เมื่อประมาณ 6 - 7 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่เริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัย คนส่วนใหญ่ก็คงตื่นเต้นที่จะได้เจอเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ส่วนอิฉันก็แค่รู้สึกว่า เฮ้อ อิฉันมีที่เรียนกะเค้าด้วย แถมได้มาเรียนในสิ่งที่ตัวเองเกลียดอีก ดันสอบเอง สอบติดมันก็ติดดิ เอ้อ...เอาหว่ะ ดีกว่าไม่ได้เรียน (คิดเองในใจ ณ เวลานั้น) ตอนสอบสัมภาษณ์กับอาจารย์ อาจารย์ใจดีมาก ถามสบาย ๆ แต่ตอนเวลา จขกท. ตอบนี่กวนบาทาอาจารย์มาก ๆๆๆๆๆ แหน่ะ ยังถามและตอบกวน ๆ อาจารย์อีก (มันน่านัก...ทำเป็นเก๊ก ทำเป็นหยิ่ง เดี๋ยว ตกสัมภาษณ์แล้วจะขำไม่ออก) ที่จริงไม่ใช่อะไรหรอก จขกท. ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แต่พอทั้งผลสอบตรง และสอบสัมภาษณ์ออกมา นั่น เผือก ผ่าน! เอาดิหว่ะ จะเรียน อันเนี้ยะจริง ๆ เหรอ ม่ะ เรียนก็เรียน พอหลังจากนั้นก็ต้องเรียนปรับพื้นฐานอะไรซักอย่างนี้แหล่ะ ทีนี้ละเหวยยย.......ได้เรียนรวมกับเพื่อน ๆ ต่างคณะ แหม๋ จะได้มีเพื่อนเพิ่มล่ะมันเยี่ยมจริง ๆ ตอนนั้นที่เรียนปรับพื้นฐานก็เรียนแค่ภาษาอังกฤษวิชาเดียว (มางี้ก็หมูซิ มีเวลาเยอะ แถมวิชาเดียว แบบนี้แอบเหล่หนุ่ม ๆ ได้ เอ้ย ไม่ใช่) พอตารางจริงออกต้องมาเรียนคอร์สนี้ไป 10 วัน หยุดเสาร์ - อาทิตย์
วันแรกเราก็มองหากลุ่มเพื่อนเก่า ๆ จากโรงเรียนมัธยมที่จบมา (เพื่อนในคณะก็ยังไม่รู้จักใคร ไปแบบ งง ๆ เลยจ๊ะ) พอเจอเพื่อน ๆ ปุ๊บ เพื่อนก็แนะนำเพื่อนในคณะนางให้รู้จัก ตอนนั้นก็เจอกันครั้งแรกก็ทักทายธรรมดา (เห็นเพื่อนนางล่ะ แอบคิดในใจ เอ่อ ตานี่ก็น่ารักดีแฮะ แอบกรี๊ด) ฉันก็ทำหน้านิ่ง ๆ แอบอมยิ้มหน่อย ช่วงวันสองก็ เฮ้ ๆ กับเพื่อนจาก รร.เก่าอยู่ แล้วก็เริ่มคุยกับเพื่อนนางด้วยแหล่ะนะ แต่ว่าตอนนั้นใจมันโฟกัสในเรื่องที่เรียนอยู่ ตานี่ก็มาชวนคุยนอกเรื่อง (อิฉันก็กำลังฟังอาจารย์อยู่ ยังไม่พร้อมเมาท์ค่ะคุณ) ใจจริงก็อยากคุยด้วยมั่ก ๆๆๆ แต่เขินคือ เขินจนหน้าแดง ยัยเพื่อนก็ถามว่า ทำไมหน้าแดง อ๋อ อากาศร้อน (ดีนะที่เรียนปรับพื้นฐานช่วงหน้าร้อนพอดี) และเลยอ้างว่าอาจารย์สอนอยู่ ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกัน แต่ในใจคิดไปว่า เอ....ที่เค้ามองนี่มองเพื่อนที่นั่งอิฉันหรือเปล่านะ
ชั่วโมงถัดไปอิฉันอยากสนอง need หน่อยจะคุยด้วย อาจารย์ดันให้นับเลขแยกกลุ่ม เฮ้อ หมดอารมณ์จะเสวนาเลยค่ะคุณ แต่ตอนนั้นตอนที่อยู่คนละกลุ่มครั้งแรก อิฉันนั่งหันหลังให้เพราะคิดว่าเดี๋ยวถ้าเห็นหน้า แล้วต้องยิ้มส่งไปส่งยิ้มมาเขินตายเลย ไม่เป็นอันเรียนกันพอดี ยิ่งเวลาอยู่ใกล้ ต่างคนก็ต่างแอบมองกัน มีหลายครั้งต่างคนก็ต่างจับได้ว่าแอบมองกัน เลยต้องทำเนียนหลบสายตา (ไม่ได้หลบสายตาเค้าอย่างเดียว หลบยัยเพื่อนด้วยจร้า)
วันเวลาผ่านไปนี่มันจะหมดอาทิตย์แรกล่ะนะ (แกคิดจะขอเบอร์โทรฉันบ้างไหม!! ถ้าจะเอาอิฉันล่ะจะให้เลย ฮ่า ๆๆๆๆ !) ตอนนั้นคิดว่า เราท่าจะบ้าไปล่ะ หรือไม่ก็คงเพี้ยน เค้าแค่เป็นเพื่อนของเพื่อน ก็แค่มีน้ำใจ เป็นมิตรใหม่ แต่ทุกวันที่เรียนด้วยกัน ฉันรู้ว่าเค้ามองอยู่ตลอดเวลา (แอบคิด มองอยู่ได้เป็นโรคจิตป่าวย่ะ ปากเสียเพื่อแก้เขิน
) แต่เรื่องที่จะเกิดขึ้นตามมานี่ซิ เฮ้อ...
จขกท.ขอออกตัวก่อนว่านี่เป็นกระทู้แรก อ่านแล้วจะรู้สึกว่า จขกท.เป็นพวกเยอะ แบบ งง ๆ ก็ขออภัย ณ จ๊ะ เอ้ย! ณ ที่นี้ด้วย ไว้มาต่อใหม่ เดี๋ยวมาจร้า
มาต่อแล้วค่ะ
พอรอมาถึงวันสุดท้ายของสัปดาห์แรกที่เรียน ก็อย่างที่ว่า คนอะไรมองอย่างเดียว พอพูดด้วยก็หลบ สงสัยคงมองเพื่อนที่นั่งข้างเราแล้วล่ะ ผ่านไปหนึ่งคาบ (1 คาบ/ชั่วโมง) ก็ไม่สนใจ เอ๊ะ เรานั่งโต๊ะไกลมั้ง เค้าเลยไม่พูดด้วย พอช่วงบ่ายมา เค้าก็นั่งเรียนไม่มอง ไม่สนใจ อิฉันก็เลย เอ้อ คงมองเพื่อนเราจริง ๆ แล้วล่ะ เพ้อเจ้อ ไปได้นะเรา พอมาถึงวันศุกร์ตอนเช้า คิดไปได้ว่า ก็คงต้องไปซื้อปุ๋ยไปใส่ในไร่แห้วซะล่ะเรา พอช่วงบ่ายมาเรียนอีกที น่าน..........คิดได้ไม่ทันไร พอเริ่มเรียนไปได้ซักพักดันเผลอตัวไปมองเขาอีกที เฮ้ย ที่นี้ไม่ทันตั้งตัวต่างคนต่างตกใจ (ไม่คิดว่าเขาจะจ้องเรานาน อิฉันก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะค่ะ คุณ ๆ ขา) ไม่รู้เพราะตกใจ หรือ เพราะเขิน ที่เขามองมา หรือว่า อาย ที่เขาเหมือนจะมองทะลุเข้ามาในกลางใจ อยู่ ๆ หน้าก็แดง แดงมาก ๆ จนยัยเพื่อน (ที่นี้เป็นเพื่อนในคณะ) ถามด้วยความเป็นห่วง เฮ้ย แกเป็นไร อยู่ ๆ ก็หน้าแดงแจ๊ดแจ๋ (ให้ตายซิ คุณเพื่อน ห่วงไม่ว่าพูดซะดังเลย เขาก็รู้อ่ะซิแก) ทีนี้คนที่จ้องมองเรา ดั้นได้ยินแอบอมยิ้ม โอ๊ย ๆๆๆ ตายล่ะ แบบนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนย่ะ อิฉันก็เลย ปดเพื่อนไปว่า ก็อากาศมันร้อน เราเครเพื่อน สบายดี (เอาเหมือนเดิมอีกแล้ว) เพื่อนก็ดีนะ
"เฮ้ยยยยย....แกแน่ใจนะ" เพื่อนเรามันก็ดี มันถามอย่างห่วงใย อิฉัน ก็เลยตอบไปว่า "อืม เราไหว" หลังจากนั้นอิฉันก็เลยต้องทนหน้าแดงไปจนหมดวัน แหม คนเราหนอ ดีนะที่เป็นวันศุกร์ ตอนเย็นมา โอ๊ย กินยาแทบไม่ทัน ปวดหัว เลย ทำงัยได้ก็ตอนบ่าย อากาศก็ร้อน ยังมาอายคนจ้องมองอีก ป่วยเลยล่ะซิทีนี้ นอนซมไปได้เลยค่ะเสาร์-อาทิตย์ แม่อิฉันล่ะ งง ลูกไปเรียนภาษาอังกฤษ คงเรียนหนักมากคงเครียดน่าดู (ที่จริงแล้วเปล่าเลยค่ะคุณแม่ขา ลูกเขินผู้ชายค่ะ จนหน้าแดงตลอดบ่าย กว่าหัวใจจะเต้นเป็นปกติได้ก็ใกล้จะถึงบ้านแหล่ะค่ะ)
พอมาวันจันทร์ ก็ดีนะที่รีบกินยาดักไว้ก่อนไม่งั้นไม่ได้ไปเรียนแน่ พอวันจันทร์มานี่รู้ล่ะว่าเขาไม่มองเรา เหมือนสัปดาห์ก่อน เราก็ใจชื้นขึ้น ทีนี้ก็นั่งเรียนเรื่อย ๆ สบาย ๆ พอมองตากันก็ใจเย็น (ที่จริงแล้ว ช่วงวันอาทิตย์ ที่ดีขึ้นก็ฝึกกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เพื่อที่เวลาเจอเขามองมาจะได้ไม่เขินอาย) เราก็นึกว่าเขาไม่มองเราแล้วก็คงจะดีขึ้น แต่เขาดันเอาโทรศัพทืมือถือยกขึ้นมาถ่ายรูป (แอบถ่าย) เฮ้ย ไม่แน๊ะ...... เอิ่ม คราวนี้ถ่ายซะรู้เลยว่าถ่าย ไม่รู้จะทำงัยดีก็เลยทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่สนใจ แต่ในใจแอบคิดตลอดว่า.....เขาคิดอะไรกะฉันป่าวหว่ะเนี้ยะ.....(เอ หรือว่าเขาจะชอบของแปลกอย่างเรา เหวยยยยย.....อิฉันที่จริงก็ไม่ได้แปลกขนาดนั้นนะ
).....เอ่อ ถ่ายรูป แค่รูปสองรูป คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ช่างเถอะ ถ่ายไปก็คงเห็นไม่ชัด ก็ปล่อยไป กลับถึงบ้านก็เริ่มคิด.....คิด...คิด..เฮ้ย! แล้วที่ถ่ายรูปนั้น!!!! ถ้าถ่ายมาก็ตั้งแต่วันอังคารของสัปดาห์แรกที่เรียนด้วยกันแล้วซิ เฮยยยย ไม่ม้างงงงง เขาคงถ่ายรูปทุกคนแหล่ะ เอาเป็นว่า ถ้าเขากล้าถ่ายรูป ก็ให้ถ่ายไป ก็ล่ะกัน
และแล้วเวลาที่จะได้เรียนด้วยกันก็เหลือแค่สองวัน ทุกวันที่ผ่านมา เขาก็แค่ถ่ายรูป พอพูดด้วยก็พูดน้อยมาก (หรือว่าฉันพูดเยอะ อันนี้ท่าจะใช่ มั้ง) ตอนเช้าอาจารย์สอนภาษาอังกฤษก็มาบอกว่า วันพฤหัสฯ นี้จะเป็นวันสุดท้ายของการเรียนปรับพื้นฐานแล้วนะ วันศุกร์ จะต้องสอบวัดผล เอาล่ะซิ ตายล่ะหว่า มั่วแต่เขิน มั่วแต่อาย ผู้ชาย บ้าไปแล้ว ช่วงบ่ายจะเป็นการทบทวนให้ก่อนสอบวันพรุ่งนี้นะ และแล้วช่วงบ่าย อิฉันก็เครียดมาก...หรือว่ามากที่สุดก็ไม่รู้เพราะกลัวพลาด แล้วจะมีผลต่อการเรียนข้างหน้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เข้าเรียนช่วงบ่าย ทั้ง ๆ ที่ควรจะได้สนุกสนานเวลาเรียนกับเพื่อน ๆ แต่ละคนในห้องนั่งเครียดหมด แต่ดันมีใครก็ไม่รู้ ยุกยิก ๆ ตลอด แล้วดันมานั่งข้างหน้าอีก โอ๊ย ๆๆๆ พรุ่งนี้จะสอบแล้วนะ
เว้ยเฮ้ยยยย.... จขกท. ก็หงุดหงิดอย่างแรง ดีนะตอนที่ใครก็ไม่รู้ ยุกยิก ๆ นั้นยังไม่เจอ จขกท. องค์ลง ตอนอาจารย์สอนอยู่ พออาจารย์ออกไปข้างนอกห้อง (จำได้ว่าอาจารย์บอกให้ลองทำดูก่อน แล้วจะกลับมาเฉลย) เหยยยยยย.....จะทำเสร็จทันไหมเนี้ยะ คนที่นั่งข้างหน้า หันมาพร้อมกับเอามือถือมาถ่ายรูป กรี๊ดดดดดด.....ยิ่งเร่งทำอยู่ด้วย (คนเขินก็เขิน ดันมาถ่ายรูปซะโจ่งแจ้ง) ทีนี้ จขกท. ดันปากไวกว่าความคิดไปได้"ถ่ายรูปคนอื่นเขาอยู่ได้ โรคจิตหรืองัย หรือไม่มีอะไรให้ทำแล้ว" (คือ ตอนนั้นมองคนที่ถ่ายรูปมาอย่างไม่เต็มตาเลย เห็นอีกที กรี๊ดดดดด.....แย่แล้ว ฉันไม่น่าเลย ฉัน ฉันทำอะไรลงไป ไม่นะ โอย เห็นสีหน้าเขาซีด ยิ้มเจื่อน ๆ แบบว่าไปไม่ถูกเลย) หลังจากนั้น เพื่อนฉันก็อึ้ง (ฉันเองก็อึ้ง)...แล้วเพื่อนก็พูดว่า "เฮ้ย แกที่เขาถ่ายรูปแกไป เขาคงคิดว่าแกน่ารัก" (ในใจ โอย หมดกันฉัน
ฉันก็เลยรู้สึกผิดมากกกกกกก) พอตอนเย็นมามือถือที่เขาเอาถ่ายรูปในตอนนั้นมันก็หายไป คิดในใจ เขาคงโมโหเอาไปโยนทิ้ง หรือไม่มันก็หายไปจริง ๆ ฉันจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าเขาโทษว่า เป็นเพราะมีรูปฉันในมือถือเขา มันทำให้มือถือเขาหายไป ฉันจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่ว่าเขาพูดว่า "ไม่เป็นไร แค่นี้เอง" (โถ่ ๆ พ่อคุณ อิฉันผิดเอง ไปว่าพ่อคุณซะเสียหายหมด มือถือมันคงน้อยใจ ก็เลยหายไป)
วันศุกร์วันสุดท้ายที่ได้เจอกันในการเรียนปรับพื้นฐาน ฉันพยายามจะขอโทษเขา แต่ว่าเขาไม่มองหน้าฉันเลย ฉันอยากขอโทษเขาตรง ๆ ต่อหน้าคนที่ฉันเคยว่าเขาไว้ ฉันก็เลยได้แต่เก็บไว้ในใจ เก็บมาถึงปีสามกับการเป็นนักศึกษาตอนนั้น มันอึดอัดมากอยากขอโทษเขาให้เคลียร์ ๆ ไปก็เลยขอเบอร์เขาจากเพื่อนอฉันนี่แหล่ะ เพื่อนก็ถามว่า จะเอาไปทำไม เราก็บอกไปว่าเราอยากขอโทษเรื่องที่ผ่านมา เพื่อนเราก็บอกเราว่า "เขาไม่คิดไม่ถือโทษอะไรเราแล้วล่ะ เพราะเรื่องมันนานมาแล้ว" อิฉันก็บอกไปว่า "เอามาเถอะเราไม่อยากค้างคาในใจอีก เรารู้สึกผิดมาก" และแล้วอิฉันก็ได้เบอร์เขามา แล้วก็ ขอโทษเขาตามที่อยากบอกไป แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องการทั้งหมด ก็อย่างที่เพื่อนเราบอก เขาบอกว่าเขาไม่ติดใจเรื่องที่ผ่านมา แต่พอเจอหน้ากัน เขาก็มองผ่าน ไปเห็นเราเป็นอากาศธาตุ ที่จริง จขกท.ชอบเขามากเลยนะ และอยากจะขอโทษเขาจริง ๆ ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงเรื่องนี้วนเวียนไปเรื่อย ๆ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ก็ขอใช้พื้นที่นี้ในการขอโทษเขาอีกครั้งหนึ่งนะ ให้สมควรกับสิ่งที่ จขกท.ได้ทำให้เขาเสียความรู้สึกในวันนั้น อิฉันอยากบอกกับเขาว่า "เราขอโทษนะ ที่เราได้พูดในสิ่งที่รุนแรงเกินไป ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเธอเป็นคนดี เป็นน่ารักคนหนึ่ง เราเสียใจกับการกระทำของเรามาตลอด หวังว่าถ้าเธอได้อ่านแล้วก็ได้โปรดอย่าเกลียดเราอีกเลย 6-7 ปีที่ผ่านมาเราก็เสียใจมาตลอดถึงแม้ว่าเราจะรู้จักกันไม่นาน ไม่ได้สนิทกันมาก แต่ยังงัยเราก็จะพยายามให้อภัยตัวเอง เพื่อที่ถ้าวันหนึ่งต่างคนต่างเจอกันจะได้ไม่มีเรื่องใด ๆ ติดค้างกันอยู่ในใจ"
ขอบคุณผู้อ่านที่ติดตามเรื่องอิฉันนะค่ะ หวังว่าครั้งหน้าจะเป็นเรื่องดี ๆ ไม่น่าสมน้ำ.... ตัวของ จขกท. อีก อิอิ
ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นแบบนี้ ไม่กล้าถาม แต่อยากรู้คำตอบ รบกวนช่วยแนะนำด้วยค่ะ
วันแรกเราก็มองหากลุ่มเพื่อนเก่า ๆ จากโรงเรียนมัธยมที่จบมา (เพื่อนในคณะก็ยังไม่รู้จักใคร ไปแบบ งง ๆ เลยจ๊ะ) พอเจอเพื่อน ๆ ปุ๊บ เพื่อนก็แนะนำเพื่อนในคณะนางให้รู้จัก ตอนนั้นก็เจอกันครั้งแรกก็ทักทายธรรมดา (เห็นเพื่อนนางล่ะ แอบคิดในใจ เอ่อ ตานี่ก็น่ารักดีแฮะ แอบกรี๊ด) ฉันก็ทำหน้านิ่ง ๆ แอบอมยิ้มหน่อย ช่วงวันสองก็ เฮ้ ๆ กับเพื่อนจาก รร.เก่าอยู่ แล้วก็เริ่มคุยกับเพื่อนนางด้วยแหล่ะนะ แต่ว่าตอนนั้นใจมันโฟกัสในเรื่องที่เรียนอยู่ ตานี่ก็มาชวนคุยนอกเรื่อง (อิฉันก็กำลังฟังอาจารย์อยู่ ยังไม่พร้อมเมาท์ค่ะคุณ) ใจจริงก็อยากคุยด้วยมั่ก ๆๆๆ แต่เขินคือ เขินจนหน้าแดง ยัยเพื่อนก็ถามว่า ทำไมหน้าแดง อ๋อ อากาศร้อน (ดีนะที่เรียนปรับพื้นฐานช่วงหน้าร้อนพอดี) และเลยอ้างว่าอาจารย์สอนอยู่ ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกัน แต่ในใจคิดไปว่า เอ....ที่เค้ามองนี่มองเพื่อนที่นั่งอิฉันหรือเปล่านะ
ชั่วโมงถัดไปอิฉันอยากสนอง need หน่อยจะคุยด้วย อาจารย์ดันให้นับเลขแยกกลุ่ม เฮ้อ หมดอารมณ์จะเสวนาเลยค่ะคุณ แต่ตอนนั้นตอนที่อยู่คนละกลุ่มครั้งแรก อิฉันนั่งหันหลังให้เพราะคิดว่าเดี๋ยวถ้าเห็นหน้า แล้วต้องยิ้มส่งไปส่งยิ้มมาเขินตายเลย ไม่เป็นอันเรียนกันพอดี ยิ่งเวลาอยู่ใกล้ ต่างคนก็ต่างแอบมองกัน มีหลายครั้งต่างคนก็ต่างจับได้ว่าแอบมองกัน เลยต้องทำเนียนหลบสายตา (ไม่ได้หลบสายตาเค้าอย่างเดียว หลบยัยเพื่อนด้วยจร้า)
วันเวลาผ่านไปนี่มันจะหมดอาทิตย์แรกล่ะนะ (แกคิดจะขอเบอร์โทรฉันบ้างไหม!! ถ้าจะเอาอิฉันล่ะจะให้เลย ฮ่า ๆๆๆๆ !) ตอนนั้นคิดว่า เราท่าจะบ้าไปล่ะ หรือไม่ก็คงเพี้ยน เค้าแค่เป็นเพื่อนของเพื่อน ก็แค่มีน้ำใจ เป็นมิตรใหม่ แต่ทุกวันที่เรียนด้วยกัน ฉันรู้ว่าเค้ามองอยู่ตลอดเวลา (แอบคิด มองอยู่ได้เป็นโรคจิตป่าวย่ะ ปากเสียเพื่อแก้เขิน ) แต่เรื่องที่จะเกิดขึ้นตามมานี่ซิ เฮ้อ...
จขกท.ขอออกตัวก่อนว่านี่เป็นกระทู้แรก อ่านแล้วจะรู้สึกว่า จขกท.เป็นพวกเยอะ แบบ งง ๆ ก็ขออภัย ณ จ๊ะ เอ้ย! ณ ที่นี้ด้วย ไว้มาต่อใหม่ เดี๋ยวมาจร้า
มาต่อแล้วค่ะ
พอรอมาถึงวันสุดท้ายของสัปดาห์แรกที่เรียน ก็อย่างที่ว่า คนอะไรมองอย่างเดียว พอพูดด้วยก็หลบ สงสัยคงมองเพื่อนที่นั่งข้างเราแล้วล่ะ ผ่านไปหนึ่งคาบ (1 คาบ/ชั่วโมง) ก็ไม่สนใจ เอ๊ะ เรานั่งโต๊ะไกลมั้ง เค้าเลยไม่พูดด้วย พอช่วงบ่ายมา เค้าก็นั่งเรียนไม่มอง ไม่สนใจ อิฉันก็เลย เอ้อ คงมองเพื่อนเราจริง ๆ แล้วล่ะ เพ้อเจ้อ ไปได้นะเรา พอมาถึงวันศุกร์ตอนเช้า คิดไปได้ว่า ก็คงต้องไปซื้อปุ๋ยไปใส่ในไร่แห้วซะล่ะเรา พอช่วงบ่ายมาเรียนอีกที น่าน..........คิดได้ไม่ทันไร พอเริ่มเรียนไปได้ซักพักดันเผลอตัวไปมองเขาอีกที เฮ้ย ที่นี้ไม่ทันตั้งตัวต่างคนต่างตกใจ (ไม่คิดว่าเขาจะจ้องเรานาน อิฉันก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะค่ะ คุณ ๆ ขา) ไม่รู้เพราะตกใจ หรือ เพราะเขิน ที่เขามองมา หรือว่า อาย ที่เขาเหมือนจะมองทะลุเข้ามาในกลางใจ อยู่ ๆ หน้าก็แดง แดงมาก ๆ จนยัยเพื่อน (ที่นี้เป็นเพื่อนในคณะ) ถามด้วยความเป็นห่วง เฮ้ย แกเป็นไร อยู่ ๆ ก็หน้าแดงแจ๊ดแจ๋ (ให้ตายซิ คุณเพื่อน ห่วงไม่ว่าพูดซะดังเลย เขาก็รู้อ่ะซิแก) ทีนี้คนที่จ้องมองเรา ดั้นได้ยินแอบอมยิ้ม โอ๊ย ๆๆๆ ตายล่ะ แบบนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนย่ะ อิฉันก็เลย ปดเพื่อนไปว่า ก็อากาศมันร้อน เราเครเพื่อน สบายดี (เอาเหมือนเดิมอีกแล้ว) เพื่อนก็ดีนะ "เฮ้ยยยยย....แกแน่ใจนะ" เพื่อนเรามันก็ดี มันถามอย่างห่วงใย อิฉัน ก็เลยตอบไปว่า "อืม เราไหว" หลังจากนั้นอิฉันก็เลยต้องทนหน้าแดงไปจนหมดวัน แหม คนเราหนอ ดีนะที่เป็นวันศุกร์ ตอนเย็นมา โอ๊ย กินยาแทบไม่ทัน ปวดหัว เลย ทำงัยได้ก็ตอนบ่าย อากาศก็ร้อน ยังมาอายคนจ้องมองอีก ป่วยเลยล่ะซิทีนี้ นอนซมไปได้เลยค่ะเสาร์-อาทิตย์ แม่อิฉันล่ะ งง ลูกไปเรียนภาษาอังกฤษ คงเรียนหนักมากคงเครียดน่าดู (ที่จริงแล้วเปล่าเลยค่ะคุณแม่ขา ลูกเขินผู้ชายค่ะ จนหน้าแดงตลอดบ่าย กว่าหัวใจจะเต้นเป็นปกติได้ก็ใกล้จะถึงบ้านแหล่ะค่ะ)
พอมาวันจันทร์ ก็ดีนะที่รีบกินยาดักไว้ก่อนไม่งั้นไม่ได้ไปเรียนแน่ พอวันจันทร์มานี่รู้ล่ะว่าเขาไม่มองเรา เหมือนสัปดาห์ก่อน เราก็ใจชื้นขึ้น ทีนี้ก็นั่งเรียนเรื่อย ๆ สบาย ๆ พอมองตากันก็ใจเย็น (ที่จริงแล้ว ช่วงวันอาทิตย์ ที่ดีขึ้นก็ฝึกกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เพื่อที่เวลาเจอเขามองมาจะได้ไม่เขินอาย) เราก็นึกว่าเขาไม่มองเราแล้วก็คงจะดีขึ้น แต่เขาดันเอาโทรศัพทืมือถือยกขึ้นมาถ่ายรูป (แอบถ่าย) เฮ้ย ไม่แน๊ะ...... เอิ่ม คราวนี้ถ่ายซะรู้เลยว่าถ่าย ไม่รู้จะทำงัยดีก็เลยทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่สนใจ แต่ในใจแอบคิดตลอดว่า.....เขาคิดอะไรกะฉันป่าวหว่ะเนี้ยะ.....(เอ หรือว่าเขาจะชอบของแปลกอย่างเรา เหวยยยยย.....อิฉันที่จริงก็ไม่ได้แปลกขนาดนั้นนะ).....เอ่อ ถ่ายรูป แค่รูปสองรูป คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ช่างเถอะ ถ่ายไปก็คงเห็นไม่ชัด ก็ปล่อยไป กลับถึงบ้านก็เริ่มคิด.....คิด...คิด..เฮ้ย! แล้วที่ถ่ายรูปนั้น!!!! ถ้าถ่ายมาก็ตั้งแต่วันอังคารของสัปดาห์แรกที่เรียนด้วยกันแล้วซิ เฮยยยย ไม่ม้างงงงง เขาคงถ่ายรูปทุกคนแหล่ะ เอาเป็นว่า ถ้าเขากล้าถ่ายรูป ก็ให้ถ่ายไป ก็ล่ะกัน
และแล้วเวลาที่จะได้เรียนด้วยกันก็เหลือแค่สองวัน ทุกวันที่ผ่านมา เขาก็แค่ถ่ายรูป พอพูดด้วยก็พูดน้อยมาก (หรือว่าฉันพูดเยอะ อันนี้ท่าจะใช่ มั้ง) ตอนเช้าอาจารย์สอนภาษาอังกฤษก็มาบอกว่า วันพฤหัสฯ นี้จะเป็นวันสุดท้ายของการเรียนปรับพื้นฐานแล้วนะ วันศุกร์ จะต้องสอบวัดผล เอาล่ะซิ ตายล่ะหว่า มั่วแต่เขิน มั่วแต่อาย ผู้ชาย บ้าไปแล้ว ช่วงบ่ายจะเป็นการทบทวนให้ก่อนสอบวันพรุ่งนี้นะ และแล้วช่วงบ่าย อิฉันก็เครียดมาก...หรือว่ามากที่สุดก็ไม่รู้เพราะกลัวพลาด แล้วจะมีผลต่อการเรียนข้างหน้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เข้าเรียนช่วงบ่าย ทั้ง ๆ ที่ควรจะได้สนุกสนานเวลาเรียนกับเพื่อน ๆ แต่ละคนในห้องนั่งเครียดหมด แต่ดันมีใครก็ไม่รู้ ยุกยิก ๆ ตลอด แล้วดันมานั่งข้างหน้าอีก โอ๊ย ๆๆๆ พรุ่งนี้จะสอบแล้วนะ
เว้ยเฮ้ยยยย.... จขกท. ก็หงุดหงิดอย่างแรง ดีนะตอนที่ใครก็ไม่รู้ ยุกยิก ๆ นั้นยังไม่เจอ จขกท. องค์ลง ตอนอาจารย์สอนอยู่ พออาจารย์ออกไปข้างนอกห้อง (จำได้ว่าอาจารย์บอกให้ลองทำดูก่อน แล้วจะกลับมาเฉลย) เหยยยยยย.....จะทำเสร็จทันไหมเนี้ยะ คนที่นั่งข้างหน้า หันมาพร้อมกับเอามือถือมาถ่ายรูป กรี๊ดดดดดด.....ยิ่งเร่งทำอยู่ด้วย (คนเขินก็เขิน ดันมาถ่ายรูปซะโจ่งแจ้ง) ทีนี้ จขกท. ดันปากไวกว่าความคิดไปได้"ถ่ายรูปคนอื่นเขาอยู่ได้ โรคจิตหรืองัย หรือไม่มีอะไรให้ทำแล้ว" (คือ ตอนนั้นมองคนที่ถ่ายรูปมาอย่างไม่เต็มตาเลย เห็นอีกที กรี๊ดดดดด.....แย่แล้ว ฉันไม่น่าเลย ฉัน ฉันทำอะไรลงไป ไม่นะ โอย เห็นสีหน้าเขาซีด ยิ้มเจื่อน ๆ แบบว่าไปไม่ถูกเลย) หลังจากนั้น เพื่อนฉันก็อึ้ง (ฉันเองก็อึ้ง)...แล้วเพื่อนก็พูดว่า "เฮ้ย แกที่เขาถ่ายรูปแกไป เขาคงคิดว่าแกน่ารัก" (ในใจ โอย หมดกันฉัน ฉันก็เลยรู้สึกผิดมากกกกกกก) พอตอนเย็นมามือถือที่เขาเอาถ่ายรูปในตอนนั้นมันก็หายไป คิดในใจ เขาคงโมโหเอาไปโยนทิ้ง หรือไม่มันก็หายไปจริง ๆ ฉันจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าเขาโทษว่า เป็นเพราะมีรูปฉันในมือถือเขา มันทำให้มือถือเขาหายไป ฉันจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่ว่าเขาพูดว่า "ไม่เป็นไร แค่นี้เอง" (โถ่ ๆ พ่อคุณ อิฉันผิดเอง ไปว่าพ่อคุณซะเสียหายหมด มือถือมันคงน้อยใจ ก็เลยหายไป)
วันศุกร์วันสุดท้ายที่ได้เจอกันในการเรียนปรับพื้นฐาน ฉันพยายามจะขอโทษเขา แต่ว่าเขาไม่มองหน้าฉันเลย ฉันอยากขอโทษเขาตรง ๆ ต่อหน้าคนที่ฉันเคยว่าเขาไว้ ฉันก็เลยได้แต่เก็บไว้ในใจ เก็บมาถึงปีสามกับการเป็นนักศึกษาตอนนั้น มันอึดอัดมากอยากขอโทษเขาให้เคลียร์ ๆ ไปก็เลยขอเบอร์เขาจากเพื่อนอฉันนี่แหล่ะ เพื่อนก็ถามว่า จะเอาไปทำไม เราก็บอกไปว่าเราอยากขอโทษเรื่องที่ผ่านมา เพื่อนเราก็บอกเราว่า "เขาไม่คิดไม่ถือโทษอะไรเราแล้วล่ะ เพราะเรื่องมันนานมาแล้ว" อิฉันก็บอกไปว่า "เอามาเถอะเราไม่อยากค้างคาในใจอีก เรารู้สึกผิดมาก" และแล้วอิฉันก็ได้เบอร์เขามา แล้วก็ ขอโทษเขาตามที่อยากบอกไป แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องการทั้งหมด ก็อย่างที่เพื่อนเราบอก เขาบอกว่าเขาไม่ติดใจเรื่องที่ผ่านมา แต่พอเจอหน้ากัน เขาก็มองผ่าน ไปเห็นเราเป็นอากาศธาตุ ที่จริง จขกท.ชอบเขามากเลยนะ และอยากจะขอโทษเขาจริง ๆ ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงเรื่องนี้วนเวียนไปเรื่อย ๆ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ก็ขอใช้พื้นที่นี้ในการขอโทษเขาอีกครั้งหนึ่งนะ ให้สมควรกับสิ่งที่ จขกท.ได้ทำให้เขาเสียความรู้สึกในวันนั้น อิฉันอยากบอกกับเขาว่า "เราขอโทษนะ ที่เราได้พูดในสิ่งที่รุนแรงเกินไป ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเธอเป็นคนดี เป็นน่ารักคนหนึ่ง เราเสียใจกับการกระทำของเรามาตลอด หวังว่าถ้าเธอได้อ่านแล้วก็ได้โปรดอย่าเกลียดเราอีกเลย 6-7 ปีที่ผ่านมาเราก็เสียใจมาตลอดถึงแม้ว่าเราจะรู้จักกันไม่นาน ไม่ได้สนิทกันมาก แต่ยังงัยเราก็จะพยายามให้อภัยตัวเอง เพื่อที่ถ้าวันหนึ่งต่างคนต่างเจอกันจะได้ไม่มีเรื่องใด ๆ ติดค้างกันอยู่ในใจ"
ขอบคุณผู้อ่านที่ติดตามเรื่องอิฉันนะค่ะ หวังว่าครั้งหน้าจะเป็นเรื่องดี ๆ ไม่น่าสมน้ำ.... ตัวของ จขกท. อีก อิอิ