แฉเบื้องลึก อเมริกาได้ผลประโยชน์อื้อจากการทำสงคราม

กระทู้ข่าว
Weekend Focus:แฉเบื้องลึก ! อเมริกาได้ประโยชน์อื้อจากสงคราม ข้ออ้างสร้างสันติ-พิทักษ์ประชาธิปไตย เป็นเพียง “ฉากหน้า”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ตุลาคม 2557 00:33 น.    





        ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในข่าวต่างประเทศกระแสหลัก ที่ผู้คนทั่วโลกเฝ้าติดตามและให้ความสนใจมากที่สุดข่าวหนึ่ง คือ ข่าวสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร เปิดการโจมตีทางอากาศระลอกแล้วระลอกเล่า ต่อกลุ่มนักรบญิฮัดรัฐอิสลาม (Islamic State : IS) ในซีเรียและอิรัก ที่แผ่ขยายอิทธิพลของตนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นภัยคุกคามสันติภาพทั้งของภูมิภาคตะวันออกกลางและของโลก
       
       การเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯและชาติพันธมิตร ต่อกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม ที่เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมาในหลายพื้นที่ทั่วซีเรีย รวมถึงดินแดนบางส่วนของอิรัก ถูกมองไม่ต่างจากการก่อ “สงครามครั้งใหม่” ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นตัวตั้งตัวตี ถัดจาก “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” ที่สหรัฐฯเป็นผู้ริเริ่มเอาไว้ทั้งในอัฟกานิสถาน และอิรัก ในสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช
       
       บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯที่เป็นเจ้าของรางวัล “โนเบลสาขาสันติภาพ” เมื่อปี 2009 พยายามออกโรงปฏิเสธหลายครั้งตลอดระยะเวลากว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมาว่า การโจมตีกลุ่มไอเอสไม่ถือเป็นสงครามเต็มรูปแบบอย่างเช่น สองสมรภูมิก่อนหน้านี้แต่อย่างใด โดยโอบามาอ้างว่า ปฏิบัติการทางทหารล่าสุดต่อกลุ่มไอเอสนี้ จะเน้นหนักไปที่การถล่มเป้าหมายจากบนฟากฟ้า โดยมีการส่งกำลังทหารอเมริกันจำนวนเพียง “หยิบมือ” เข้ากวาดล้างเป้าหมายทางภาคพื้นดิน ซึ่งต่างจากสงครามเต็มขั้นในอัฟกานิสถาน (ตั้งแต่ปี 2001) และอิรัก (ตั้งแต่ปี 2003) ที่ต้องใช้กำลังทหารอเมริกันเป็น “เรือนแสน”
       
       อย่างไรก็ดี ข้ออ้างแบบข้างๆคูๆในการก่อสงครามครั้งใหม่ของเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพผู้นี้ ดูจะฟังไม่ขึ้นสักเท่าใดนัก หลังมีการรั่วไหลของ “เอกสารลับ” ของสหรัฐฯจำนวนหนึ่งที่ระบุว่า รัฐบาลอเมริกันภายใต้การนำของชายที่ชื่อโอบามาหาทางก่อสงครามครั้งใหม่ โดยรู้เห็นเป็นใจและมี “เอี่ยว” กับบริษัทผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์หลายแห่งในประเทศของตัวเอง
       
       ข้อมูลลับที่รั่วไหลออกมาและถูกเปิดโปงโดยสื่อมวลชนหลายสำนักทั้งในและนอกสหรัฐฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ต่างบ่งชี้ว่า บริษัทด้านความมั่นคงสัญชาติอเมริกันหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นแฮลลีเบอร์ตัน (Halliburton) รวมถึง บริษัทที่อยู่ในเครืออย่างเคลล็อกก์ บราวน์ แอนด์ รูท (Kellogg Brown & Root) ซึ่ง “มีเอี่ยวทุกครั้ง” กับสงครามที่รัฐบาลสหรัฐฯเข้าร่วมนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเวียดนาม และการบุกอิรัก ฯลฯ คือ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศล่าสุดของสหรัฐฯต่อกลุ่มไอเอส
       
       โดยบริษัททั้งสองแห่งนี้ถูกระบุว่าได้รับสัมปทานทางการทหารนับสิบสัญญา จากรัฐบาลโอบามาและกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ซึ่งในจำนวนนี้ รวมถึง สัญญาในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับพวก “กบฏสายกลาง” ในซีเรีย สำหรับใช้จู่โจมที่มั่นของพวกไอเอสทางภาคพื้นดิน
       
       นอกจากแฮลลีเบอร์ตัน และบริษัทลูกอย่างเคลล็อกก์ บราวน์ แอนด์ รูทแล้ว ยังมีบริษัทด้านความมั่นคงสัญชาติอเมริกันอีกหลายแห่งที่ “ได้ประโยชน์” จากการก่อสงครามครั้งใหม่กับกลุ่มนักรบไอเอส ไม่ว่าจะเป็นบริษัทโบอิ้ง (Boeing) ที่ได้สิทธิ์ในการจัดหายุทโธปกรณ์ที่จำเป็นต่อการโจมตีทางอากาศ , บริษัทเรย์ธีออน (Raytheon) ที่ได้รับสัญญาจากรัฐบาลโอบามาในการจัดหา “ขีปนาวุธนำวิถี” ตลอดจนบริษัทล็อคฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) ที่เป็นเจ้าของสัมปทานในการจัดหาและส่งมอบขีปนาวุธจากอากาศสู่พื้น (air-to-surface missile) สำหรับใช้โจมตีกลุ่มไอเอส
       
       ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบข้อมูลว่า มีบริษัทสัญชาติอเมริกันอื่นๆ ที่ได้ผลประโยชน์จากการก่อสงครามครั้งใหม่ต่อกลุ่มไอเอสด้วย อย่างเช่น บริษัท ไดน์คอร์ป อินเตอร์เนชันแนล (DynCorp International) ที่มีชื่อเป็นผู้ได้รับว่าจ้างจากรัฐบาลโอบามาให้เข้าไปทำการ “ฝึกอาวุธ” ให้กับตำรวจและกองกำลังความมั่นคงในอิรัก สำหรับต่อกรกับกลุ่มไอเอส
       
       ข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกมาดังกล่าวยังชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลบารัค โอบามา นำ “เงินภาษีของชาวอเมริกัน” จำนวนมหาศาลซึ่งอาจสูงเกินกว่า 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราวปีละ 713,420 ล้านบาท) ไปใช้ในการ “สานต่อความขัดแย้ง” และ “โหมกระพือไฟสงคราม” ในภูมิภาคตะวันออกกลางในรูปแบบต่างๆ
       
       เป็นที่ทราบกันดีว่า “สหรัฐฯไม่เคยต้องการให้เกิดสันติภาพที่แท้จริง” ในภูมิภาคแห่งนี้ เนื่องจากตราบใดที่ตะวันออกกลางยังคงเป็นภูมิภาคแห่งความขัดแย้ง อเมริกาก็จะยังคงสามารถกอบโกยผลประโยชน์จากภูมิภาคแห่งนี้ได้ต่อเนื่องไม่รู้จักจบสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการกอบโกยทรัพยากรล้ำค่าอย่าง “น้ำมัน” รวมถึงผลประโยชน์มหาศาลจาก “การค้าอาวุธ” ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐอเมริกาไม่อาจทำเช่นนี้ได้อีก หากประเทศอาหรับในตะวันออกกลางอยู่ในความสงบและมีเอกภาพ
       
       จากข้อมูลลับที่รั่วไหลและถูกเปิดโปงจากสื่อหลายสำนักทั่วโลกข้างต้น ได้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลอเมริกันในยุคของชายที่ชื่อว่า บารัค โอบามา นี้ ยังคงเป็นรัฐบาลที่ “กระหายสงคราม” ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารัฐบาลอเมริกันในยุคก่อนหน้า แม้โอบามาจะเคยพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ด้วยการชูภาพของตัวเองเป็น “ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง” ที่ตระหนักถึงคุณค่าของ “เสรีภาพ+สิทธิมนุษยชน+ประชาธิปไตย” จนสามารถคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมาครองได้เมื่อ 5 ปีก่อน
       
       ดังนั้น จึงไม่ผิดนักหากจะสรุปว่า เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพรายนี้ มิได้ปรารถนาจะเห็นสันติภาพที่แท้จริงบังเกิดขึ้นทั้งในตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นของโลก หรืออาจพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า หากผู้นำสหรัฐฯกล่าวถึง “สันติภาพ”ในสุนทรพจน์อันสวยหรูเมื่อใด สิ่งที่เขาหมายถึงจริงๆแล้วก็คือ “สงครามและผลประโยชน์” ที่สหรัฐฯมีแต่ “ได้กับได้” เท่านั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่