ตอนที่ผ่านมา
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/32197484 บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/32215683
บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/32232873 บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/32251610
บทที่ ๕
http://ppantip.com/topic/32269169 บทที่ ๖
http://ppantip.com/topic/32286933
บทที่ ๗
http://ppantip.com/topic/32304596 บทที่ ๘
http://ppantip.com/topic/32319966
บทที่ ๙
http://ppantip.com/topic/32338207 บทที่ ๑๐
http://ppantip.com/topic/32355447
บทที่ ๑๑
http://ppantip.com/topic/32373576 บทที่ ๑๒
http://ppantip.com/topic/32390104
บทที่ ๑๓
http://ppantip.com/topic/32406848 บทที่ ๑๔
http://ppantip.com/topic/32423135
บทที่ ๑๕
http://ppantip.com/topic/32438963 บทที่ ๑๖
http://ppantip.com/topic/32454183
บทที่ ๑๗
http://ppantip.com/topic/32470706 บทที่ ๑๘
http://ppantip.com/topic/32487213
บทที่ ๑๙
http://ppantip.com/topic/32197484 บทที่ ๒๐
http://ppantip.com/topic/32519459
บทที่ ๒๑
http://ppantip.com/topic/32536100 บทที่ ๒๒
http://ppantip.com/topic/32552068
บทที่ ๒๓
http://ppantip.com/profile/130258
สัตว์พันปี : บทที่ ๑ รวมตัวกันอีกครั้ง
‘โชคชะตามักเล่นตลกกับเราเสมอ’
แว่นใช้คำนี้อยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยซึ้งถึงความหมายของมัน จวบจนกระทั่งประสบอุบัติเหตุวิญญาณทะลุมิติมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ครั้งแรกที่รู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นบุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีฝ่ายขวา แว่นรู้สึกหวาดกลัวจับจิต เขารู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนถูกจับมาปล่อยกลางเกาะร้างที่ปราศจากผู้คน แม้ในเวลาต่อมาจะปรับตัวได้ก็ยังรู้สึกแปลกแยก
ในขณะที่กำลังพยายามทำใจยอมรับชะตากรรม เขากลับได้พบว่าเพื่อนสนิทอย่างหน่อมและเจ้ก็หลงมาอยู่ในโลกนี้ด้วยในฐานะองค์หญิงและคณิกาอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง การได้พบเพื่อนทำให้แว่นเริ่มมีกำลังใจว่าจะได้เจอโบ้ เพื่อนคนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันก่อนถูกฟ้าผ่า
เขากับเพื่อนอีกสองคนทุ่มกำลังตามหาโบ้ หมดเปลืองเงินทองไปมากมาย แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ยังไม่ได้เบาะแส จนกระทั่งวันนี้ขณะที่เขากับหน่อมถูกมือสังหารไล่ล่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โบ้กลับปรากฏกายตรงหน้าในฐานะจอมยุทธ์หญิงแล้วช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ที่ตลกไปกว่านั้นคือยังไม่ข้ามวันดี ทุกคนกลับได้พบกับเจ้ในสถานที่ที่ไม่น่าจะมีผู้คนหลงเข้ามา
เจ้เป็นคณิกาชื่อดัง อยู่ในหอนางโลมชั้นสูงในเมืองหลวง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาอยู่ในหมู่บ้านกลางป่าที่ตัดขาดจากผู้คนภายนอก แต่ถึงจะเป็นไปไม่ได้มันก็เกิดขึ้นแล้ว เจ้ยืนอยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ เธอกำลังโผเข้าไปกอดโบ้ เมื่อรู้ความจริงว่าผู้หญิงชุดขาวคนนี้เป็นใคร
“แกไปอยู่ไหนมา รู้ไหมว่าตามหาแทบแย่” เจ้ถามขณะคลายอ้อมแขนออก
โบ้ที่กำลังสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลอาบแก้ม ตอบเสียงเครือกลับมาว่า ‘หุบเขาหิมะ’ ถ้าเดาไม่ผิดหุบเขาที่เอ่ยถึงคือดินแดนทางเหนือสุดของอาณาจักร โบ้อยู่ไกลอย่างนี้เองจึงตามหากันไม่เจอเสียที
“จะร้องไห้สะอึกสะอื้นอะไรนักหนา เจอฉันกับหน่อมไม่เห็นจะดีใจเท่านี้ ลำเอียงรักเพื่อนไม่เท่ากันนี่หว่า”
“ไม่ได้ลำเอียงค่ะ” โบ้สูดจมูกแล้วทำปากยื่น “แค่ผิดหวังจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่”
“ผิดหวังอะไรเหรอ” หน่อมถามด้วยความสนใจ
“ก็ร่างใหม่ของเจ้นี่สิคะ โคตรสวย หนูอุตส่าห์ว่าจะข่มสักหน่อย ดันข่มไม่ลงซะงั้น”
ไป๋หลินเป็นหญิงสาวที่งามเลิศ นางมีใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเรียวได้รูปดำขลับ คิ้วโค้งรับกับรูปตา จมูกเชิดรั้นน้อยๆ ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเป็นธรรมชาติ เรียกว่าเป็นความงามในอุดมคติที่สาวแท้สาวเทียมทั้งหลายเฝ้าฝัน ความงามพิสุทธิ์นี้ถือเป็นที่หนึ่งหากเปรียบเทียบกันในหมู่จอมยุทธ์หญิง แต่พอเอามาประชันกับคณิกาที่งดงามด้วยการปรุงโฉมและจริตมารยาแล้ว กลับไม่สามารถหาตัวผู้ชนะได้
ตอนยังเป็นกะเทยหุ่นล่ำกล้ามโต โบ้เคยพูดอยู่บ่อยๆ ว่าถ้าชาติหน้าเมื่อไรจะเกิดใหม่ให้สวยแซ่บ เอาชนิดฆ่าคนให้ตายได้ การได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้จึงไม่ต่างจากการฝันที่เป็นจริง โบ้เลยอยากจะลองสะบัดบ๊อบใส่เจ้ว่าฉันสวยกว่าสักครั้ง
“อิบ้า! ไร้สาระได้ตลอดนะแก มาแต่วิญญาณจริงๆ สินะ ไม่ได้เอาสมองมาด้วย” เจ้เหน็บ
“เจ้พูดผิดแล้ว มันเคยมีสมองที่ไหน” แว่นแก้
“จะพูดอะไรก็พูดไปค่ะ ตอนนี้คนสวยไม่แคร์แล้ว ขอแค่ได้เป็นชะนีหนังหน้าเลิศ จะให้เป็นควายหนูก็ยอม” ว่าแล้วก็เอามือประคองที่หน้าตัวเองพลางโปรยยิ้มหวานหยด สร้างความหมั่นไส้ให้เหลือประมาณ
“แล้วไม่อิจฉาเรากับแว่นบ้างเหรอ เราสองคนก็สวยนะ” หน่อมถามบ้าง
“ไม่หรอกค่ะ หน่อมน่ารัก นิสัยดี คนสวยเลยให้อภัย” พูดเสียงอ่อนเสียงหวานแล้วก็เบนสายตาไปทางแว่น “ส่วนอิแว่น ไม่รู้จะอิจฉามันไปทำไม หนังหน้าดูดีแต่ดันไม่มีนม เสียชาติเกิดค่ะ”
แว่นเอามือแตะหน้าอกในทันที ที่ผ่านมาเขาไม่ได้สังเกตสัดส่วนตัวเองเท่าไร พอถูกว่าเลยเปรียบเทียบกับคนอื่นดู แล้วก็พบว่าตัวเองเป็นสาวจอแบนจริงๆ นั่นแหละ
โบ้ยืดตัวอวดอกอึ๋มๆ ของตัวเองเย้ยเพื่อน พลางร้องเพลงไปด้วย
“เอ บี ซี ยกทรงชั้นดีมีมาตรฐาน สวมใส่แล้วเราเบิกบาน เป็นมาตรฐานของเอ บี ซี”
แน่นอนว่าเพลงนี้ต้องมีท่าประกอบ ทุกครั้งที่พูดถึงคัพเอโบ้เป็นต้องชี้มาที่อกแบนๆ ของกุ้ยฮวาทุกที
“หุบปากไปเลยอิชัชชาติ” แว่นแหวกลับ
คราวนี้ตุ๊ดแรมโบ้หยุดร้องเพลงกวนประสาทเปลี่ยนไปกรีดร้อง
‘ชัชชาติ’ คือชื่อจริงของโบ้ ที่ไม่ว่าฟังกี่ครั้งก็ยังแสลงหู นอกจากจะฟังดูแมนเกินร้อยแล้ว ยังไปเหมือนกับชื่อรัฐมนตรีท่านหนึ่งโดยบังเอิญ โบ้ก็เลยได้รับฉายาพิเศษมาว่า ‘ตุ๊ดที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี’ เจ้าตัวฟังแล้วไม่ปลื้มเอาเลย เขารักจะหลอกตัวเองว่าเป็นสาวน้อยบอบบางน่าทะนุถนอมมากกว่า
เห็นโบ้กรีดร้อง ทุกคนก็พร้อมใจกันหัวเราะแบบไม่คิดจะสงสาร การโต้เถียงกันไปมาอย่างนี้ คือเรื่องที่ทำกันเป็นประจำเวลารวมกลุ่ม ถึงบางครั้งจะมีคำพูดแรงๆ หลุดมาบ้างแต่ทุกคนก็ไม่เคยถือสากัน
เมื่อเสียงหัวเราะเงียบลงก็มีเสียงกระแอมดังตามมา ต้นเสียงมาจากคนที่ยืนฟังสี่สาวคุยกันได้พักใหญ่แล้ว
“ลืมไปเลย!” เจ้อุทานอย่างนึกขึ้นได้ เธอเดินไปหาชายหนุ่มหน้าหวานที่มาด้วยกัน แล้วพาตัวเขามาหาเพื่อนๆ “นี่เต้กุนเป็นสหายข้า”
เจ้กลับมาใช้ภาษาเจียงอย่างเดิมเพื่อที่เต้กุนจะได้เข้าใจ ไม่ทันที่เจ้จะได้แนะนำเพิ่มเติม เจ้าของบ้านก็ออกมาต้อนรับแขกเสียก่อน ท่านเผิงไม่ได้เรียกเต้กุนด้วยชื่ออย่างสนิทสนมเหมือนฟางเซียน แต่เรียกเขาว่า ‘ท่านฮั่ว’ อย่างเคารพนบนอบ
ท่านเผิงเป็นชายชราที่มีความองอาจอยู่ในตัว แต่กลับมาทำตัวประหนึ่งผู้น้อยต่อหน้าเด็กหนุ่มคราวหลาน สร้างความประหลาดใจให้บรรดาผู้ที่สังเกตเห็น ทั้งแว่นและหน่อมต่างก็รู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ไม่ธรรมดา
“เจ้าคงอยากอยู่กับเพื่อน คืนนี้ข้อตกลงของเราเป็นอันว่ายกเลิกก็แล้วกัน” เต้กุนหันมาบอกฟางเซียน
น้ำเสียงของเขาดูทุ้มห้าวตรงข้ามกับภาพลักษณ์ หากหลับตาลงแล้วฟังแค่เสียงคงจะคิดว่านี่เป็นเสียงของผู้ชายร่างสูงใหญ่เป็นแน่
“ขอโทษด้วยนะเต้กุน คราวหน้าข้าจะชดใช้ให้” เจ้ว่า
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวด้านในตามคำเชิญของท่านเผิง ส่วนสาวงามทั้งสี่นางย้ายสถานที่มาคุยกันด้านนอก เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนเจ้าของบ้าน
หน่อมเอาตะเกียงที่ถือมาวางเอาไว้ตรงกลางลานบ้าน แล้วชวนให้ทุกคนนั่งบนขอนไม้แทนเก้าอี้
“ผู้ชายคนนั้นใครเหรอเจ้” แว่นถาม
“เป็นลูกค้าที่หอซูเมิงน่ะ พอดีคุยกันถูกคอก็เลยกลายเป็นเพื่อนกัน”
แว่นนึกขึ้นมาได้ว่าองค์ชายสามเคยบอกว่าฟางเซียนรีบร้อนออกจากวังเพราะมีนัดกับคนรัก เลยลองตะล่อมถามต่อเผื่อว่าจะเป็นพ่อหนุ่มหน้าสวยคนนี้
“แล้วเจ้กับหนุ่มสวยนั่นมาทำอะไรกันที่นี่”
“ฉันถูกเต้กุนจ้างมาเล่นดนตรี แต่ตอนนี้ไม่ต้องเล่นแล้ว” เจ้ยกเครื่องดนตรีที่หอบหิ้วมาประกอบคำพูด
เต้กุนชื่นชอบฝีมือการบรรเลงซอเอ้อหูของฟางเซียนเป็นอย่างมาก จึงอยากให้สหายเก่าแก่ได้ลองฟังดู
“เพราะพวกเราหรือเปล่า เจ้ก็เลยเสียงาน” หน่อมเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ไม่ใช่หรอก แค่จังหวะไม่เหมาะเท่านั้นเอง เต้กุนไม่ชอบคนเยอะๆ”
ชายหนุ่มยอมทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อที่จะได้ฟังฟางเซียนเล่นซอเอ้อหูตามลำพัง ทุกคราวที่บรรเลงเพลงเขาจะนั่งนิ่งหลับตา ปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับทำนองดนตรี เขาหลงใหลเสียงเพลงของฟางเซียน ทั้งยังรักที่จะสนทนากับนาง แต่ไม่เคยคิดล่วงเกินเลยสักหน
“เต้กุนไม่ใช่ชาวเจียงเฉียงใช่ไหม”
แว่นสงสัยเพราะชาวเจียงเฉียงส่วนใหญ่ต่างก็นิยมไว้ผมยาว ตามความเชื่อว่าเส้นผมเป็นสิ่งสูงค่า หากดูแลให้ดีมันจะนำพาสิริมงคลมาสู่ตนเอง ความยาวที่นิยมคือประมาณกลางหลัง นอกจากนักบวชแล้วพวกที่ไว้สั้นหรือโกนเลยก็มีแต่คนหัวล้านกับคนที่ไว้ทุกข์ ในกรณีที่บิดามารดาเสียชีวิต ลูกชายมักจะตัดผมออกจนเหลือความยาวอยู่ที่ระดับประบ่า ส่วนลูกสาวไม่นิยมให้ตัดผมแต่เปลี่ยนมาถือศีล งดรับประทานเนื้อสัตว์จนกว่าจะไว้ทุกข์ครบกำหนดแทน ทรงผมของเต้กุนเป็นผมซอยสั้นแบบรากไทร ปลายผมยาวแค่ระต้นคอเท่านั้น มองอย่างไรก็ขัดต่อประเพณีนิยม
“ใช่ เต้กุนไม่ใช่ชาวเจียงเฉียง แต่จะเป็นคนที่ไหน ฉันไม่รู้หรอกนะ”
ตัวเต้กุนมีความลับอยู่มากมายและมีอยู่หลายเรื่องที่ไม่สมควรจะแพร่งพรายออกไป
“จะคนชาติไหนก็ช่างมันเถอะค่ะ คนสวยแค่อยากรู้ว่าเจ้เปลี่ยนไปตีฉิ่งตอนไหน” โบ้ถามแทรก
แว่นรึอุตส่าห์ตะล่อมค่อยๆ ถามมาตั้งนาน แต่โบ้กลับปล่อยหมัดตรงไปเสียอย่างนั้น
“เต้กุนเป็นชายแท้ย่ะ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่แกคิด เราเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ คบกันเหมือนฉันกับพวกแกนั่นแหละ” เจ้ย้ำอย่างหนักแน่น
เธอคนนี้มีจุดยืนที่ชัดเจนเสมอว่าคนไหนเพื่อนคนไหนแฟน แว่นเลยกลอกตาอย่างเสียดาย สู้อุตส่าห์หวังว่าจะได้ฟังเรื่องรักครั้งใหม่ของเจ้ ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่มีอะไรในกอไผ่
คนอื่นเชื่อเจ้กันหมด เว้นก็แต่โบ้ที่ยังทำหน้าสงสัย เจ้าตัวเลยบอกอย่างใจกว้างว่ามีอะไรสงสัยเรื่องเธอกับเต้กุนก็ให้ถามมา
“เรื่องเจ้กับหนุ่มหวานนั่นคนสวยไม่ติดใจแล้วค่ะ แค่สงสัยว่าทุกคนมาที่นี่ได้ยังไง”
“อิบ้า! ยังมีหน้ามาถามอีกนะ เพราะเข็มทิศมหาซวยของแกนั่นไง” เจ้แว้ดใส่
“มหาลาภต่างหากล่ะคะ” โบ้แก้ “ที่คนสวยสงสัยคืออีกเรื่องต่างหาก เรื่องนั้นน่ะค่ะที่มาตรงนี้” โบ้พยายามยกมือยกไม้อธิบายแต่ก็ไม่ช่วยให้กระจ่างขึ้น
“อีกเรื่องอะไรของแก พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย” แว่นติงทั้งๆ ที่ก็ชินแล้ว
ตุ๊ดแรมโบ้นางนี้เป็นประเภทพวกไร้สติ บางทีก็โพล่งออกมาแบบไม่คิด บางคราวก็พูดไม่รู้เรื่องเหมือนอย่างตอนนี้ ร้อนถึงหน่อมต้องมาแปลให้ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสองนางนี้เขาสื่อสารกันรู้เรื่องได้ยังไง
“โบ้หมายถึงว่าอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับร่างใหม่ของพวกเราแล้วก็ชีวิตความเป็นอยู่ในตอนนี้”
“ใช่เลยค่ะ อย่างที่หน่อมบอกทุกอย่าง”
“ก็สบายดี สวย รวย มีความสุขอย่างที่เห็น” เจ้พูดง่ายๆ
แว่นเห็นว่ามันรวบไปก็เลยช่วยสรุปรายละเอียดของแต่ละคนให้ สรุปแล้วโดยรวมทุกคนมีร่างใหม่ที่สวยสดงดงาม สถานะทางสังคมก็ดีไม่ลำบาก ได้ฟังอย่างนี้โบ้ก็ถอนหายใจออกมอย่างโล่งอก
“ดีจังนะคะที่ได้ตามอย่างที่อธิษฐาน นึกกลัวอยู่ตั้งนานว่าบางคำขอจะไม่เป็นจริง”
ตอนที่อธิษฐานขอพรกับเข็มทิศมหาลาภ โบ้ตั้งจิตขอให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นสาวสวย รวมถึงมีน้ำใจเผื่อแผ่อธิษฐานให้เพื่อนด้วย นอกจากนี้ยังขออีกว่าขอให้ได้เจอกับเพื่อนรักทุกชาติไป
“ทำไมแกถึงกลัว” แว่นนึกสะกิดใจก็เลยถาม
“ทำไมเหรอคะ...” โบ้เอานิ้วเข้าปากขณะเรียบเรียงความคิด “...ก็คนที่พามา เขาบอกไว้น่ะค่ะ ว่าบางคำอธิษฐานอาจจะไม่เป็นจริง”
“เขาได้พูดอะไรอีกบ้างไหม มีวิธีกลับบ้านหรือเปล่า” แว่นถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่ค่ะ เขาให้เลือกแค่ว่าจะอยู่ต่อหรือตาย อ้อ! มีบอกด้วยนะคะว่าพวกเราจะได้เจอกัน ประมาณว่า ‘สี่จอมนางคือชะตากรรม’ อะไรประมาณนี้”
“ชะตากรรมอะไร” เจ้ถามบ้าง
“ไม่รู้ค่ะ เขาพูดแค่นี้แล้วก็ไป”
“สรุปก็ไม่ได้อะไรเลย แกนี่ไม่ได้ความจริงๆ” แว่นพ่นลมหายใจใส่อย่างมีอารมณ์
ถ้าคนที่พาเขามาโลกนี้พูดมากเหมือนของโบ้ คงจะได้ข้อมูลมามากกว่านี้อีกเยอะ รวมถึงอาจจะได้กลับไปยังโลกเดิมด้วย
“เครียดไปก็เท่านั้น ตอนนี้พวกเรายังไม่ตาย แถมยังได้เจอกันอีก น่าดีใจออก” หน่อมช่วยเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการคิดบวก
พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๒ สัตว์พันปี : บทที่ ๑ รวมตัวกันอีกครั้ง
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32197484 บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32215683
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/32232873 บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/32251610
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/32269169 บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/32286933
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/32304596 บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/32319966
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/32338207 บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/32355447
บทที่ ๑๑ http://ppantip.com/topic/32373576 บทที่ ๑๒ http://ppantip.com/topic/32390104
บทที่ ๑๓ http://ppantip.com/topic/32406848 บทที่ ๑๔ http://ppantip.com/topic/32423135
บทที่ ๑๕ http://ppantip.com/topic/32438963 บทที่ ๑๖ http://ppantip.com/topic/32454183
บทที่ ๑๗ http://ppantip.com/topic/32470706 บทที่ ๑๘ http://ppantip.com/topic/32487213
บทที่ ๑๙ http://ppantip.com/topic/32197484 บทที่ ๒๐ http://ppantip.com/topic/32519459
บทที่ ๒๑ http://ppantip.com/topic/32536100 บทที่ ๒๒ http://ppantip.com/topic/32552068
บทที่ ๒๓ http://ppantip.com/profile/130258
สัตว์พันปี : บทที่ ๑ รวมตัวกันอีกครั้ง
‘โชคชะตามักเล่นตลกกับเราเสมอ’
แว่นใช้คำนี้อยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยซึ้งถึงความหมายของมัน จวบจนกระทั่งประสบอุบัติเหตุวิญญาณทะลุมิติมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ครั้งแรกที่รู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นบุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีฝ่ายขวา แว่นรู้สึกหวาดกลัวจับจิต เขารู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนถูกจับมาปล่อยกลางเกาะร้างที่ปราศจากผู้คน แม้ในเวลาต่อมาจะปรับตัวได้ก็ยังรู้สึกแปลกแยก
ในขณะที่กำลังพยายามทำใจยอมรับชะตากรรม เขากลับได้พบว่าเพื่อนสนิทอย่างหน่อมและเจ้ก็หลงมาอยู่ในโลกนี้ด้วยในฐานะองค์หญิงและคณิกาอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง การได้พบเพื่อนทำให้แว่นเริ่มมีกำลังใจว่าจะได้เจอโบ้ เพื่อนคนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันก่อนถูกฟ้าผ่า
เขากับเพื่อนอีกสองคนทุ่มกำลังตามหาโบ้ หมดเปลืองเงินทองไปมากมาย แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ยังไม่ได้เบาะแส จนกระทั่งวันนี้ขณะที่เขากับหน่อมถูกมือสังหารไล่ล่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โบ้กลับปรากฏกายตรงหน้าในฐานะจอมยุทธ์หญิงแล้วช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ที่ตลกไปกว่านั้นคือยังไม่ข้ามวันดี ทุกคนกลับได้พบกับเจ้ในสถานที่ที่ไม่น่าจะมีผู้คนหลงเข้ามา
เจ้เป็นคณิกาชื่อดัง อยู่ในหอนางโลมชั้นสูงในเมืองหลวง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาอยู่ในหมู่บ้านกลางป่าที่ตัดขาดจากผู้คนภายนอก แต่ถึงจะเป็นไปไม่ได้มันก็เกิดขึ้นแล้ว เจ้ยืนอยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ เธอกำลังโผเข้าไปกอดโบ้ เมื่อรู้ความจริงว่าผู้หญิงชุดขาวคนนี้เป็นใคร
“แกไปอยู่ไหนมา รู้ไหมว่าตามหาแทบแย่” เจ้ถามขณะคลายอ้อมแขนออก
โบ้ที่กำลังสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลอาบแก้ม ตอบเสียงเครือกลับมาว่า ‘หุบเขาหิมะ’ ถ้าเดาไม่ผิดหุบเขาที่เอ่ยถึงคือดินแดนทางเหนือสุดของอาณาจักร โบ้อยู่ไกลอย่างนี้เองจึงตามหากันไม่เจอเสียที
“จะร้องไห้สะอึกสะอื้นอะไรนักหนา เจอฉันกับหน่อมไม่เห็นจะดีใจเท่านี้ ลำเอียงรักเพื่อนไม่เท่ากันนี่หว่า”
“ไม่ได้ลำเอียงค่ะ” โบ้สูดจมูกแล้วทำปากยื่น “แค่ผิดหวังจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่”
“ผิดหวังอะไรเหรอ” หน่อมถามด้วยความสนใจ
“ก็ร่างใหม่ของเจ้นี่สิคะ โคตรสวย หนูอุตส่าห์ว่าจะข่มสักหน่อย ดันข่มไม่ลงซะงั้น”
ไป๋หลินเป็นหญิงสาวที่งามเลิศ นางมีใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเรียวได้รูปดำขลับ คิ้วโค้งรับกับรูปตา จมูกเชิดรั้นน้อยๆ ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเป็นธรรมชาติ เรียกว่าเป็นความงามในอุดมคติที่สาวแท้สาวเทียมทั้งหลายเฝ้าฝัน ความงามพิสุทธิ์นี้ถือเป็นที่หนึ่งหากเปรียบเทียบกันในหมู่จอมยุทธ์หญิง แต่พอเอามาประชันกับคณิกาที่งดงามด้วยการปรุงโฉมและจริตมารยาแล้ว กลับไม่สามารถหาตัวผู้ชนะได้
ตอนยังเป็นกะเทยหุ่นล่ำกล้ามโต โบ้เคยพูดอยู่บ่อยๆ ว่าถ้าชาติหน้าเมื่อไรจะเกิดใหม่ให้สวยแซ่บ เอาชนิดฆ่าคนให้ตายได้ การได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้จึงไม่ต่างจากการฝันที่เป็นจริง โบ้เลยอยากจะลองสะบัดบ๊อบใส่เจ้ว่าฉันสวยกว่าสักครั้ง
“อิบ้า! ไร้สาระได้ตลอดนะแก มาแต่วิญญาณจริงๆ สินะ ไม่ได้เอาสมองมาด้วย” เจ้เหน็บ
“เจ้พูดผิดแล้ว มันเคยมีสมองที่ไหน” แว่นแก้
“จะพูดอะไรก็พูดไปค่ะ ตอนนี้คนสวยไม่แคร์แล้ว ขอแค่ได้เป็นชะนีหนังหน้าเลิศ จะให้เป็นควายหนูก็ยอม” ว่าแล้วก็เอามือประคองที่หน้าตัวเองพลางโปรยยิ้มหวานหยด สร้างความหมั่นไส้ให้เหลือประมาณ
“แล้วไม่อิจฉาเรากับแว่นบ้างเหรอ เราสองคนก็สวยนะ” หน่อมถามบ้าง
“ไม่หรอกค่ะ หน่อมน่ารัก นิสัยดี คนสวยเลยให้อภัย” พูดเสียงอ่อนเสียงหวานแล้วก็เบนสายตาไปทางแว่น “ส่วนอิแว่น ไม่รู้จะอิจฉามันไปทำไม หนังหน้าดูดีแต่ดันไม่มีนม เสียชาติเกิดค่ะ”
แว่นเอามือแตะหน้าอกในทันที ที่ผ่านมาเขาไม่ได้สังเกตสัดส่วนตัวเองเท่าไร พอถูกว่าเลยเปรียบเทียบกับคนอื่นดู แล้วก็พบว่าตัวเองเป็นสาวจอแบนจริงๆ นั่นแหละ
โบ้ยืดตัวอวดอกอึ๋มๆ ของตัวเองเย้ยเพื่อน พลางร้องเพลงไปด้วย
“เอ บี ซี ยกทรงชั้นดีมีมาตรฐาน สวมใส่แล้วเราเบิกบาน เป็นมาตรฐานของเอ บี ซี”
แน่นอนว่าเพลงนี้ต้องมีท่าประกอบ ทุกครั้งที่พูดถึงคัพเอโบ้เป็นต้องชี้มาที่อกแบนๆ ของกุ้ยฮวาทุกที
“หุบปากไปเลยอิชัชชาติ” แว่นแหวกลับ
คราวนี้ตุ๊ดแรมโบ้หยุดร้องเพลงกวนประสาทเปลี่ยนไปกรีดร้อง
‘ชัชชาติ’ คือชื่อจริงของโบ้ ที่ไม่ว่าฟังกี่ครั้งก็ยังแสลงหู นอกจากจะฟังดูแมนเกินร้อยแล้ว ยังไปเหมือนกับชื่อรัฐมนตรีท่านหนึ่งโดยบังเอิญ โบ้ก็เลยได้รับฉายาพิเศษมาว่า ‘ตุ๊ดที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี’ เจ้าตัวฟังแล้วไม่ปลื้มเอาเลย เขารักจะหลอกตัวเองว่าเป็นสาวน้อยบอบบางน่าทะนุถนอมมากกว่า
เห็นโบ้กรีดร้อง ทุกคนก็พร้อมใจกันหัวเราะแบบไม่คิดจะสงสาร การโต้เถียงกันไปมาอย่างนี้ คือเรื่องที่ทำกันเป็นประจำเวลารวมกลุ่ม ถึงบางครั้งจะมีคำพูดแรงๆ หลุดมาบ้างแต่ทุกคนก็ไม่เคยถือสากัน
เมื่อเสียงหัวเราะเงียบลงก็มีเสียงกระแอมดังตามมา ต้นเสียงมาจากคนที่ยืนฟังสี่สาวคุยกันได้พักใหญ่แล้ว
“ลืมไปเลย!” เจ้อุทานอย่างนึกขึ้นได้ เธอเดินไปหาชายหนุ่มหน้าหวานที่มาด้วยกัน แล้วพาตัวเขามาหาเพื่อนๆ “นี่เต้กุนเป็นสหายข้า”
เจ้กลับมาใช้ภาษาเจียงอย่างเดิมเพื่อที่เต้กุนจะได้เข้าใจ ไม่ทันที่เจ้จะได้แนะนำเพิ่มเติม เจ้าของบ้านก็ออกมาต้อนรับแขกเสียก่อน ท่านเผิงไม่ได้เรียกเต้กุนด้วยชื่ออย่างสนิทสนมเหมือนฟางเซียน แต่เรียกเขาว่า ‘ท่านฮั่ว’ อย่างเคารพนบนอบ
ท่านเผิงเป็นชายชราที่มีความองอาจอยู่ในตัว แต่กลับมาทำตัวประหนึ่งผู้น้อยต่อหน้าเด็กหนุ่มคราวหลาน สร้างความประหลาดใจให้บรรดาผู้ที่สังเกตเห็น ทั้งแว่นและหน่อมต่างก็รู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ไม่ธรรมดา
“เจ้าคงอยากอยู่กับเพื่อน คืนนี้ข้อตกลงของเราเป็นอันว่ายกเลิกก็แล้วกัน” เต้กุนหันมาบอกฟางเซียน
น้ำเสียงของเขาดูทุ้มห้าวตรงข้ามกับภาพลักษณ์ หากหลับตาลงแล้วฟังแค่เสียงคงจะคิดว่านี่เป็นเสียงของผู้ชายร่างสูงใหญ่เป็นแน่
“ขอโทษด้วยนะเต้กุน คราวหน้าข้าจะชดใช้ให้” เจ้ว่า
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวด้านในตามคำเชิญของท่านเผิง ส่วนสาวงามทั้งสี่นางย้ายสถานที่มาคุยกันด้านนอก เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนเจ้าของบ้าน
หน่อมเอาตะเกียงที่ถือมาวางเอาไว้ตรงกลางลานบ้าน แล้วชวนให้ทุกคนนั่งบนขอนไม้แทนเก้าอี้
“ผู้ชายคนนั้นใครเหรอเจ้” แว่นถาม
“เป็นลูกค้าที่หอซูเมิงน่ะ พอดีคุยกันถูกคอก็เลยกลายเป็นเพื่อนกัน”
แว่นนึกขึ้นมาได้ว่าองค์ชายสามเคยบอกว่าฟางเซียนรีบร้อนออกจากวังเพราะมีนัดกับคนรัก เลยลองตะล่อมถามต่อเผื่อว่าจะเป็นพ่อหนุ่มหน้าสวยคนนี้
“แล้วเจ้กับหนุ่มสวยนั่นมาทำอะไรกันที่นี่”
“ฉันถูกเต้กุนจ้างมาเล่นดนตรี แต่ตอนนี้ไม่ต้องเล่นแล้ว” เจ้ยกเครื่องดนตรีที่หอบหิ้วมาประกอบคำพูด
เต้กุนชื่นชอบฝีมือการบรรเลงซอเอ้อหูของฟางเซียนเป็นอย่างมาก จึงอยากให้สหายเก่าแก่ได้ลองฟังดู
“เพราะพวกเราหรือเปล่า เจ้ก็เลยเสียงาน” หน่อมเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ไม่ใช่หรอก แค่จังหวะไม่เหมาะเท่านั้นเอง เต้กุนไม่ชอบคนเยอะๆ”
ชายหนุ่มยอมทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อที่จะได้ฟังฟางเซียนเล่นซอเอ้อหูตามลำพัง ทุกคราวที่บรรเลงเพลงเขาจะนั่งนิ่งหลับตา ปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับทำนองดนตรี เขาหลงใหลเสียงเพลงของฟางเซียน ทั้งยังรักที่จะสนทนากับนาง แต่ไม่เคยคิดล่วงเกินเลยสักหน
“เต้กุนไม่ใช่ชาวเจียงเฉียงใช่ไหม”
แว่นสงสัยเพราะชาวเจียงเฉียงส่วนใหญ่ต่างก็นิยมไว้ผมยาว ตามความเชื่อว่าเส้นผมเป็นสิ่งสูงค่า หากดูแลให้ดีมันจะนำพาสิริมงคลมาสู่ตนเอง ความยาวที่นิยมคือประมาณกลางหลัง นอกจากนักบวชแล้วพวกที่ไว้สั้นหรือโกนเลยก็มีแต่คนหัวล้านกับคนที่ไว้ทุกข์ ในกรณีที่บิดามารดาเสียชีวิต ลูกชายมักจะตัดผมออกจนเหลือความยาวอยู่ที่ระดับประบ่า ส่วนลูกสาวไม่นิยมให้ตัดผมแต่เปลี่ยนมาถือศีล งดรับประทานเนื้อสัตว์จนกว่าจะไว้ทุกข์ครบกำหนดแทน ทรงผมของเต้กุนเป็นผมซอยสั้นแบบรากไทร ปลายผมยาวแค่ระต้นคอเท่านั้น มองอย่างไรก็ขัดต่อประเพณีนิยม
“ใช่ เต้กุนไม่ใช่ชาวเจียงเฉียง แต่จะเป็นคนที่ไหน ฉันไม่รู้หรอกนะ”
ตัวเต้กุนมีความลับอยู่มากมายและมีอยู่หลายเรื่องที่ไม่สมควรจะแพร่งพรายออกไป
“จะคนชาติไหนก็ช่างมันเถอะค่ะ คนสวยแค่อยากรู้ว่าเจ้เปลี่ยนไปตีฉิ่งตอนไหน” โบ้ถามแทรก
แว่นรึอุตส่าห์ตะล่อมค่อยๆ ถามมาตั้งนาน แต่โบ้กลับปล่อยหมัดตรงไปเสียอย่างนั้น
“เต้กุนเป็นชายแท้ย่ะ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่แกคิด เราเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ คบกันเหมือนฉันกับพวกแกนั่นแหละ” เจ้ย้ำอย่างหนักแน่น
เธอคนนี้มีจุดยืนที่ชัดเจนเสมอว่าคนไหนเพื่อนคนไหนแฟน แว่นเลยกลอกตาอย่างเสียดาย สู้อุตส่าห์หวังว่าจะได้ฟังเรื่องรักครั้งใหม่ของเจ้ ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่มีอะไรในกอไผ่
คนอื่นเชื่อเจ้กันหมด เว้นก็แต่โบ้ที่ยังทำหน้าสงสัย เจ้าตัวเลยบอกอย่างใจกว้างว่ามีอะไรสงสัยเรื่องเธอกับเต้กุนก็ให้ถามมา
“เรื่องเจ้กับหนุ่มหวานนั่นคนสวยไม่ติดใจแล้วค่ะ แค่สงสัยว่าทุกคนมาที่นี่ได้ยังไง”
“อิบ้า! ยังมีหน้ามาถามอีกนะ เพราะเข็มทิศมหาซวยของแกนั่นไง” เจ้แว้ดใส่
“มหาลาภต่างหากล่ะคะ” โบ้แก้ “ที่คนสวยสงสัยคืออีกเรื่องต่างหาก เรื่องนั้นน่ะค่ะที่มาตรงนี้” โบ้พยายามยกมือยกไม้อธิบายแต่ก็ไม่ช่วยให้กระจ่างขึ้น
“อีกเรื่องอะไรของแก พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย” แว่นติงทั้งๆ ที่ก็ชินแล้ว
ตุ๊ดแรมโบ้นางนี้เป็นประเภทพวกไร้สติ บางทีก็โพล่งออกมาแบบไม่คิด บางคราวก็พูดไม่รู้เรื่องเหมือนอย่างตอนนี้ ร้อนถึงหน่อมต้องมาแปลให้ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสองนางนี้เขาสื่อสารกันรู้เรื่องได้ยังไง
“โบ้หมายถึงว่าอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับร่างใหม่ของพวกเราแล้วก็ชีวิตความเป็นอยู่ในตอนนี้”
“ใช่เลยค่ะ อย่างที่หน่อมบอกทุกอย่าง”
“ก็สบายดี สวย รวย มีความสุขอย่างที่เห็น” เจ้พูดง่ายๆ
แว่นเห็นว่ามันรวบไปก็เลยช่วยสรุปรายละเอียดของแต่ละคนให้ สรุปแล้วโดยรวมทุกคนมีร่างใหม่ที่สวยสดงดงาม สถานะทางสังคมก็ดีไม่ลำบาก ได้ฟังอย่างนี้โบ้ก็ถอนหายใจออกมอย่างโล่งอก
“ดีจังนะคะที่ได้ตามอย่างที่อธิษฐาน นึกกลัวอยู่ตั้งนานว่าบางคำขอจะไม่เป็นจริง”
ตอนที่อธิษฐานขอพรกับเข็มทิศมหาลาภ โบ้ตั้งจิตขอให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นสาวสวย รวมถึงมีน้ำใจเผื่อแผ่อธิษฐานให้เพื่อนด้วย นอกจากนี้ยังขออีกว่าขอให้ได้เจอกับเพื่อนรักทุกชาติไป
“ทำไมแกถึงกลัว” แว่นนึกสะกิดใจก็เลยถาม
“ทำไมเหรอคะ...” โบ้เอานิ้วเข้าปากขณะเรียบเรียงความคิด “...ก็คนที่พามา เขาบอกไว้น่ะค่ะ ว่าบางคำอธิษฐานอาจจะไม่เป็นจริง”
“เขาได้พูดอะไรอีกบ้างไหม มีวิธีกลับบ้านหรือเปล่า” แว่นถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่ค่ะ เขาให้เลือกแค่ว่าจะอยู่ต่อหรือตาย อ้อ! มีบอกด้วยนะคะว่าพวกเราจะได้เจอกัน ประมาณว่า ‘สี่จอมนางคือชะตากรรม’ อะไรประมาณนี้”
“ชะตากรรมอะไร” เจ้ถามบ้าง
“ไม่รู้ค่ะ เขาพูดแค่นี้แล้วก็ไป”
“สรุปก็ไม่ได้อะไรเลย แกนี่ไม่ได้ความจริงๆ” แว่นพ่นลมหายใจใส่อย่างมีอารมณ์
ถ้าคนที่พาเขามาโลกนี้พูดมากเหมือนของโบ้ คงจะได้ข้อมูลมามากกว่านี้อีกเยอะ รวมถึงอาจจะได้กลับไปยังโลกเดิมด้วย
“เครียดไปก็เท่านั้น ตอนนี้พวกเรายังไม่ตาย แถมยังได้เจอกันอีก น่าดีใจออก” หน่อมช่วยเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการคิดบวก