สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
คนเรามีความฝันครับ ฝันอย่างเดียวไม่พอต้องมีความพยายาม มีวินัยด้วย
พี่ชายผมก็แบบนี้ครับ ก่อนสอบอัยการ เข้าห้องสมุดตั้งแต่10โมงเช้า กลับบ้าน2ทุ่มทุกวันเป็นปี
ขนาดเวลาเรียนตรี ผมไปเล่นที่หอเค้า 3ทุ่ม เค้าเลิกเล่นทุกอย่าง หยิบหนังสือมาอ่านจนถึงตี1ทุกวัน
สมาธิดีมาก จะเปิดทีวีก็เปิดไป จะทำอะไรก็ทำไป เค้าอ่านของเขาได้
สุดท้ายก็ได้สมใจหวังตั้งแต่อายุน้อยๆ
ตอนนี้ชีวิตชิลมากๆ ทำงานสบายๆ มีหน้ามีตา คนนับถือ คุ้มกับความพยายาม
ของอย่างนี้ถ้าคิดเองไม่ได้นะ ทำยังไงก็ไม่สำเร็จหรอกครับ
ในพันทิพเนี่ยเจอทุกวันเลยกระทู้ ทำยังไงถึงอ่านหนังสือได้นาน ทำยังไงให้มีสมาธิ ทำยังไงให้หยุดเล่นพันทิพหยุดเล่นเฟซบุ๊ค... คนที่ถามแบบนี้ ผมกล้าพูดเลยว่าไม่มีทางสำเร็จ เพราะไม่จริงจัง ไม่มีวินัย มองแต่จะหาวิธีง่ายๆอัพตัวเองในพริบตา ประมาณคุริรินไปให้ผู้เฒ่าสูงสุดดาวนาเมคลูบหัวที พลังแผงทะลักกออกมาเป็นคนใหม่
พี่ชายผมก็แบบนี้ครับ ก่อนสอบอัยการ เข้าห้องสมุดตั้งแต่10โมงเช้า กลับบ้าน2ทุ่มทุกวันเป็นปี
ขนาดเวลาเรียนตรี ผมไปเล่นที่หอเค้า 3ทุ่ม เค้าเลิกเล่นทุกอย่าง หยิบหนังสือมาอ่านจนถึงตี1ทุกวัน
สมาธิดีมาก จะเปิดทีวีก็เปิดไป จะทำอะไรก็ทำไป เค้าอ่านของเขาได้
สุดท้ายก็ได้สมใจหวังตั้งแต่อายุน้อยๆ
ตอนนี้ชีวิตชิลมากๆ ทำงานสบายๆ มีหน้ามีตา คนนับถือ คุ้มกับความพยายาม
ของอย่างนี้ถ้าคิดเองไม่ได้นะ ทำยังไงก็ไม่สำเร็จหรอกครับ
ในพันทิพเนี่ยเจอทุกวันเลยกระทู้ ทำยังไงถึงอ่านหนังสือได้นาน ทำยังไงให้มีสมาธิ ทำยังไงให้หยุดเล่นพันทิพหยุดเล่นเฟซบุ๊ค... คนที่ถามแบบนี้ ผมกล้าพูดเลยว่าไม่มีทางสำเร็จ เพราะไม่จริงจัง ไม่มีวินัย มองแต่จะหาวิธีง่ายๆอัพตัวเองในพริบตา ประมาณคุริรินไปให้ผู้เฒ่าสูงสุดดาวนาเมคลูบหัวที พลังแผงทะลักกออกมาเป็นคนใหม่
ความคิดเห็นที่ 7
คือ ถ้าเป็นคนหัวดี ฉลาดอยู่แล้ว ไม่ต้องอ่านหนักขนาดนั้นก็ได้ครับ การเรียนกฎหมายในประเทศไทย นับว่าเป็นการเรียนที่ง่ายมากๆ เพราะมีแต่อ่านหนังสือภาษาไทยอย่างเดียว
-ไม่ต้องอ่านภาษาอังกฤษ เหมาะกับคนไม่ชอบภาษาอังกฤษ (เฉพาะสายผู้ช่วยทั้งสองอย่างนะครับ)
-ไม่มีการทดลองในห้องทดลองแบบวิทยาศาสตร์
-ไม่ต้องไปเก็บข้อมูลภาคสนาม ตากแดดตากลมให้เหงื่อออกผิวเสีย อย่างสายสังคมศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพบางแขนง
-ไม่มีการคิดคำนวณ เหมาะกับคนไม่ชอบคณิตศาสตร์
-ไม่ต้องคิดอะไรมาก คำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินมายังไง ก็ท่องๆจำๆไป เน้นคีย์เวิร์ด และเหตุผลแห่งคำพิพากษา ถ้าเป็นพวกมี critical mind แนะนำให้ไป join กับนิติราษฎร์
สิ่งที่คุณต้องทำ มีแค่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา กับตัวบท และจดจำมันให้ได้ ไม่ต้องคิดนะครับ จดจำมันอย่างเดียว ถ้าต้มน้ำอาบแล้วจำได้ให้รีบทำ เพราะข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา มันเอามาจากฎีกาต่างๆมาเรียงต่อๆกัน แล้วให้ตอบเหตุผลตามคำพิพากษา มันมีหนังสือรวมคำพิพากษาฎีกา เรียกว่าจูริส หนังสือพวกนี้ คนเตรียมสอบผู้ช่วยจะไปซื้อมาท่องกัน และข้อสอบส่วนใหญ่ แทบจะมาจากฎีกาในจูริส
ส่วนคนที่คิดว่า การอ่านของนิติศาสตร์นั้นหนักหนาสาหัส ผมคิดว่าไปเรียนปริญญาเอกในมหาลัยดีๆดังๆ หนักกว่าครับ เพราะต้องอ่านเอกสารเป็นเข่งๆ มากกว่ากองจูริสทั้งหมด และเแถมป็นเอกสารภาษาอังกฤษด้วย
แต่ที่คนสอบไม่ค่อยได้กันจำนวนมาก เพราะข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา มันมีการซ่อนประเด็นเยอะครับ บางคนอ่านมาอย่างดี ถามได้ตอบได้เป็นอับดุล แต่สอบกี่ทีๆไม่เคยได้สักที เพราะไม่เห็นประเด็นที่ซ่อนไว้ในข้อสอบ บางทีเป็นแค่คำ สองคำสั้นๆเท่านั้นเอง ทำให้ตอบข้อสอบได้ไม่ครบประเด็น หรือหนักยิ่งกว่านั้น คือ ประเด็นที่ซ่อนไว้ เป็นจุดพลิกผันสำคัญชี้ที่ถึงคำตอบที่ถูกและผิดได้เลย คือ ถ้าเห็นประเด็นนั้น ตอบข้อสอบถูกแน่นอน แต่เมื่อไม่เห็นประเด็นนั้น ถึงขั้นตอบผิดเลยทีเดียว ทำให้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ในที่สุด เรียกว่า ต้องมีไหวพริบ ปฏิภาณ ความช่างสังเกต และความละเอียด รอบคอบอยู่พอตัว
-ไม่ต้องอ่านภาษาอังกฤษ เหมาะกับคนไม่ชอบภาษาอังกฤษ (เฉพาะสายผู้ช่วยทั้งสองอย่างนะครับ)
-ไม่มีการทดลองในห้องทดลองแบบวิทยาศาสตร์
-ไม่ต้องไปเก็บข้อมูลภาคสนาม ตากแดดตากลมให้เหงื่อออกผิวเสีย อย่างสายสังคมศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพบางแขนง
-ไม่มีการคิดคำนวณ เหมาะกับคนไม่ชอบคณิตศาสตร์
-ไม่ต้องคิดอะไรมาก คำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินมายังไง ก็ท่องๆจำๆไป เน้นคีย์เวิร์ด และเหตุผลแห่งคำพิพากษา ถ้าเป็นพวกมี critical mind แนะนำให้ไป join กับนิติราษฎร์
สิ่งที่คุณต้องทำ มีแค่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา กับตัวบท และจดจำมันให้ได้ ไม่ต้องคิดนะครับ จดจำมันอย่างเดียว ถ้าต้มน้ำอาบแล้วจำได้ให้รีบทำ เพราะข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา มันเอามาจากฎีกาต่างๆมาเรียงต่อๆกัน แล้วให้ตอบเหตุผลตามคำพิพากษา มันมีหนังสือรวมคำพิพากษาฎีกา เรียกว่าจูริส หนังสือพวกนี้ คนเตรียมสอบผู้ช่วยจะไปซื้อมาท่องกัน และข้อสอบส่วนใหญ่ แทบจะมาจากฎีกาในจูริส
ส่วนคนที่คิดว่า การอ่านของนิติศาสตร์นั้นหนักหนาสาหัส ผมคิดว่าไปเรียนปริญญาเอกในมหาลัยดีๆดังๆ หนักกว่าครับ เพราะต้องอ่านเอกสารเป็นเข่งๆ มากกว่ากองจูริสทั้งหมด และเแถมป็นเอกสารภาษาอังกฤษด้วย
แต่ที่คนสอบไม่ค่อยได้กันจำนวนมาก เพราะข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา มันมีการซ่อนประเด็นเยอะครับ บางคนอ่านมาอย่างดี ถามได้ตอบได้เป็นอับดุล แต่สอบกี่ทีๆไม่เคยได้สักที เพราะไม่เห็นประเด็นที่ซ่อนไว้ในข้อสอบ บางทีเป็นแค่คำ สองคำสั้นๆเท่านั้นเอง ทำให้ตอบข้อสอบได้ไม่ครบประเด็น หรือหนักยิ่งกว่านั้น คือ ประเด็นที่ซ่อนไว้ เป็นจุดพลิกผันสำคัญชี้ที่ถึงคำตอบที่ถูกและผิดได้เลย คือ ถ้าเห็นประเด็นนั้น ตอบข้อสอบถูกแน่นอน แต่เมื่อไม่เห็นประเด็นนั้น ถึงขั้นตอบผิดเลยทีเดียว ทำให้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ในที่สุด เรียกว่า ต้องมีไหวพริบ ปฏิภาณ ความช่างสังเกต และความละเอียด รอบคอบอยู่พอตัว
ความคิดเห็นที่ 6
จากที่เห็นพี่ชายผมตอนเรียนนิติ (ตอนนั้นเรียนควบกับเภสัช ม รัฐด้วย) ตอนที่เรียนนิติว่าอ่านเยอะแล้ว (อ่านเยอะจริงๆ นะ เพราะต้องอ่านของทั้งเภสัช และนิติ ไม่รู้แยกกันไปได้อย่างไร) แต่ก็เรียนจบได้ทั้ง 2 ปริญญาพร้อมกันได้
จากนั้นพอเรียนจบก็ทำงานเป็นเภสัชที่โรงพยาบาล และเรียนต่อตั๋วทนาย เนติ และ ป โท พร้อมกัน 3 ที่ ผมเห็นเค้าอ่านหนังสือหนักมากๆ เพราะเรียนตั้ง 3 ทีในเวลาเดียวกัน แถมยังทำงานอีก แต่เค้าบอกเสมอว่าเค้ามีความสุขกับการอ่านกฎหมาย ในตอนแรกพี่เค้าตั้งเป้าว่าจะเป็นอัยการ แต่ยิ่งเรียนยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบเลยเปลี่ยนความฝันเป็นผู้พิพากษาไปเลย ปรากฎว่าในปีแรกสอบผ่านเนติ และตั๋วทนายได้ และในปีที่สองก็จบ ป โท นิติ ช่วงนั้นผมเห็นพี่ขอขึ้นเวรดึกประจำ เพื่อที่กลางวันจะได้ไปเรียนโท เรียนเนติ อ่านหนังสือ ส่วนตอนขึ้นทำงานเวรดึกหน่ะหรอ พี่ชายผมก็เอาหนังสือไปอ่านอีก คือว่างเป็นอ่าน
จากนั้นก็ยังคงทำงานเป็นเภสัชกรและเก็บคดีให้ครบตามเกณฑ์ และเมื่อมีคุณสมบัติครบถ้วน ก็สมัครสอบ และสอบผ่านได้เป็นผู้พิพากษาในครั้งแรก ดูเหมือนว่าจะง่ายนะครับ แต่พี่ผมอ่านหนักมากๆ นะ อ่านตลอดเวลาที่ว่าง อ่านจนดึกจนดื่นทุกวัน
คือเห็นแล้วรู้เลยครับว่ามันไม่ง่ายเลยจริงๆ เส้นทางนี้โหดมาก แต่พี่ชายก็บอกว่าคุ้มมากเช่นกันที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก
จากนั้นพอเรียนจบก็ทำงานเป็นเภสัชที่โรงพยาบาล และเรียนต่อตั๋วทนาย เนติ และ ป โท พร้อมกัน 3 ที่ ผมเห็นเค้าอ่านหนังสือหนักมากๆ เพราะเรียนตั้ง 3 ทีในเวลาเดียวกัน แถมยังทำงานอีก แต่เค้าบอกเสมอว่าเค้ามีความสุขกับการอ่านกฎหมาย ในตอนแรกพี่เค้าตั้งเป้าว่าจะเป็นอัยการ แต่ยิ่งเรียนยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบเลยเปลี่ยนความฝันเป็นผู้พิพากษาไปเลย ปรากฎว่าในปีแรกสอบผ่านเนติ และตั๋วทนายได้ และในปีที่สองก็จบ ป โท นิติ ช่วงนั้นผมเห็นพี่ขอขึ้นเวรดึกประจำ เพื่อที่กลางวันจะได้ไปเรียนโท เรียนเนติ อ่านหนังสือ ส่วนตอนขึ้นทำงานเวรดึกหน่ะหรอ พี่ชายผมก็เอาหนังสือไปอ่านอีก คือว่างเป็นอ่าน
จากนั้นก็ยังคงทำงานเป็นเภสัชกรและเก็บคดีให้ครบตามเกณฑ์ และเมื่อมีคุณสมบัติครบถ้วน ก็สมัครสอบ และสอบผ่านได้เป็นผู้พิพากษาในครั้งแรก ดูเหมือนว่าจะง่ายนะครับ แต่พี่ผมอ่านหนักมากๆ นะ อ่านตลอดเวลาที่ว่าง อ่านจนดึกจนดื่นทุกวัน
คือเห็นแล้วรู้เลยครับว่ามันไม่ง่ายเลยจริงๆ เส้นทางนี้โหดมาก แต่พี่ชายก็บอกว่าคุ้มมากเช่นกันที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก
แสดงความคิดเห็น
คนเตรียมสอบผูพิกาษา อัยการ ต้องอ่านหนังสือวันละ 10 กว่าชั่วโมงหรอครับ โหดจริงๆ
เรียนเนติ
หรือเตรียมสอบอัยการ ผู้พิพากษา
ต้องอ่านหนังสือหนัก
วันละ เกือบ 12-13 ชม.เลยหรอครับ
อยากรู้ว่า ทำไมเขาถึงมีความพยายามขนาดนั้น
ไม่เบื่อหรอ หรือว่าความชอบแต่ละคนครับ
อ่อ หรือว่าอยากสอบได้ เพราะจะได้เป็นท่าน มีเกียรติกับวงษ์ตระกูล