ตอนที่ผ่านมา
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/32585189
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/32602706
บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/32624570
บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/33134702
บทที่ ๕
http://ppantip.com/topic/33193541
บทที่ ๖
http://ppantip.com/topic/33210238
บทที่ ๗
http://ppantip.com/topic/33227741
บทที่ ๘
http://ppantip.com/topic/33244919
บทที่ ๙
http://ppantip.com/topic/33262874
สัตว์พันปี : บทที่ ๑๐ ไอดอลของโบ้
เมื่อท่านผู้เฒ่าจากไปแล้ว หน่อม เจ้และโบ้ก็หันมาปรึกษากันเรื่องคำทำนาย เนื่องจากไม่สามารถบอกความลับที่รู้มา ประเด็นที่พอคุยกันได้จึงเป็นการเลือกว่าจะปฏิบัติตามคำแนะนำของนักทำนายผู้นี้หรือไม่ คำตอบของทุกคนเป็นไปในทิศทางเดียวกันนั่นคือ ‘ทำ’
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดมาก รูดซิปปากแล้วจัดการเรื่องของตัวเองไป” เจ้ตัดบทอย่างรวบรัด
“อย่าเพิ่งสิคะ หนูยังคาใจอยู่เลย” โบ้ท้วง “ขอสามคำ เกี่ยวกับภารกิจของแต่ละคนได้ไหมคะ”
“อิบ้า! ถ้าพูดมันก็ไม่ใช่ความลับสิ” เจ้เอ็ด
“โบ้หมายถึงไม่ต้องบอกรายละเอียด แค่พูดว่ายากง่ายหรือเป็นงานเสี่ยงอันตรายไหมก็พอ บอกแค่นี้ไม่น่าจะเป็นการเปิดเผยความลับนะ” หน่อมช่วยอธิบายสิ่งที่เพื่อนต้องการสื่อ
เขาสนับสนุนความคิดนี้เพราะไม่ได้เป็นห่วงเฉพาะแว่น แต่ยังกังวลเรื่องของเพื่อนคนอื่นด้วย
“ก็ได้แต่แค่สามคำนะ เริ่มจากแกก่อนเลย” เจ้สะบัดหน้าไปทางคนต้นเรื่อง
“เอ่อ...สามคำหรือคะ แหมยากจัง เอาเป็น ‘เที่ยวชิลล์ๆ’ ก็แล้วกันค่ะ”
ภารกิจของโบ้เกี่ยวกับการเดินทาง ถึงชื่อสถานที่จะไม่คุ้นแต่ในเมื่อท่านผู้เฒ่าแนะนำว่าให้ไปที่นั่นมันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่
“ของฉัน ‘งานง่ายๆ’ ” เจ้ตอบแล้วหันมาทางหน่อม
ตอนได้ฟังข้อความจากผู้เฒ่านักทำนายเขาทำหน้ายุ่งมากกว่าใคร พอถูกถามก็นิ่งคิดหาคำมาอธิบายอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ได้คำตอบที่แสนจะคลุมเครือออกมา
“ต้องคิดเยอะ”
ทั้งเจ้และโบ้ต่างก็สงสัย กระนั้นก็ไม่ซักต่อเพราะตกลงกันแล้วว่าให้พูดได้แค่สามคำ หน่อมรู้ใจเพื่อนจึงชี้แจงเพิ่มเพื่อความสบายใจของทั้งสอง
“ของเราเป็นงานใช้สมอง ไม่อันตรายหรอก” หน่อมเอ่ยประโยคนี้ด้วยรอยยิ้ม
ท่าทีเรื่อยเฉื่อยค่อนไปทางสบายใจของหน่อมไม่ช่วยให้เจ้วางใจนัก รู้กันอยู่ว่าตรรกะในการมองปัญหาของคุณชายหน่อมแน้มคนนี้แปลกกว่าชาวบ้าน ถ้าเป็นเรื่องของตัวเองจะดีจะร้ายหน่อมแทบไม่เคยทุกข์ร้อน
“อย่าทำอะไรเกินตัวล่ะ” เจ้ว่าแล้วค่อยหันมาทางโบ้ “แกก็เหมือนกัน มีอะไรให้ช่วยก็บอก ระวังอย่าให้อิแว่นรู้เรื่องด้วย เดี๋ยวมันจะคิดมาก”
“รู้แล้วค่ะเจ้” โบ้พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
อึดใจต่อมาทุกคนก็กลับมายังรถม้าโดยพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ทว่าความพยายามนี้กลับสูญเปล่า แว่นจับพิรุธได้ในทันทีเพราะทั้งสามดูสงบเสงี่ยมผิดปกติ อุตส่าห์ได้ดูดวงทั้งทีไม่มีทางเลยที่แก๊งตุ๊ดจะไม่เมาท์แตก
“ดวงออกมาไม่ค่อยดีละสิ” แว่นว่า
“ก็ประมาณนั้น” หน่อมเออออตาม ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อน “แต่เราไม่คิดมากหรอก”
“ดีแล้ว หมอดูคู่กับหมอเดา เรื่องดีเชื่อเอาไว้ไม่เสียหาย ส่วนเรื่องร้ายๆ ช่างมัน”
ทุกคนตอบรับอย่างว่าง่ายเพื่อให้แว่นหมดความสนใจ แต่กลับทำให้ยิ่งรู้สึกสงสัย ปกติต้องมีคนเถียงว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ไม่ใช่เงียบอย่างนี้ แว่นเลยจัดการจี้ถามรายตัวว่าหมอดูบอกว่าอะไรบ้าง
แว่นเล็งโบ้ไว้เป็นคนแรกเพราะเป็นพวกที่พอถามอะไรไปแล้ว ก็มักจะโพล่งสิ่งที่อยู่ในใจออกมาในทันที เจ้กับหน่อมสุดแสนหวาดเสียวว่าความจะแตก
“หมอดูบอกว่าความรักของหนูจะโรแมนติกประหนึ่งโรมิโอกับจูเลียตค่ะ”
เจ้กลั้นยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบ เธอลืมไปเลยว่าโบ้ชอบคิดเพ้อเจ้อ รับรองงานนี้มีหลงประเด็นไปไกล
“โรมิโอ จูเลียต? อย่ามโนย่ะ หมอดูพูดว่าไงกันแน่” แว่นคาดคั้น
“จำคำพูดเป๊ะๆ ไม่ได้แล้วค่ะ แต่หนูเข้าใจว่าเป็นประมาณนี้”
โบ้พูดไปตามที่คิด สมองของเขามันจำได้เท่านี้จริงๆ พอนึกถึงคำทำนายแล้วโบ้ก็ร่ายบทละครของเชกสเปียร์อย่างคล่องปาก
"โอ้...โรมิโอ โรมิโอ โรมิโอ ใยท่านเป็นโรมิโอ ตัดขาดจากบิดา เปลี่ยนนามท่านเถิด หรือถ้าทำไม่ได้เพียงปฏิญญารัก ข้าจะเลิกเป็นคาปุเล็ต"
ถึงเป็นพวกความจำสั้นแต่โบ้ก็มีศักยภาพแฝงอันน่าทึ่ง มองแล้วทำให้รู้สึกว่าที่จริงตุ๊ดหุ่นล่ำนางนี้ไม่ได้โง่ แต่เอาสมองไปใช้ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องหมด
“โบ้ยังชอบเชกสเปียร์ไม่เปลี่ยนเลยนะ” หน่อมเปรยโดยมีเจตนาแฝงคือการชวนคุยเรื่องอื่น
“จริงๆ ก็ไม่ได้ชอบมากหรอกนะคะ หนูดูโรมิโอกับจูเลียตเพราะลีโอนาโด้ แค่นั้น”
“แล้วชอบเรื่องไหนล่ะ”
“เยอะแยะค่ะ พวกเทพนิยายก็ชอบ ยิ่งของดิสนีย์นี่รักเลย ที่เป็นไอดอลก็สโนว์ไวต์กับเจ้าหญิงนิทราค่ะ”
“ชอบเพราะสวย?” เจ้ช่วยผสมโรง
“เปล่าค่ะ ชอบตรงที่ตื่นมาแล้วก็มีผัวเลยเริ้ดเริ่ด” พูดแล้วก็สะบัดผมอย่างมีอารมณ์ร่วม
“พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว” แว่นตัดบท ก่อนจะได้ฟังอภิมหากาพย์ความรักของเจ้าหญิงเดอะวอลต์ดิสนีย์
ประจวบเหมาะที่ตอนนั้นหยางเจี้ยนมาแจ้งว่าประตูวัดใกล้เปิดแล้วพอดี ทุกคนจึงแยกย้ายไปเก็บล้างเครื่องใช้ที่นำออกมาตอนเตรียมอาหาร เพื่อจะได้ออกเดินทางในทันทีหลังจากเยี่ยมชมวัดเสร็จ เรื่องคำทำนายจึงหายไปจากความสนใจของแว่นในทันที
วัดที่ฮองเฮาเสด็จมานมัสการในครั้งนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าวัดสวนสงบ แต่นักเดินทางกับคนท้องถิ่นชอบเรียกว่าวัดทำนาย ไม่ก็วัดปี่กานตามชื่อเจ้าอาวาส วัดนี้อยู่ในลัทธิดินฟ้า ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของลัทธิธรรม แต่ช่วงร้อยปีหลังแยกออกจากกันอย่างชัดเจน เพราะมีแนวทางการบำเพ็ญตนและหลักคำสอนที่แตกต่างกันหลายประการ
นักบวชในลัทธิธรรมจะเรียกว่าพระ เน้นการบำเพ็ญเพื่อหาทางหลุดพ้น ส่วนนักบวชในลัทธิดินฟ้าจะเน้นการฝึกตนเพื่อให้มีอิทธิฤทธิ์ จึงเรียกว่านักพรต
ชาวเจียงเฉียงไม่ถือว่าการนับถือหลายลัทธิเป็นเรื่องผิด เช่นเดียวกับการนับถือเทพหลายองค์พร้อมกัน ทั้งยังมองว่าการทำบุญโดยไม่แบ่งแยกถือเป็นกรรมดีที่ควรปฏิบัติ ฮองเฮาจึงทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ให้กับลัทธิหลากหลาย แม้จะมีศรัทธาต่อลัทธิธรรมและลัทธิดินฟ้าเพียงสองแห่ง
เมื่อประตูวัดเปิดออก ฮองเฮาและผู้ตามเสด็จต่างก็พากันเข้าไปด้านในวัด ส่วนสามัญชนนั้น ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเพียงบางส่วน ที่เหลือถูกกันเอาไว้ไม่ให้มาวุ่นวายในขณะที่พระนางอยู่ด้านใน มีเสียงบ่นบ้างแต่ก็ไม่มีใครก่อเรื่องเกินกว่าเหตุ ด้วยคุ้นชินกับระบบศักดินาเป็นอย่างดี
คณะเดินทางของแว่นจัดอยู่ในกลุ่มคนส่วนน้อยที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาพร้อมกัน กระนั้นก็ต้องรอให้ฮองเฮาเสด็จออกจากวิหารก่อน จึงเข้าไปรับพรในนั้นได้ วิหารของลัทธิดินฟ้าก่อสร้างอย่างเรียบง่าย เพดานสูงไม่มีฝ้า เสาต้นใหญ่ที่ใช้ค้ำอาคารไม่มีการสลักลวดลายหรือประดับตกแต่ง จุดเดียวที่มีเครื่องทองและของสวยงามคือบริเวณรูปสักการะเทพนักพรต
วิธีการกราบไหว้รูปเคารพของคนที่นี่คือคุกเข่าลง จากนั้นก็พนมมือและคำนับเจ็ดหน แต่จะไม่มีการกราบจนศีรษะจรดพื้นเหมือนอย่างศาสนาพุทธ
หลังจากทำความเคารพรูปสักการะแล้ว หากมีเรื่องทุกข์ใจหรือต้องการให้ทำนายดวงชะตาก็สามารถแจ้งความประสงค์ต่อนักบวชในวิหารได้ กลุ่มแว่นไม่มีใครต้องการรับคำทำนาย จึงทำบุญด้วยการบริจาคเงิน ผู้ดูแลวิหารจึงมอบเครื่องรางคุ้มชะตาให้คนละอัน ภายในถุงผ้าสีแดงขนาดหนึ่งในสี่ของฝ่ามือสตรี มียันต์เขียนด้วยอักขระพิเศษบรรจุอยู่ แว่นที่เริ่มจะเชื่อเรื่องอำนาจวิเศษขึ้นมาบ้างจึงนึกถึงคนที่บ้าน เขาลองถามดูว่าสามารถขอไปให้คนอื่นได้อีกหรือไม่
นักบวชผู้ดูแลอนุญาตให้หยิบเพิ่มไปได้ แต่ต้องไม่เกินสามชิ้น แว่นจึงหยิบมาครบตามจำนวนที่อนุญาต จะได้เป็นของฝากท่านพ่อท่านพี่ รวมถึงแม่เลี้ยงด้วย
ขณะที่แว่นออกมาจากวิหาร ขบวนเสด็จของฮองเฮากำลังเสด็จกลับ ก่อนหน้านี้ทางวัดให้คนมากราบทูลว่าขณะนี้นักพรตปี่กานไม่อยู่ พระนางจึงขอรับคำทำนายจากรองเจ้าอาวาสแทน เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ก็เสด็จกลับทันที เพื่อไม่ให้ประชาชนที่รออยู่ด้านล่างพลาดโอกาสการเข้ามาในวัด
ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยสมเป็นพระแม่แห่งแผ่นดิน พระนางไม่เย่อหยิ่งเอาแต่ใจอย่างสตรีชั้นสูงนางอื่น เห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ เหตุที่องค์ชายห้าเป็นคนอ่อนโยนใส่ใจผู้อื่นคงเพราะพระมารดาเป็นแน่แท้
แว่นเผลอนึกถึงองค์ชายเหวินหรงโดยไม่ตั้งใจ อึดใจก็รู้สึกเสียวสันหลัง แว่นเหลียวมองรอบตัวจึงพบว่าท่านหญิงฮุ่ยเสียนกำลังจ้องเขม็งมาทางนี้ พอประสานสายตากันนางก็ตรงดิ่งมาหา
“หม่อมฉันขอยืมตัวกุ้ยฮวาสักครู่นะเพคะ” ท่านหญิงคนงามกระซิบบอกกับองค์หญิงลี่จูที่ยืนอยู่ข้างๆ กุ้ยฮวา
“เอาสิ แต่รีบหน่อยนะ ระวังจะตามเสด็จไม่ทัน”
หน่อมสนับสนุนให้เพื่อนตามไป เขาคิดว่าฮุ่ยเสียนกับกุ้ยฮวาคงมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันมาก่อน ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวอาจทำให้เรื่องทุกอย่างคลี่คลาย หรือต่อให้ทะเลาะกัน ฮุ่ยเสียนก็ไม่มีวันทำเรื่องรุนแรงในวัด
แว่นยอมไปอย่างไม่ขัดข้อง เขาอยากรู้ว่าฮุ่ยเสียนมีธุระอะไร ท่านหญิงสูงศักดิ์เดินนำพาอ้อมมายังด้านหลังวิหารซึ่งร้างผู้คน นางเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้วจึงค่อยพูด
“ข้าไม่ชอบที่เจ้ามาปั่นหัวเหวินหรง” ฮุ่ยเสียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยทำแบบนั้นเลยสักหน”
โอกาสที่แว่นกับองค์ชายห้าได้เจอกันมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ที่ผ่านมาพูดจากันแทบนับคำได้ จะเอาเวลาที่ไหนไปปั่นหัวเขา
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากล้าสาบานต่อหน้าเทพนักพรตหรือไม่”
“กล้า” แว่นตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ แม้อีกฝ่ายจะมีท่าทีคุกคามเขาก็ยังสบตาด้วยโดยไม่คิดถอยหนี
ท่านหญิงฮุ่ยเสียนเสียอีกที่เป็นฝ่ายหวั่นไหว การสาบานถือเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ากุ้ยฮวากล้าก็แสดงว่าที่ผ่านมาเป็นความเข้าใจผิดของนางมาโดยตลอด
‘ต้องไม่ใช่อย่างนั้นแน่ อย่าได้หลงเชื่อวาจานางจิ้งจอกเชียว’ ฮุ่ยเสียนเตือนตัวเอง
“เมื่อสาบานแล้วก็จงอยู่อย่างเจียมตัว จำใส่ใจเอาไว้ว่าหิ่งห้อยควรอยู่อย่างหิ่งห้อย อย่ามาเผยอคู่ดวงตะวัน”
ฮุ่ยเสียนดูถูกเกินจริงไปมากโข กุ้ยฮวาอาจไม่ใช่ท่านหญิงโดยกำเนิดแต่นางก็มีชาติตระกูลที่ดี แม้จะเปรียบตัวเองเป็นดั่งจันทรายังไม่มีใครว่าว่ายกตน แว่นรู้สึกระคายหูอยู่บ้างแต่ก็ไม่ตอบโต้กลับไปรุนแรง เขาส่งยิ้มไปให้อย่างผู้ใหญ่ที่กำลังมองเด็กสาววัยรุ่น
“เจ้าคงชอบองค์ชายห้ามากเลยสินะ”
ประโยคที่ไม่คาดฝันทำให้ฮุ่ยเสียนหน้าขึ้นสี
“จะ...เจ้าพูดอะไรของเจ้า ข้าไม่ได้ชอบสักหน่อย”
แว่นมองท่านหญิงปากแข็งแล้วก็ขำ เลยแกล้งพูดยั่ว
“ขออภัยด้วยที่เข้าใจผิด องค์ชายห้าทั้งอ้วนทั้งขี้เหร่ ชอบลงก็บ้าแล้วจริงไหม”
“บังอาจ!” ฮุ่ยเสียนตวาดเสียงดัง “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาว่าเหวินหรง เขาเป็นถึงโอรสฮองเฮา เก่งกล้าสามารถ ถนัดทั้งบุ๋นบู้ แล้วก็...แล้วก็รูปงามมากด้วย”
อันที่จริงแว่นมององค์ชายห้าแล้วก็คิดคล้ายๆ ฮุ่ยเสียนเสียก็แต่เรื่องรูปงาม องค์ชายเหวินหรงไม่ได้ขี้ริ้ว แต่ความหล่อของเฮียแกห่างไกลคำว่ารูปงามอยู่หลายโยชน์
‘แม่เฮย! รสนิยมแม่นี่มันช่าง...’
พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๒ บทที่ ๑๐ ไอดอลของโบ้
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32585189
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32602706
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/32624570
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/33134702
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/33193541
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/33210238
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/33227741
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/33244919
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/33262874
สัตว์พันปี : บทที่ ๑๐ ไอดอลของโบ้
เมื่อท่านผู้เฒ่าจากไปแล้ว หน่อม เจ้และโบ้ก็หันมาปรึกษากันเรื่องคำทำนาย เนื่องจากไม่สามารถบอกความลับที่รู้มา ประเด็นที่พอคุยกันได้จึงเป็นการเลือกว่าจะปฏิบัติตามคำแนะนำของนักทำนายผู้นี้หรือไม่ คำตอบของทุกคนเป็นไปในทิศทางเดียวกันนั่นคือ ‘ทำ’
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดมาก รูดซิปปากแล้วจัดการเรื่องของตัวเองไป” เจ้ตัดบทอย่างรวบรัด
“อย่าเพิ่งสิคะ หนูยังคาใจอยู่เลย” โบ้ท้วง “ขอสามคำ เกี่ยวกับภารกิจของแต่ละคนได้ไหมคะ”
“อิบ้า! ถ้าพูดมันก็ไม่ใช่ความลับสิ” เจ้เอ็ด
“โบ้หมายถึงไม่ต้องบอกรายละเอียด แค่พูดว่ายากง่ายหรือเป็นงานเสี่ยงอันตรายไหมก็พอ บอกแค่นี้ไม่น่าจะเป็นการเปิดเผยความลับนะ” หน่อมช่วยอธิบายสิ่งที่เพื่อนต้องการสื่อ
เขาสนับสนุนความคิดนี้เพราะไม่ได้เป็นห่วงเฉพาะแว่น แต่ยังกังวลเรื่องของเพื่อนคนอื่นด้วย
“ก็ได้แต่แค่สามคำนะ เริ่มจากแกก่อนเลย” เจ้สะบัดหน้าไปทางคนต้นเรื่อง
“เอ่อ...สามคำหรือคะ แหมยากจัง เอาเป็น ‘เที่ยวชิลล์ๆ’ ก็แล้วกันค่ะ”
ภารกิจของโบ้เกี่ยวกับการเดินทาง ถึงชื่อสถานที่จะไม่คุ้นแต่ในเมื่อท่านผู้เฒ่าแนะนำว่าให้ไปที่นั่นมันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่
“ของฉัน ‘งานง่ายๆ’ ” เจ้ตอบแล้วหันมาทางหน่อม
ตอนได้ฟังข้อความจากผู้เฒ่านักทำนายเขาทำหน้ายุ่งมากกว่าใคร พอถูกถามก็นิ่งคิดหาคำมาอธิบายอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ได้คำตอบที่แสนจะคลุมเครือออกมา
“ต้องคิดเยอะ”
ทั้งเจ้และโบ้ต่างก็สงสัย กระนั้นก็ไม่ซักต่อเพราะตกลงกันแล้วว่าให้พูดได้แค่สามคำ หน่อมรู้ใจเพื่อนจึงชี้แจงเพิ่มเพื่อความสบายใจของทั้งสอง
“ของเราเป็นงานใช้สมอง ไม่อันตรายหรอก” หน่อมเอ่ยประโยคนี้ด้วยรอยยิ้ม
ท่าทีเรื่อยเฉื่อยค่อนไปทางสบายใจของหน่อมไม่ช่วยให้เจ้วางใจนัก รู้กันอยู่ว่าตรรกะในการมองปัญหาของคุณชายหน่อมแน้มคนนี้แปลกกว่าชาวบ้าน ถ้าเป็นเรื่องของตัวเองจะดีจะร้ายหน่อมแทบไม่เคยทุกข์ร้อน
“อย่าทำอะไรเกินตัวล่ะ” เจ้ว่าแล้วค่อยหันมาทางโบ้ “แกก็เหมือนกัน มีอะไรให้ช่วยก็บอก ระวังอย่าให้อิแว่นรู้เรื่องด้วย เดี๋ยวมันจะคิดมาก”
“รู้แล้วค่ะเจ้” โบ้พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
อึดใจต่อมาทุกคนก็กลับมายังรถม้าโดยพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ทว่าความพยายามนี้กลับสูญเปล่า แว่นจับพิรุธได้ในทันทีเพราะทั้งสามดูสงบเสงี่ยมผิดปกติ อุตส่าห์ได้ดูดวงทั้งทีไม่มีทางเลยที่แก๊งตุ๊ดจะไม่เมาท์แตก
“ดวงออกมาไม่ค่อยดีละสิ” แว่นว่า
“ก็ประมาณนั้น” หน่อมเออออตาม ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อน “แต่เราไม่คิดมากหรอก”
“ดีแล้ว หมอดูคู่กับหมอเดา เรื่องดีเชื่อเอาไว้ไม่เสียหาย ส่วนเรื่องร้ายๆ ช่างมัน”
ทุกคนตอบรับอย่างว่าง่ายเพื่อให้แว่นหมดความสนใจ แต่กลับทำให้ยิ่งรู้สึกสงสัย ปกติต้องมีคนเถียงว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ไม่ใช่เงียบอย่างนี้ แว่นเลยจัดการจี้ถามรายตัวว่าหมอดูบอกว่าอะไรบ้าง
แว่นเล็งโบ้ไว้เป็นคนแรกเพราะเป็นพวกที่พอถามอะไรไปแล้ว ก็มักจะโพล่งสิ่งที่อยู่ในใจออกมาในทันที เจ้กับหน่อมสุดแสนหวาดเสียวว่าความจะแตก
“หมอดูบอกว่าความรักของหนูจะโรแมนติกประหนึ่งโรมิโอกับจูเลียตค่ะ”
เจ้กลั้นยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบ เธอลืมไปเลยว่าโบ้ชอบคิดเพ้อเจ้อ รับรองงานนี้มีหลงประเด็นไปไกล
“โรมิโอ จูเลียต? อย่ามโนย่ะ หมอดูพูดว่าไงกันแน่” แว่นคาดคั้น
“จำคำพูดเป๊ะๆ ไม่ได้แล้วค่ะ แต่หนูเข้าใจว่าเป็นประมาณนี้”
โบ้พูดไปตามที่คิด สมองของเขามันจำได้เท่านี้จริงๆ พอนึกถึงคำทำนายแล้วโบ้ก็ร่ายบทละครของเชกสเปียร์อย่างคล่องปาก
"โอ้...โรมิโอ โรมิโอ โรมิโอ ใยท่านเป็นโรมิโอ ตัดขาดจากบิดา เปลี่ยนนามท่านเถิด หรือถ้าทำไม่ได้เพียงปฏิญญารัก ข้าจะเลิกเป็นคาปุเล็ต"
ถึงเป็นพวกความจำสั้นแต่โบ้ก็มีศักยภาพแฝงอันน่าทึ่ง มองแล้วทำให้รู้สึกว่าที่จริงตุ๊ดหุ่นล่ำนางนี้ไม่ได้โง่ แต่เอาสมองไปใช้ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องหมด
“โบ้ยังชอบเชกสเปียร์ไม่เปลี่ยนเลยนะ” หน่อมเปรยโดยมีเจตนาแฝงคือการชวนคุยเรื่องอื่น
“จริงๆ ก็ไม่ได้ชอบมากหรอกนะคะ หนูดูโรมิโอกับจูเลียตเพราะลีโอนาโด้ แค่นั้น”
“แล้วชอบเรื่องไหนล่ะ”
“เยอะแยะค่ะ พวกเทพนิยายก็ชอบ ยิ่งของดิสนีย์นี่รักเลย ที่เป็นไอดอลก็สโนว์ไวต์กับเจ้าหญิงนิทราค่ะ”
“ชอบเพราะสวย?” เจ้ช่วยผสมโรง
“เปล่าค่ะ ชอบตรงที่ตื่นมาแล้วก็มีผัวเลยเริ้ดเริ่ด” พูดแล้วก็สะบัดผมอย่างมีอารมณ์ร่วม
“พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว” แว่นตัดบท ก่อนจะได้ฟังอภิมหากาพย์ความรักของเจ้าหญิงเดอะวอลต์ดิสนีย์
ประจวบเหมาะที่ตอนนั้นหยางเจี้ยนมาแจ้งว่าประตูวัดใกล้เปิดแล้วพอดี ทุกคนจึงแยกย้ายไปเก็บล้างเครื่องใช้ที่นำออกมาตอนเตรียมอาหาร เพื่อจะได้ออกเดินทางในทันทีหลังจากเยี่ยมชมวัดเสร็จ เรื่องคำทำนายจึงหายไปจากความสนใจของแว่นในทันที
วัดที่ฮองเฮาเสด็จมานมัสการในครั้งนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าวัดสวนสงบ แต่นักเดินทางกับคนท้องถิ่นชอบเรียกว่าวัดทำนาย ไม่ก็วัดปี่กานตามชื่อเจ้าอาวาส วัดนี้อยู่ในลัทธิดินฟ้า ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของลัทธิธรรม แต่ช่วงร้อยปีหลังแยกออกจากกันอย่างชัดเจน เพราะมีแนวทางการบำเพ็ญตนและหลักคำสอนที่แตกต่างกันหลายประการ
นักบวชในลัทธิธรรมจะเรียกว่าพระ เน้นการบำเพ็ญเพื่อหาทางหลุดพ้น ส่วนนักบวชในลัทธิดินฟ้าจะเน้นการฝึกตนเพื่อให้มีอิทธิฤทธิ์ จึงเรียกว่านักพรต
ชาวเจียงเฉียงไม่ถือว่าการนับถือหลายลัทธิเป็นเรื่องผิด เช่นเดียวกับการนับถือเทพหลายองค์พร้อมกัน ทั้งยังมองว่าการทำบุญโดยไม่แบ่งแยกถือเป็นกรรมดีที่ควรปฏิบัติ ฮองเฮาจึงทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ให้กับลัทธิหลากหลาย แม้จะมีศรัทธาต่อลัทธิธรรมและลัทธิดินฟ้าเพียงสองแห่ง
เมื่อประตูวัดเปิดออก ฮองเฮาและผู้ตามเสด็จต่างก็พากันเข้าไปด้านในวัด ส่วนสามัญชนนั้น ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเพียงบางส่วน ที่เหลือถูกกันเอาไว้ไม่ให้มาวุ่นวายในขณะที่พระนางอยู่ด้านใน มีเสียงบ่นบ้างแต่ก็ไม่มีใครก่อเรื่องเกินกว่าเหตุ ด้วยคุ้นชินกับระบบศักดินาเป็นอย่างดี
คณะเดินทางของแว่นจัดอยู่ในกลุ่มคนส่วนน้อยที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาพร้อมกัน กระนั้นก็ต้องรอให้ฮองเฮาเสด็จออกจากวิหารก่อน จึงเข้าไปรับพรในนั้นได้ วิหารของลัทธิดินฟ้าก่อสร้างอย่างเรียบง่าย เพดานสูงไม่มีฝ้า เสาต้นใหญ่ที่ใช้ค้ำอาคารไม่มีการสลักลวดลายหรือประดับตกแต่ง จุดเดียวที่มีเครื่องทองและของสวยงามคือบริเวณรูปสักการะเทพนักพรต
วิธีการกราบไหว้รูปเคารพของคนที่นี่คือคุกเข่าลง จากนั้นก็พนมมือและคำนับเจ็ดหน แต่จะไม่มีการกราบจนศีรษะจรดพื้นเหมือนอย่างศาสนาพุทธ
หลังจากทำความเคารพรูปสักการะแล้ว หากมีเรื่องทุกข์ใจหรือต้องการให้ทำนายดวงชะตาก็สามารถแจ้งความประสงค์ต่อนักบวชในวิหารได้ กลุ่มแว่นไม่มีใครต้องการรับคำทำนาย จึงทำบุญด้วยการบริจาคเงิน ผู้ดูแลวิหารจึงมอบเครื่องรางคุ้มชะตาให้คนละอัน ภายในถุงผ้าสีแดงขนาดหนึ่งในสี่ของฝ่ามือสตรี มียันต์เขียนด้วยอักขระพิเศษบรรจุอยู่ แว่นที่เริ่มจะเชื่อเรื่องอำนาจวิเศษขึ้นมาบ้างจึงนึกถึงคนที่บ้าน เขาลองถามดูว่าสามารถขอไปให้คนอื่นได้อีกหรือไม่
นักบวชผู้ดูแลอนุญาตให้หยิบเพิ่มไปได้ แต่ต้องไม่เกินสามชิ้น แว่นจึงหยิบมาครบตามจำนวนที่อนุญาต จะได้เป็นของฝากท่านพ่อท่านพี่ รวมถึงแม่เลี้ยงด้วย
ขณะที่แว่นออกมาจากวิหาร ขบวนเสด็จของฮองเฮากำลังเสด็จกลับ ก่อนหน้านี้ทางวัดให้คนมากราบทูลว่าขณะนี้นักพรตปี่กานไม่อยู่ พระนางจึงขอรับคำทำนายจากรองเจ้าอาวาสแทน เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ก็เสด็จกลับทันที เพื่อไม่ให้ประชาชนที่รออยู่ด้านล่างพลาดโอกาสการเข้ามาในวัด
ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยสมเป็นพระแม่แห่งแผ่นดิน พระนางไม่เย่อหยิ่งเอาแต่ใจอย่างสตรีชั้นสูงนางอื่น เห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ เหตุที่องค์ชายห้าเป็นคนอ่อนโยนใส่ใจผู้อื่นคงเพราะพระมารดาเป็นแน่แท้
แว่นเผลอนึกถึงองค์ชายเหวินหรงโดยไม่ตั้งใจ อึดใจก็รู้สึกเสียวสันหลัง แว่นเหลียวมองรอบตัวจึงพบว่าท่านหญิงฮุ่ยเสียนกำลังจ้องเขม็งมาทางนี้ พอประสานสายตากันนางก็ตรงดิ่งมาหา
“หม่อมฉันขอยืมตัวกุ้ยฮวาสักครู่นะเพคะ” ท่านหญิงคนงามกระซิบบอกกับองค์หญิงลี่จูที่ยืนอยู่ข้างๆ กุ้ยฮวา
“เอาสิ แต่รีบหน่อยนะ ระวังจะตามเสด็จไม่ทัน”
หน่อมสนับสนุนให้เพื่อนตามไป เขาคิดว่าฮุ่ยเสียนกับกุ้ยฮวาคงมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันมาก่อน ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวอาจทำให้เรื่องทุกอย่างคลี่คลาย หรือต่อให้ทะเลาะกัน ฮุ่ยเสียนก็ไม่มีวันทำเรื่องรุนแรงในวัด
แว่นยอมไปอย่างไม่ขัดข้อง เขาอยากรู้ว่าฮุ่ยเสียนมีธุระอะไร ท่านหญิงสูงศักดิ์เดินนำพาอ้อมมายังด้านหลังวิหารซึ่งร้างผู้คน นางเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้วจึงค่อยพูด
“ข้าไม่ชอบที่เจ้ามาปั่นหัวเหวินหรง” ฮุ่ยเสียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยทำแบบนั้นเลยสักหน”
โอกาสที่แว่นกับองค์ชายห้าได้เจอกันมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ที่ผ่านมาพูดจากันแทบนับคำได้ จะเอาเวลาที่ไหนไปปั่นหัวเขา
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากล้าสาบานต่อหน้าเทพนักพรตหรือไม่”
“กล้า” แว่นตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ แม้อีกฝ่ายจะมีท่าทีคุกคามเขาก็ยังสบตาด้วยโดยไม่คิดถอยหนี
ท่านหญิงฮุ่ยเสียนเสียอีกที่เป็นฝ่ายหวั่นไหว การสาบานถือเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ากุ้ยฮวากล้าก็แสดงว่าที่ผ่านมาเป็นความเข้าใจผิดของนางมาโดยตลอด
‘ต้องไม่ใช่อย่างนั้นแน่ อย่าได้หลงเชื่อวาจานางจิ้งจอกเชียว’ ฮุ่ยเสียนเตือนตัวเอง
“เมื่อสาบานแล้วก็จงอยู่อย่างเจียมตัว จำใส่ใจเอาไว้ว่าหิ่งห้อยควรอยู่อย่างหิ่งห้อย อย่ามาเผยอคู่ดวงตะวัน”
ฮุ่ยเสียนดูถูกเกินจริงไปมากโข กุ้ยฮวาอาจไม่ใช่ท่านหญิงโดยกำเนิดแต่นางก็มีชาติตระกูลที่ดี แม้จะเปรียบตัวเองเป็นดั่งจันทรายังไม่มีใครว่าว่ายกตน แว่นรู้สึกระคายหูอยู่บ้างแต่ก็ไม่ตอบโต้กลับไปรุนแรง เขาส่งยิ้มไปให้อย่างผู้ใหญ่ที่กำลังมองเด็กสาววัยรุ่น
“เจ้าคงชอบองค์ชายห้ามากเลยสินะ”
ประโยคที่ไม่คาดฝันทำให้ฮุ่ยเสียนหน้าขึ้นสี
“จะ...เจ้าพูดอะไรของเจ้า ข้าไม่ได้ชอบสักหน่อย”
แว่นมองท่านหญิงปากแข็งแล้วก็ขำ เลยแกล้งพูดยั่ว
“ขออภัยด้วยที่เข้าใจผิด องค์ชายห้าทั้งอ้วนทั้งขี้เหร่ ชอบลงก็บ้าแล้วจริงไหม”
“บังอาจ!” ฮุ่ยเสียนตวาดเสียงดัง “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาว่าเหวินหรง เขาเป็นถึงโอรสฮองเฮา เก่งกล้าสามารถ ถนัดทั้งบุ๋นบู้ แล้วก็...แล้วก็รูปงามมากด้วย”
อันที่จริงแว่นมององค์ชายห้าแล้วก็คิดคล้ายๆ ฮุ่ยเสียนเสียก็แต่เรื่องรูปงาม องค์ชายเหวินหรงไม่ได้ขี้ริ้ว แต่ความหล่อของเฮียแกห่างไกลคำว่ารูปงามอยู่หลายโยชน์
‘แม่เฮย! รสนิยมแม่นี่มันช่าง...’