว่าให้ช่วยฉัน อย่างให้ฉันเป็นทุกข์เลย อย่าให้ฉันเดือดร้อนเลย ให้ฉันสบายๆ ท่านก็ช่วยไม่ ท่านก็นั่งเฉยอยู่นั่น นั้นท่านเรียกว่ากราบพระพุทธเจ้าไม่ถูก นับถือพระพุทธเจ้าไม่ถูก มีความหลงใหลอยู่อย่างนั้นโดยมาก ในพุทธศาสนาพุทธบริษัทเป็นอย่างนี้มาก เมืองไทยยิ่งมากที่สุดเดี๋ยวนี้ ไปกราบท่านเมื่อทุกข์ไม่หาย ความเดือดร้อนไม่หายก็เลยเรียกว่าพระพุทธเจ้าไม่ดี ช่วยฉันไม่ได้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น อันนี้คือคนไม่มีปัญญา ไม่ถึงพระพุทธองค์อย่างแน่นอน
พูดอย่างนี้อย่าไปดูถูกท่านนะ บางทีจะมาหามท่านไปทิ้งในป่าไม่ได้นะ อันนี้เป็นรูปเปรียบไว้ คงให้แสดงให้เด็ก ๆ ทั้งหลายฟังว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ มีรูปเป็นอย่างนี้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าจริงๆ มองไม่เห็น ถ้าปัญญาไม่เกิดไม่รู้จัก ฉะนั้นจึงปั้นรูปนี้เป็นโลหะบ้างเป็นดินเผาขึ้นมาให้เป็นพระพุทธรูป อันนี้มีอุบายเท่านั้นเอง อันนี้พระพุทธเจ้าที่มีรูปร่างเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ใช่ตัวจริงของท่าน ที่มีรูปร่างก็จริงแต่ก่อนท่านไปรู้ธรรม ท่านถึงเป็นพระพุทธเจ้า
ให้เข้าใจกันเสียใหม่ พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้นก็เรียกว่าทุกวันนี้ท่านยังอยู่ ท่านตายไปที่ไหน ไม่ได้ไปที่ไหนยังอยู่ ท่านรู้พระธรรม ความเป็นจริงนั้นยังอยู่ พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว พระพุทธเจ้าอย่างที่เรียกว่าธรรมะนั่นยังอยู่ ถ้าเราเข้าใจในธรรมะ เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องไปไหว้พระพุทธเจ้าองค์นั้นไม่ใช่องค์นี้ ทุกข์มันเกิดมาจากอะไร ถ้ามีความรู้ชัดเจน จะรู้ได้ว่ามันเกิดมาจากอันนั้น แล้วก็ไปทำลายเหตุนั้นเสีย ความสุขมันเกิดมาจากตรงไหน ต้องรู้จักเหตุมันเกิดมาอย่างนั้น ให้มีความรู้อย่างนี้ กราบพระพุทธเจ้าจึงเกิดประโยชน์ นับถือพระพุทธเจ้าจึงเกิดประโยชน์
ถ้าคนไม่เข้าใจถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงแล้ว ก็เรียกว่าไม่เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ถ้าเราไปกราบพระพุทธเจ้าองค์นั้น ทุกข์เกิดขึ้นมาก็จะหายไป หรือทุกข์เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะมีความตรัสรู้ธรรมความเป็นจริงแล้ว อะไรที่เป็นเหตุให้ทุกข์เกิดก็รู้จัก อะไรความดับทุกข์ก็รู้จัก อะไรเป็นทุกข์ก็รู้จัก อะไรที่เป็นข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ก็รู้จัก แปลว่าทุกข์มันเกิดไม่ได้ เพราะความรู้ตามเป็นจริงเกิดขึ้นในใจของเราแล้ว นั้นคือพระพุทธเจ้าโดยธรรมที่ยังไม่ตาย ยังเหลืออยู่คือความจริงยังมีอยู่ พระสงฆ์ที่มีจิตใจตรัสรู้อย่างนั้นรู้ขึ้นมาแล้ว ก็พระสงฆ์นี้ปฏิบัติตามธรรมะนั้นเช่นว่า เรานี้มีกายมีวาจามีจิตใจรวมปฏิบัติตามธรรมะคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นั้น ก็เรียกว่าพระสงฆ์ทั้งนั้น ฉะนั้นลักษณะทั้งสามประการนี้ คือพระพุทธหนึ่ง พระธรรมหนึ่ง พระสงฆ์หนึ่ง แยกจากกันไม่ได้ รวมกันอยู่ เป็นพุทธเป็นธรรมเป็นสงฆ์ เรามาทำใจของเราให้เป็นพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์แล้ว เราจะเห็นพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ตั้งอยู่ที่ใจเรานี้
พระพุทธเจ้ายังไม่ตาย
พระธรรมเทศนา ชุดที่ ๗
ปล่อยวาง ว่างสบาย
http://www.fungdham.com/sound/cha.html
วันนี้ เป็นวันหนึ่งซึ่งมีโอกาสที่จะได้มาพูดกับญาติโยมทั้งหลาย เพื่อเพิ่มความเข้าใจอีกต่อไป ซึ่งอาตมาได้มีโอกาสที่ได้มาเยื่ยมบริษัทบริวารทั้งหลายในที่นี้ รู้สึกว่ามีความภูมิใจเป็นอย่างมาก วันนี้เป็นวันที่ใกล้วันที่สุดท้ายเข้าเสียแล้ว จะรวบรวมข้อปฏิบัติมาพูดให้ญาติโยมทั้งหลายเข้าใจเพิ่มไปอีก เกี่ยวกับเรื่องความเป็นมาของพุทธศาสนากับทางผู้ที่ประกาศพุทธศาสนาเป็นเบื้องแรก
ที่นี่รู้สึกว่ามันบกพร่องเป็นบางอย่าง ทีนี้จะเพิ่มเติมให้สมบูรณ์บริบูรณ์สำหรับการกระทำของพวกเราทั้งหลาย พูดถึงในครั้งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าของเราประกาศพระศาสนานั้น คือมีสิ่งที่จะต้องปลูกไว้ในใจของพุทธบริษัท เพื่อให้มีความเลื่อมใส เช่น ว่าเราปฏิบัติพุทธศาสนานี้ มีอะไรเป็นหลักเบื้องแรก ครั้งแรกพระพุทธองค์ของเราประกาศพุทธศาสนานั้น ได้คนเพียงสองเท่านั้นแหละในครั้งแรก ต่อมามีความเลื่อมใสขึ้นมาเพิ่มเติมขึ้นมาเรื่อย ๆ มาจึงมากขึ้น ๆ ตลอดจนมาถึงห้าคน ต่อห้าคนมาก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ มาจนถึงทุกวันนี้ คือให้เป็นเครื่องหมายทางใจของพุทธบริษัททั้งหลายที่เรียกว่ารัตนตรัย คือพระพุทธหนึ่ง พระธรรมหนึ่ง พระสงฆ์หนึ่ง
เพื่อให้พุทธบริษัทมีความเลื่อมใสมากขึ้นเช่นว่า รัตนะท่านแปลว่าแก้วประเภทหนึ่ง แก้วคือพระพุทธ แก้วคือพระธรรม แก้วคือพระสงฆ์ ทั้งสามประการนี้เป็นรัตนะ เป็นรัตนตรัยด้วย พระศาสนาที่เจริญมาทุกวันนี้ ก็เพราะอาศัยสิ่งทั้งสามประการนี้เป็นหลักของพุทธบริษัทเบื้องแรก คือให้พวกเราทั้งหลายถึงพระพุทธ ให้พวกเราทั้งหลายถึงพระธรรม ให้พวกเราทั้งหลายถึงพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลายทางใจ ผู้นับถือพระพุทธศาสนานี้ ท่านให้เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งสามประการนี้ ให้นับถือเป็นอย่างยิ่ง ไม่ให้นับถืออย่างอื่นยิ่งกว่าทั้งสามประการนี้ เพราะหลักสามประการนี้ ธรรมะคำสั่งสอนเคลื่อนมาจากรัตนะทั้งสามประการนี้ตลอดถึงทุกวันนี้
พระพุทธเจ้าถ้าพูดตามส่วนบุคคลในความเป็นจริงนั้น พระพุทธเจ้าที่มีรูปมีนามก็คือ สิทธัตถราชกุมาร ความเป็นจริงพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ กาลใดก็ยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าก็ยังมีอยู่ ไม่ได้ไปที่ไหนทุกวันนี้ยังมีอยู่ ถ้าผู้มีปัญญาแล้ว จะได้เห็นพระพุทธเจ้าก็เห็นได้ในปัจจุบันนี้ เพระท่านยังอยู่ พระธรรมก็ยังอยู่ พระสงฆ์ก็ยังอยู่ แล้วก็ต้องการอยากจะให้เอาพระพุทธเข้ามาไว้ในใจของพวกเราด้วย แล้วเอาพระธรรมเข้ามาไว้ในใจของพวกเราด้วย แล้วเอาพระสงฆ์เข้ามาไว้ในใจของพวกเราด้วย คือเรามาทำความเข้าใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไว้ที่ใจของเราเสียแล้ว เราจะนั่งก็นั่งอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะนอนก็นอนอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะยืนก็ยืนอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ใจแล้ว
อันนี้ก็เป็นเหตุให้พุทธบริษัทเราสงสัย ไม่เข้าใจหรือไม่ถึงพระพุทธ พระธรรมอย่างแท้จริง พระพุทธเจ้ายังเป็นตัวเป็นตนเช่นสิทธัตถราชกุมารนั้น ท่านก็เป็นเนื้อ เป็นหนัง เป็นกระดูก เป็นเอ็น เป็นมนุษย์ เป็นธาตุ ธรรมดาเหมือนกับเราทุกวันนี้ ประชาชนทั้งหลายก็เข้าใจว่า องค์นั้นเป็นที่พึ่งของเรา เมื่อท่านนิพพานไปแล้วก็ร้องไห้โศกเศร้าปริเทวนารำพัน นึกว่าท่านตายแล้ว
เราก็ลองคิด ๆ ดูว่า พระพุทธเจ้าที่ได้เป็นพระพุทธเจ้านั่นคืออะไร ท่านรู้อะไรไหม สิทธัตถราชกุมารคนนั้นคือมารู้ธรรมะ มารู้ธรรมะ ธรรมะเป็นคือเครื่องตรัสรู้ของท่าน ที่อมตะธรรมคือธรรมอันไม่ตาย ก็ท่านไปค้นพบธรรมอันนี้ขึ้นมา ก็ชื่อว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า คือท่านค้นธรรมะเห็นก่อน ตัวท่านไม่ใช่เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าโดยเนื้อหนัง ถ้าหากว่าท่านไม่เห็นธรรม ท่านก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งจึงไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูก ไม่มีหนัง เป็นสภาวะธรรมตั้งมั่นอยู่ในโลกอย่างหนึ่ง พระองค์มาเห็นธรรมอันหนึ่งนี้ ชื่อท่านจึงว่าพระพุทธเจ้า ความเป็นจริงพระพุทธเจ้ายังอยู่ ฉะนั้นคนที่มีตาเนื้อไม่มีตาใจคือปัญญา ไม่เห็นพระพุทธเจ้า
โบราณกาลท่านจึงทำโลหะนี้เป็นรูปพระให้เด็ก ๆ มันมาเห็นนี่พระพุทธเจ้า แล้วก็มากราบโลหะนี้ก็นึกว่าพระพุทธเจ้า กราบเฉย ๆ นับถือพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าองค์นี้ก็แปลกนะ เมื่อญีปุ่นทำขึ้นก็เหมือนญีปุ่น เมื่อคนจีนทำขึ้นก็เหมือนคนจีน เมื่อแขกทำขึ้นก็เหมือนแขก เมื่อไทยทำขึ้นก็เหมือนไทย เมื่อลาวทำขึ้นก็เหมือนลาว ดูสิเป็นอย่างนั้นเปล่า เรามากราบอันนี้ ก็นึกว่าเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นมา เมื่อความไม่สบายเกิดขึ้นมา เมื่อภัยเกิดขึ้นมา ก็มากราบพระพุทธรูป พระพุทธเจ้าองค์นี้ว่าให้ช่วยฉัน อย่างให้ฉันเป็นทุกข์เลย อย่าให้ฉันเดือดร้อนเลย ให้ฉันสบายๆ ท่านก็ช่วยไม่ ท่านก็นั่งเฉยอยู่นั่น นั้นท่านเรียกว่ากราบพระพุทธเจ้าไม่ถูก นับถือพระพุทธเจ้าไม่ถูก มีความหลงใหลอยู่อย่างนั้นโดยมาก ในพุทธศาสนาพุทธบริษัทเป็นอย่างนี้มาก เมืองไทยยิ่งมากที่สุดเดี๋ยวนี้ ไปกราบท่านเมื่อทุกข์ไม่หาย ความเดือดร้อนไม่หายก็เลยเรียกว่าพระพุทธเจ้าไม่ดี ช่วยฉันไม่ได้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น อันนี้คือคนไม่มีปัญญา ไม่ถึงพระพุทธองค์อย่างแน่นอน
พูดอย่างนี้อย่าไปดูถูกท่านนะ บางทีจะมาหามท่านไปทิ้งในป่าไม่ได้นะ อันนี้เป็นรูปเปรียบไว้ คงให้แสดงให้เด็ก ๆ ทั้งหลายฟังว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ มีรูปเป็นอย่างนี้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าจริงๆ มองไม่เห็น ถ้าปัญญาไม่เกิดไม่รู้จัก ฉะนั้นจึงปั้นรูปนี้เป็นโลหะบ้างเป็นดินเผาขึ้นมาให้เป็นพระพุทธรูป อันนี้มีอุบายเท่านั้นเอง อันนี้พระพุทธเจ้าที่มีรูปร่างเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ใช่ตัวจริงของท่าน ที่มีรูปร่างก็จริงแต่ก่อนท่านไปรู้ธรรม ท่านถึงเป็นพระพุทธเจ้า
ให้เข้าใจกันเสียใหม่ พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้นก็เรียกว่าทุกวันนี้ท่านยังอยู่ ท่านตายไปที่ไหน ไม่ได้ไปที่ไหนยังอยู่ ท่านรู้พระธรรม ความเป็นจริงนั้นยังอยู่ พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว พระพุทธเจ้าอย่างที่เรียกว่าธรรมะนั่นยังอยู่ ถ้าเราเข้าใจในธรรมะ เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องไปไหว้พระพุทธเจ้าองค์นั้นไม่ใช่องค์นี้ ทุกข์มันเกิดมาจากอะไร ถ้ามีความรู้ชัดเจน จะรู้ได้ว่ามันเกิดมาจากอันนั้น แล้วก็ไปทำลายเหตุนั้นเสีย ความสุขมันเกิดมาจากตรงไหน ต้องรู้จักเหตุมันเกิดมาอย่างนั้น ให้มีความรู้อย่างนี้ กราบพระพุทธเจ้าจึงเกิดประโยชน์ นับถือพระพุทธเจ้าจึงเกิดประโยชน์
ถ้าคนไม่เข้าใจถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงแล้ว ก็เรียกว่าไม่เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ถ้าเราไปกราบพระพุทธเจ้าองค์นั้น ทุกข์เกิดขึ้นมาก็จะหายไป หรือทุกข์เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะมีความตรัสรู้ธรรมความเป็นจริงแล้ว อะไรที่เป็นเหตุให้ทุกข์เกิดก็รู้จัก อะไรความดับทุกข์ก็รู้จัก อะไรเป็นทุกข์ก็รู้จัก อะไรที่เป็นข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ก็รู้จัก แปลว่าทุกข์มันเกิดไม่ได้ เพราะความรู้ตามเป็นจริงเกิดขึ้นในใจของเราแล้ว นั้นคือพระพุทธเจ้าโดยธรรมที่ยังไม่ตาย ยังเหลืออยู่คือความจริงยังมีอยู่ พระสงฆ์ที่มีจิตใจตรัสรู้อย่างนั้นรู้ขึ้นมาแล้ว ก็พระสงฆ์นี้ปฏิบัติตามธรรมะนั้นเช่นว่า เรานี้มีกายมีวาจามีจิตใจรวมปฏิบัติตามธรรมะคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นั้น ก็เรียกว่าพระสงฆ์ทั้งนั้น ฉะนั้นลักษณะทั้งสามประการนี้ คือพระพุทธหนึ่ง พระธรรมหนึ่ง พระสงฆ์หนึ่ง แยกจากกันไม่ได้ รวมกันอยู่ เป็นพุทธเป็นธรรมเป็นสงฆ์ เรามาทำใจของเราให้เป็นพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์แล้ว เราจะเห็นพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ตั้งอยู่ที่ใจเรานี้