ทำไมไวรัสบางตัวจึงกลายพันธุ์จนติดต่อทางการหายใจได้?
แล้วเจ้าตัวที่ระบาดอยู่ในอัฟริกาตะวันตกนี่ล่ะ จะกลายพันธุ์กับเค้าด้วยหรือเปล่า?
อีโบลาสามารถกลายพันธุ์จนติดต่อทางการหายใจได้ไหม? ความหวาดระแวงนี้เกิดจากบทสัมพาษณ์ในหนังสือพิมพ์ New York Times เรื่อง
"อีโบลากับเรื่องที่เราไม่กล้าพูด" โดย Michael Osterholm ผู้อำนวยการ Center for Infectious Disease Research and Policy แห่งมหาวิทยาลัย Minnesota
แม้ว่าแพทย์จะพร้อมใจกันเห็นด้วยว่า ไวรัสอีโบลาติดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งทางการสัมผัสใกล้ชิดกับเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
Osterholm ได้เตือนว่า ความเสี่ยงที่อีโบลาสามารถแพร่กระจายเชื้อทางอากาศได้ เป็นเรื่องที่ "มีอยู่จริง" และถ้าเราไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้
โลกก็จะไม่ได้เตรียมตัวทำในสิ่งที่จำเป็น เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด
Michael Osterholm
แต่จากการสัมพาษณ์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อหลายๆคน เปิดเผยว่า การเกิด mutation (อันที่จริงเป็น series of mutations) แบบนั้น
แม้จะเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่โอกาสเกิดน้อยมากๆ
ในความเป็นจริงแล้ว แทบจะไม่มีอุบัติการณ์มาก่อนว่า ไวรัสตัวไหนจะสามารถเปลี่ยนวิธีหลักในการแพร่กระจายของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง
"เรามีปัญหาเยอะแล้วกับอีโบลา อย่าเพิ่มปัญหามาอีกเลย โดยเฉพาะอันที่เป็นไปได้ตามทฤษฎีแต่โอกาสเกิดจริงไปอยู่ท้ายสุดของตาราง"
William Schaffner ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อแห่งมหาวิทยาลัย Vanderbilt กล่าว
"ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ สามารถอธิบายได้ง่ายๆ ด้วยการแพร่กระจายแบบคนสู่คนโดยการสัมผัส เราไม่จำเป็นต้องอ้างคำอธิบายจากวิธีอื่นอีก"
ปัจจัยที่จะเอื้อให้ไวรัสเปลี่ยนเป็นแพร่กระจายทางอากาศได้มีดังนี้ อย่างแรก ไวรัสอีโบลาจำนวนมากจะต้องเริ่มมีการเพิ่มจำนวนได้ในเซลล์ที่อยู่บริเวณคอ (throat)
หลอดลม และอาจจะในปอด สอง การแพร่กระจายทางอากาศจะต้องได้ผลดีมากกว่า การแพร่กระจายในแบบปัจจุบันซึ่งโคตรจะได้ผลดีมากอยู่แล้ว
เพื่อที่มันจะสามารถเอาชนะการแพร่กระจายแบบเดิม ซึ่งสกัดกั้นมันจากการกลายพันธุ์
สิ่งขวางกั้นโดยธรรมชาติมากมายทำให้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นทั้งสองเหตุการณ์
สถานะการณ์ปัจจุบัน อีโบลายังคงเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เป็นแผล เยื่อบุตา เยื่อบุจมูกและปาก จากนั้นมันจะเข้าสู่เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันหลายชนิด
ที่ซึ่งมันหลอกให้เพิ่มจำนวนไวรัสให้ ผลท้ายสุดคือการโจมตีที่เส้นเลือดอย่างรุนแรง ไม่ใช่ระบบหายใจ
แม้แต่ไวรัสที่ปรับตัวให้โจมตีระบบหายใจยังยากมากที่จะติดต่อผ่านทางเดินหายใจได้ เมื่อพิจารณาถึงประสบการณ์จากไข้หวัดนก
ซึ่งแพร่กระจายทางอากาศจากนกสู่นก ยังไม่สามารถกลายพันธุ์จนแพร่ทางอากาศจากคนสู่คนได้
แล้วอะไรเป็นสิ่งที่รั้งมันเอาไว้? "ความยากมันอยู่ตรงที่ ไวรัส (ไข้หวัด) พวกนั้นไม่มีโปรตีนผิวเซลล์ที่จะใช้จับกับ receptor ผิวเซลล์ของระบบหายใจ
พวกมันต้องพัฒนาโปรตีนผิวเซลล์เพื่อจะทำอย่างนั้นได้" Schaffner กล่าว ดังนั้นแม้ว่าจะมีไวรัสออกมากับลมหายใจออก มันยังต้องอาศัยการจับกับ
receptor ผิวเซลของทางเดินหายใจในอีกคนหนึ่งด้วยในการแพร่กระจาย
การแพร่กระจายจากคนสู่คนของมันเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ดังนั้นมันมักจะหยุด และไม่แพร่ไปยังบุคคลที่สาม" Schaffner เล่า
อีโบลาก็เหมือนกัน ไวรัสต้องพัฒนาผิวเซลล์ที่จะสามารถจับกับรีเซปเตอร์ที่เซลล์ทางเดินหายใจส่วนบนได้
เป็นเรื่องที่ไม่ว่าเชื้ออีโบลา หรือไวรัสญาติโกโหติกาของอีโบลา ไม่เคยทำได้มาก่อน
แม้กระนั้น อีโบลาก็สามารถแพร่กระจายได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องกลายพันธุ์แบบนั้นเลย โปรตีนที่จับกันได้พอดีแบบลูกกุญแจและแม่กุญแจ ที่ไวรัสต้องการเพื่อสามารถ
เข้าไปเพิ่มจำนวนในเซลล์ทางเดินหายใจนั้น ไม่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพราะไม่มีแรงกดดันทางวิวัฒนาการที่จะพลักดันให้มันทำแบบนั้น
มันเป็นแค่ทางเลือกที่ไม่มีประสิทธิภาพ ขอให้นักระบาดวิทยาสบายใจได้
เมื่อไวรัสมีการระบาดเป็นระยะๆ ในแอฟริกาตะวันตก มันอาจจะเหมือนเชื้อตัวอื่นๆ ที่ค่อยๆมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุ์กรรม
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าอีโบลากำลังกลายพันธุ์ไปในทิศทางที่ทำให้มันกระโดดข้ามขั้นจากการแพร่กระจายทางการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง
ไปเป็นเชื้อที่แพร่กระจายทางการหายใจอยู่ในห้องเดียวกัน เมื่ออ้างอิงตาม WHO
เกี่ยวกับอีโบลา "ฉันไม่คิดว่าในเวลานี้เรามีข้อมูลพอที่จะรู้ว่า ความเสี่ยงมีขนาดไหน แต่ความเสี่ยงอาจไม่ได้เป็น 0 ซะทีเดียว"
Thomas Geisbert ผู้เชี่ยวชาญด้านอีโบลากล่าว เขาเป็นนักไวรัสวิทยาอยู่ที่ The University of Texas Medical Branch ที่ Galveston
Thomas Geisbert
อุบัติการณ์ที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวเรื่องอีโบลาติดต่อทางการหายใจ คือเหตุการณ์ในหนังสือ The Hot Zone ที่เล่าถึงปี 1989
ไวรัสได้แพร่กระจายทางอากาศ จากลิงไปสู่ลิง (แม้ว่ามันจะไม่ได้ก้าวกระโดดจนมาติดต่อสู่คนในห้อง Lab) แต่ต่อมาผู้เชี่ยวชาญสงสัยว่า
อุบัติการณ์เพียงครั้งเดียวโดดๆ ของการแพร่กระจายทางอากาศจาก primate สู่ primate นั้น ได้ถูกกระตุ้นโดยสภาวะของห้อง Lab และระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น
ขณะที่ Osterholm ได้บอกไว้ในงานของเขาว่า ปี 2012 นักวิจัยพบว่าอีโบลาสายพันธุ์หนึ่งมีการแพร่กระจายจากหมู สู่ primates ที่ไม่ใช่คน
ทางอากาศหายใจ ในสภาวะของ Lab อีกแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นไวรัสไม่ได้แพร่กระจายจากลิงสู่ลิงภายใต้สภาวะนั้น
ยังคงมีคำถามเหลืออยู่เกี่ยวกับสายพันธุ์อีโบลาที่กำลังระบาดอยู่ในแอฟริกาตะวันตก นอกจากสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสภาพสังคม
ที่กระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายได้ง่ายแล้ว ตัวไวรัสเองมีคุณสมบัติพิเศษอะไรที่ทำให้มันแตกต่างหรือเปล่า? ยกตัวอย่างเช่น
มันเพิ่มจำนวนได้เร็วขึ้น หรือความเข้มข้นมากขึ้นกว่าสายพันธ์ุก่อนหน้านี้หรือเปล่า?
ขณะนี้เรามีคำตอบไม่มากสำหรับอีโบลาสายพันธุ์นี้ แต่เรารู้ว่าการช่วยเหลือด้านเงินและบุคลากรเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ควบคุมมันได้
แปลจาก
http://www.scientificamerican.com/article/fact-or-fiction-the-ebola-virus-will-go-airborne/
อีโบลาจะติดต่อทางการหายใจ (airborne) - เรื่องจริงหรืออิงนิยาย
ทำไมไวรัสบางตัวจึงกลายพันธุ์จนติดต่อทางการหายใจได้?
แล้วเจ้าตัวที่ระบาดอยู่ในอัฟริกาตะวันตกนี่ล่ะ จะกลายพันธุ์กับเค้าด้วยหรือเปล่า?
อีโบลาสามารถกลายพันธุ์จนติดต่อทางการหายใจได้ไหม? ความหวาดระแวงนี้เกิดจากบทสัมพาษณ์ในหนังสือพิมพ์ New York Times เรื่อง
"อีโบลากับเรื่องที่เราไม่กล้าพูด" โดย Michael Osterholm ผู้อำนวยการ Center for Infectious Disease Research and Policy แห่งมหาวิทยาลัย Minnesota
แม้ว่าแพทย์จะพร้อมใจกันเห็นด้วยว่า ไวรัสอีโบลาติดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งทางการสัมผัสใกล้ชิดกับเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
Osterholm ได้เตือนว่า ความเสี่ยงที่อีโบลาสามารถแพร่กระจายเชื้อทางอากาศได้ เป็นเรื่องที่ "มีอยู่จริง" และถ้าเราไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้
โลกก็จะไม่ได้เตรียมตัวทำในสิ่งที่จำเป็น เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด
Michael Osterholm
แต่จากการสัมพาษณ์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อหลายๆคน เปิดเผยว่า การเกิด mutation (อันที่จริงเป็น series of mutations) แบบนั้น
แม้จะเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่โอกาสเกิดน้อยมากๆ
ในความเป็นจริงแล้ว แทบจะไม่มีอุบัติการณ์มาก่อนว่า ไวรัสตัวไหนจะสามารถเปลี่ยนวิธีหลักในการแพร่กระจายของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง
"เรามีปัญหาเยอะแล้วกับอีโบลา อย่าเพิ่มปัญหามาอีกเลย โดยเฉพาะอันที่เป็นไปได้ตามทฤษฎีแต่โอกาสเกิดจริงไปอยู่ท้ายสุดของตาราง"
William Schaffner ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อแห่งมหาวิทยาลัย Vanderbilt กล่าว
"ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ สามารถอธิบายได้ง่ายๆ ด้วยการแพร่กระจายแบบคนสู่คนโดยการสัมผัส เราไม่จำเป็นต้องอ้างคำอธิบายจากวิธีอื่นอีก"
ปัจจัยที่จะเอื้อให้ไวรัสเปลี่ยนเป็นแพร่กระจายทางอากาศได้มีดังนี้ อย่างแรก ไวรัสอีโบลาจำนวนมากจะต้องเริ่มมีการเพิ่มจำนวนได้ในเซลล์ที่อยู่บริเวณคอ (throat)
หลอดลม และอาจจะในปอด สอง การแพร่กระจายทางอากาศจะต้องได้ผลดีมากกว่า การแพร่กระจายในแบบปัจจุบันซึ่งโคตรจะได้ผลดีมากอยู่แล้ว
เพื่อที่มันจะสามารถเอาชนะการแพร่กระจายแบบเดิม ซึ่งสกัดกั้นมันจากการกลายพันธุ์
สิ่งขวางกั้นโดยธรรมชาติมากมายทำให้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นทั้งสองเหตุการณ์
สถานะการณ์ปัจจุบัน อีโบลายังคงเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เป็นแผล เยื่อบุตา เยื่อบุจมูกและปาก จากนั้นมันจะเข้าสู่เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันหลายชนิด
ที่ซึ่งมันหลอกให้เพิ่มจำนวนไวรัสให้ ผลท้ายสุดคือการโจมตีที่เส้นเลือดอย่างรุนแรง ไม่ใช่ระบบหายใจ
แม้แต่ไวรัสที่ปรับตัวให้โจมตีระบบหายใจยังยากมากที่จะติดต่อผ่านทางเดินหายใจได้ เมื่อพิจารณาถึงประสบการณ์จากไข้หวัดนก
ซึ่งแพร่กระจายทางอากาศจากนกสู่นก ยังไม่สามารถกลายพันธุ์จนแพร่ทางอากาศจากคนสู่คนได้
แล้วอะไรเป็นสิ่งที่รั้งมันเอาไว้? "ความยากมันอยู่ตรงที่ ไวรัส (ไข้หวัด) พวกนั้นไม่มีโปรตีนผิวเซลล์ที่จะใช้จับกับ receptor ผิวเซลล์ของระบบหายใจ
พวกมันต้องพัฒนาโปรตีนผิวเซลล์เพื่อจะทำอย่างนั้นได้" Schaffner กล่าว ดังนั้นแม้ว่าจะมีไวรัสออกมากับลมหายใจออก มันยังต้องอาศัยการจับกับ
receptor ผิวเซลของทางเดินหายใจในอีกคนหนึ่งด้วยในการแพร่กระจาย
การแพร่กระจายจากคนสู่คนของมันเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ดังนั้นมันมักจะหยุด และไม่แพร่ไปยังบุคคลที่สาม" Schaffner เล่า
อีโบลาก็เหมือนกัน ไวรัสต้องพัฒนาผิวเซลล์ที่จะสามารถจับกับรีเซปเตอร์ที่เซลล์ทางเดินหายใจส่วนบนได้
เป็นเรื่องที่ไม่ว่าเชื้ออีโบลา หรือไวรัสญาติโกโหติกาของอีโบลา ไม่เคยทำได้มาก่อน
แม้กระนั้น อีโบลาก็สามารถแพร่กระจายได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องกลายพันธุ์แบบนั้นเลย โปรตีนที่จับกันได้พอดีแบบลูกกุญแจและแม่กุญแจ ที่ไวรัสต้องการเพื่อสามารถ
เข้าไปเพิ่มจำนวนในเซลล์ทางเดินหายใจนั้น ไม่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพราะไม่มีแรงกดดันทางวิวัฒนาการที่จะพลักดันให้มันทำแบบนั้น
มันเป็นแค่ทางเลือกที่ไม่มีประสิทธิภาพ ขอให้นักระบาดวิทยาสบายใจได้
เมื่อไวรัสมีการระบาดเป็นระยะๆ ในแอฟริกาตะวันตก มันอาจจะเหมือนเชื้อตัวอื่นๆ ที่ค่อยๆมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุ์กรรม
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าอีโบลากำลังกลายพันธุ์ไปในทิศทางที่ทำให้มันกระโดดข้ามขั้นจากการแพร่กระจายทางการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง
ไปเป็นเชื้อที่แพร่กระจายทางการหายใจอยู่ในห้องเดียวกัน เมื่ออ้างอิงตาม WHO
เกี่ยวกับอีโบลา "ฉันไม่คิดว่าในเวลานี้เรามีข้อมูลพอที่จะรู้ว่า ความเสี่ยงมีขนาดไหน แต่ความเสี่ยงอาจไม่ได้เป็น 0 ซะทีเดียว"
Thomas Geisbert ผู้เชี่ยวชาญด้านอีโบลากล่าว เขาเป็นนักไวรัสวิทยาอยู่ที่ The University of Texas Medical Branch ที่ Galveston
Thomas Geisbert
อุบัติการณ์ที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวเรื่องอีโบลาติดต่อทางการหายใจ คือเหตุการณ์ในหนังสือ The Hot Zone ที่เล่าถึงปี 1989
ไวรัสได้แพร่กระจายทางอากาศ จากลิงไปสู่ลิง (แม้ว่ามันจะไม่ได้ก้าวกระโดดจนมาติดต่อสู่คนในห้อง Lab) แต่ต่อมาผู้เชี่ยวชาญสงสัยว่า
อุบัติการณ์เพียงครั้งเดียวโดดๆ ของการแพร่กระจายทางอากาศจาก primate สู่ primate นั้น ได้ถูกกระตุ้นโดยสภาวะของห้อง Lab และระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น
ขณะที่ Osterholm ได้บอกไว้ในงานของเขาว่า ปี 2012 นักวิจัยพบว่าอีโบลาสายพันธุ์หนึ่งมีการแพร่กระจายจากหมู สู่ primates ที่ไม่ใช่คน
ทางอากาศหายใจ ในสภาวะของ Lab อีกแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นไวรัสไม่ได้แพร่กระจายจากลิงสู่ลิงภายใต้สภาวะนั้น
ยังคงมีคำถามเหลืออยู่เกี่ยวกับสายพันธุ์อีโบลาที่กำลังระบาดอยู่ในแอฟริกาตะวันตก นอกจากสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสภาพสังคม
ที่กระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายได้ง่ายแล้ว ตัวไวรัสเองมีคุณสมบัติพิเศษอะไรที่ทำให้มันแตกต่างหรือเปล่า? ยกตัวอย่างเช่น
มันเพิ่มจำนวนได้เร็วขึ้น หรือความเข้มข้นมากขึ้นกว่าสายพันธ์ุก่อนหน้านี้หรือเปล่า?
ขณะนี้เรามีคำตอบไม่มากสำหรับอีโบลาสายพันธุ์นี้ แต่เรารู้ว่าการช่วยเหลือด้านเงินและบุคลากรเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ควบคุมมันได้
แปลจาก http://www.scientificamerican.com/article/fact-or-fiction-the-ebola-virus-will-go-airborne/