200 ปีที่ผ่านมาในการรักษาหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)

กระทู้สนทนา
มนุษย์พยายามต่อสู้กับโรคหัวใจล้มเหลวมาเป็นพันปี
ในสมัยโบราณใช้วิธีกรีดเลือดออกจากตัวคนไข้ที่มีอาการหายใจเหนื่อย และพบว่าคนไข้ส่วนหนึ่งอาการดีขึ้น อีกส่วนก็เสียชีวิตไป

ราวๆห้าร้อยปีก่อน สามารถสกัดสารชนิดหนึ่งในดอกถุงมือจิ้งจอก ซึ่งจัดเป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์มณเฑียรทอง ซึ่งใช้รักษาโรคมาตั้งแต่โบราณ พบว่าสารชนิดนี้ ช่วยลดบวม ลดอาการเหนื่อย และทำให้หัวใจเต้นช้าลงได้ ในคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว
สารชนิดนั้นก็คือ cardiac glycosides และยาดังกล่าวกืคือ digoxin

การรักษาโรคหัวใจยุคใหม่เริ่มขึ้นจริงๆราวๆสองร้อยปีก่อน เมื่อมีการนำเสนอทฤษฎีระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายมนุษย์
หลังจากนั้นอีกร้อยกว่าปี ยาขับปัสสาวะตัวแรกของโลกก็ถูกค้นพบโดยบังเอิญจากยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่ง ใช้ขับน้ำออกจากร่างกายด้วยหลักการคล้ายๆกับการกรีดเลือดออกจากร่างกายในสมัยโบราณ

การรักษาโรคหัวใจล้มเหลวในยุคใหม่ จึงเป็นการให้ยาสองขนานนั่นคือ ยา่ขับปัสสาวะ และ ยาบำรุงหัวใจที่ชื่อว่า digoxin
มันได้ผลเพราะ ตามหลักกลศาสตร์ของไหล การลดปริมาณเลือดที่กลับเข้าหัวใจกับเพิ่มการบีบตัวของหัวใจ สามารถทำให้การไหลเวียนในระบบทำได้ดีขึ้น

หมอสมัยก่อน ถ้าเราสังเกตดูในแฟ้มประวัติเก่าๆจะให้ยาสองตัวนี้เป็นหลัก
กระนั้นก็ตามเราพบว่ายาสองตัวนี้สามารถบรรเทาอาการคนไข้ได้ แต่คนไข้ก็เสียชีวิตเ่หมือนเดิม

หลังจากที่นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันค้นพบ X-ray เรามองเห็นเงาหัวใจได้ และนำไปสู้การมองเห็นภาพหลอดเลือดหัวใจโดยฉีดสีผ่านสายสวนได้ในที่สุด
การพยายามผ่ีาตัดต่อเส้นเลือดหัวใจหรือซ้อมขยายด้วยบอลลูน ช่วยรักษาภาวะหัวใจทำงานผิดปกติได้เพิ่มอีกในระัดับนึง

แนวคิดทางกลศาสตร์นี้ นำไปสู่การใช้ยาที่ลดภาระงานของหัวใจลง
นั่นก็คือยาขยายหลอดเลือดแดงส่วนปลาย มีการทดลองใช้ยาดังกล่าวนี้เป็นครั้งแรกในปี 1986 พบว่านอกจากลดอาการคนไข้ เราสามารถยืดอายุขัยของคนไข้ออกไปได้อีก หรือ ตายช้าลง
เรียกได้ว่าเป็นยาแรก ที่ทำให้คนไข้โรคหัวใจล้มเหลวตายน้อยลง

แนวคิดนี้นำไปสู่การค้นพบยาที่พลิกโฉมวงการแพทย์ครั้งประวัติศาสตร์
ก็คือการค้นพบยาในกลุ่มที่เรียกว่า ACEI อ่านว่า เอซ-อิน-ฮิ-บิ-เตอร์ นะครับ
เพราะยานี้ ขยายหลอดเลือดโดยไปขวางแกนทางเคมีอันหนึ่งในร่างกายมนุษย์ ที่เราเชื่อว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว
พบว่ายา ACEI สามารถยืดอายุขัยของคนไข้ที่หัวใจทำงานได้น้อยกว่าปกติ และช่วยให้ประโยชน์อื่นๆนอกเหนือไปจากยาขยายหลอดเลือดทั่วๆไป
(การค้นพบยานี้เกิดขึ้นตั้งแต่หมอหลายๆคนยังอยู่ชั้นประถมหรืออนุบาลอยู่เลย แต่เราก็ใช้มาจนปัจจุบัน)

แนวคิดเรื่องการยับยั้งแกนทางเคมีในร่างกาย นำไปสู่การใช้ยาต้านเบต้า มารักษาคนไข้หัวใจทำงานผิดปกติ โดยเป็นการยับยั้งแกนทางเคมีที่สองของหัวใจ และทำให้คนไข้ตายน้อยลงไปอีก

และสุดท้าย การค้นพบว่า ยาต้านแกนทางเคมีที่สาม โดยต้านการทำงานที่ส่วนปลายของอวัยวะสำคัญ พบว่าลดอัตราตายเพิ่มขึ้นไปอีกจากยาเดิม

หลังจากปี 2000 เป็นต้นมาการรักษาโรคหัวใจล้มเหลวอาจกล่าวได้ว่าเข้าสู่ยุคที่สองอย่างเต็มตัว แนวคิดการให้ยาสามตัวเพื่อปิดสามแกนทางเคมีในร่างกาย ถูกใช้เป็นสรณะ หวังเพื่อยืดอายุคนไข้ออกไป นั่นก็คือ
1. ACEI และ ARB
2. beta-blocker
3. aldosterone และ eplerenone
นอกเหนือจากการบรรเทาอาการโดยยึดหลักกลศาสตร์ของหัวใจด้วยใช้ยาขับปัสสาวะและ digoxin

ยาเหล่านี้ คนไทยผู้เสียภาษีทุกท่านไม่ต้องห่วง ประกันสุขภาพหรือ 30 บาทรักษาทุกโรคใช้ได้เกือบทั้งหมด

ยุคที่สามของการรักษา เริ่มชัดเจนขึ้นหลังปี 2000
นั่นก็คือการฝังเครื่องหรืออุปกรณ์ช่วการทำงานของหัวใจ
เพราะเรารู้ว่า สิ่งที่พรากชีวิตคนไข้หัวใจล้มเหลวไป คือการนำไฟฟ้าที่ผิดปกติของหัวใจ ดังนั้นเราจึงฝังเครื่องกระตุ้นหรือช๊อกหัวใจไว้ในร่างกายเลย คือ จะตายก็ไม่ให้ตายแต่ไม่ได้รักษาอะไร
แค่ฉุดวิญญาณคนไข้ไม่ให้หลุดออกจากร่าง ก็คือเครื่อง ICD
ต่อมาก็มีการใช้เครื่องที่นอกจากฉุดวิญญาณนี้แล้ว ยังช่วยบังคับการทำงานของหัวใจให้เป็นระเบียบมากขึ้น หรือ เครื่อง CRT-D
และที่กำลังจะเป็นแนวโน้มการรักษาในอีก 50 - 100 ปีข้างหน้าก็คือ
หัวใจเทียมแบบฝังเข้าไปในร่างกาย หรือ ที่เรียกว่า VAD
ทุกวันนี้ขนาดเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ จนต่อไปอาจจะมองไม่รู้เลยว่าใส่อยู่ก็ได้

เครื่องดังกล่าวนี้ พิสูจน์แล้วว่ายืดอายุคนไข้ออกไปได้และยังเพิ่มคุณภาพชีวิต่ให้คนไข้ตอนมีชีวิตได้อีกด้วย แต่ไม่ใช่คนไข้ทุกคนที่จะได้ประโยชน์จากการรักษาแบบนี้นะครับ และการจะใส่ข้อสำคัญอันนึงก็คือ คนไข้ไม่มีโรคร้ายแรงอื่นที่ทำให้มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี คือเราก็ไม่อยากฝืนสังขารเกินไปนัก

ล่าสุดเดือนที่แล้ว ได้มีการเปิดตัวผลการทดลองยาใหม่
ที่ใช้ทดแทนยาเดิม และสามารถลดอัตราตายลงไปได้อีกเท่าตัว
ก็คือ ยา LCZ696 โดยใช้หลัจกการปิดกั้นแกนทางเคมีเช่นเดิม
แต่เพิ่มฤทธิ์การทำงานมากขึ้นด้วยวิธีบางอย่าง ที่ต้องบอกว่าฝืนธรรมชาติการทำงานในร่างกายมนุษย์เพิ่มขึ้นไปอีก





ลองมานึกกันดูจริงๆแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามนุษย์เรากำลังพยายามทำอะไรกันอยู่
ฝืนสังขาร เพิ่มอายุขัยออกไป หรือ ยื้อกับความตายที่ควรเป็นไปตามธรรมชาติ
อาชีพแพทย์นี่นึกๆไปแล้ว ก็น่าขนลุกเหมือนกันนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่